อยู่ที่นี่เพื่อรับใช้อุดมการณ์อันชอบธรรม
ขอให้เราเลือกรับใช้อุดมการณ์อันชอบธรรมในฐานะทูตผู้องอาจของพระเจ้า พระเยซูคริสต์
ดิฉันปลื้มปีติที่เราได้มาร่วมชุมนุมกับสตรีที่ซื่อสัตย์อย่างเช่นลิซา—สตรีในวีดิทัศน์—ผู้มีใจบริสุทธิ์ รักพระเจ้าและรับใช้พระองค์แม้ท่ามกลางการทดลองของพวกเธอ เรื่องราวของลิซาเตือนดิฉันว่าเราต้องรักกันและมองเห็นความงามในจิตวิญญาณของกันและกัน พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนว่า “จำไว้ว่าค่าของจิตวิญญาณยิ่งใหญ่ในสายพระเนตรของพระผู้เป็นเจ้า”1 ไม่ว่าเราอายุ 8 ขวบหรือ 108 ปี เราแต่ละคน “มีค่าในสายตา [ของพระองค์]”2 พระองค์ทรงรักเรา เราเป็นธิดาของพระผู้เป็นเจ้า เราเป็นพี่น้องแห่งไซอัน เรามีลักษณะแห่งสวรรค์ และเราแต่ละคนมีงานอันทรงเกียรติต้องทำ
ฤดูร้อนที่ผ่านมาดิฉันได้พูดคุยกับมารดาสาวที่น่ารักของลูกสาวหลายคน เธอบอกความรู้สึกกับดิฉันว่าเยาวชนหญิงของเราต้องมีอุดมการณ์ บางอย่างที่จะช่วยให้พวกเธอรู้สึกมีค่า เธอรู้ว่าเราค้นพบคุณค่านิรันดร์ของตัวเราได้โดยทำตามจุดประสงค์อันสูงส่งของเราในความเป็นมรรตัย ค่ำคืนนี้ คณะนักร้องที่ไพเราะและยอดเยี่ยมนี้ ร้องเพลงที่สอนจุดประสงค์ของเรา โดยผ่านการทดสอบและการทดลอง แม้กระทั่งความกลัวและท่ามกลางความสิ้นหวัง ทำให้เรามีใจกล้า เราตั้งใจว่าจะทำส่วนของเรา เราอยู่ที่นี่เพื่อรับใช้อุดมการณ์อันชอบธรรม3 พี่น้องสตรีทั้งหลาย อุดมการณ์นี้ต้องการเราทุกคน เราทุกคนมีค่า
อุดมการณ์อันชอบธรรมที่เรารับใช้คืออุดมการณ์ของพระคริสต์ คืองานแห่งความรอด4 พระเจ้าทรงสอนว่า “นี่คืองานของเราและรัศมีภาพของเรา—คือการทำให้เกิดความเป็นอมตะและชีวิตนิรันดร์ของมนุษย์”5 เราเป็นเหตุให้พระเยซูคริสต์ทรงทนทุกข์ หลั่งพระโลหิตจากทุกขุมขน และทรงสละพระชนม์ชีพในความรักอันสมบูรณ์ อุดมการณ์ของพระองค์เป็นข่าวประเสริฐ “ข่าวอันน่ายินดี … ว่าพระองค์เสด็จมาในโลก, แม้พระเยซู, เพื่อถูกตรึงกางเขนเพื่อโลก, และเพื่อแบกรับบาปของโลก, และเพื่อชำระโลกให้บริสุทธิ์, และเพื่อทำให้สะอาดจากความไม่ชอบธรรมทั้งปวง; ว่าโดยผ่านพระองค์คนทั้งปวงจะได้รับการช่วยให้รอด”6 พระผู้ช่วยให้รอดทรง “บอกทางเดินนำทางนั้น”7 ดิฉันเป็นพยานว่าเมื่อเราทำตามแบบอย่างของพระองค์ รักพระผู้เป็นเจ้า และรับใช้กันด้วยความเมตตาและความเห็นใจ เราจะยืนในความบริสุทธิ์ “ปราศจากข้อตำหนิต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้าในวันสุดท้าย”8 เราเลือกรับใช้พระเจ้าในอุดมการณ์อันชอบธรรมเพื่อเราจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดาและกับพระบุตร9
ศาสดาพยากรณ์มอรมอนประกาศอย่างองอาจว่า “เพราะเรามีงานที่จะต้องทำขณะเมื่อเราอยู่ในร่างแห่งดินเหนียวนี้, เพื่อเราจะชนะศัตรูของความชอบธรรมทั้งปวง, และพักจิตวิญญาณเราในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า”10 ผู้นำศาสนจักรยุคแรกและผู้บุกเบิกในอดีตมุ่งหน้าด้วยความกล้าหาญเยี่ยงวีรชนและความซื่อสัตย์แน่วแน่เพื่อสถาปนาพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูและสร้างพระวิหารซึ่งจะประกอบศาสนพิธีแห่งความสูงส่งในนั้นได้ ผู้บุกเบิกในปัจจุบัน หมายถึงท่านและดิฉัน ต่างมุ่งหน้าในศรัทธา “เพื่อทำงานในสวนองุ่นของ [พระเจ้า] เพื่อความรอดของจิตวิญญาณมนุษย์”11 และดังที่ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์สอน “อนาคตจะงดงามเพียงใดเมื่อพระผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงผลักดันงานอันทรงเกียรติของพระองค์ออกไป … ผ่าน [การรับใช้] ที่ไม่เห็นแก่ตัวของผู้มีใจเปี่ยมด้วยความรักต่อพระผู้ไถ่ของโลก”12 เราร่วมมือกับพี่น้องสตรีที่ซื่อสัตย์ในอดีต ปัจจุบัน และในอนุชนรุ่นหลังเมื่อเราร่วมมือกันในงานแห่งความรอด!
ก่อนเราเกิด เรายอมรับแผนของพระบิดาบนสวรรค์ “ซึ่งตามแผนนั้น [เรา] จะได้รับร่างกายอันเป็นเนื้อหนัง และได้รับประสบการณ์ทางโลกเพื่อพัฒนาไปสู่ความดีพร้อม และในที่สุดจะบรรลุจุดหมายปลายทางแห่งสวรรค์ [ของเรา] เป็นทายาทแห่งชีวิตนิรันดร์”13 เกี่ยวกับพันธสัญญาก่อนเกิดนี้ เอ็ลเดอร์จอห์น เอ. วิดท์โซอธิบายว่า “เราตกลง ตอนนั้นและที่นั่น ว่าจะไม่เพียงเป็นผู้ช่วยตัวเราให้รอดเท่านั้น แต่ … เป็นผู้ช่วยให้ครอบครัวทั้งหมดของมนุษย์รอดด้วย เราเข้าเป็นหุ้นส่วนกับพระเจ้า การทำตามแผนไม่เพียงเป็นงานของพระบิดาและงานของพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น แต่เป็นงานของเราด้วย คนต่ำต้อยที่สุดของเราอยู่ในการเป็นหุ้นส่วนกับพระผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในการทำให้จุดประสงค์ของแผนนิรันดร์แห่งความรอดบรรลุผล”14
ที่นี่ในความเป็นมรรตัยเราทำพันธสัญญาอีกครั้งว่าจะรับใช้พระผู้ช่วยให้รอดในงานแห่งความรอด โดยมีส่วนร่วมในศาสนพิธีฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์ เราให้สัญญาว่าจะเริ่มในการรับใช้พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจ พลัง ความนึกคิด และพละกำลัง15 เรารับพระวิญญาณบริสุทธิ์และแสวงหาการกระตุ้นเตือนของพระองค์ชี้นำความพยายามของเรา ความชอบธรรมกระจายออกไปในโลกเมื่อเราเข้าใจสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการให้เราทำแล้วลงมือทำ
ดิฉันรู้จักเด็กปฐมวัยคนหนึ่งที่พูดกับเพื่อนขณะยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ว่า “นี่ เธอน่าจะมาโบสถ์กับฉันและเรียนรู้เกี่ยวกับพระเยซูนะ!”
ดิฉันเห็นเด็กผู้หญิงในชั้นเรียนเยาวชนหญิงคล้องแขนกันและให้คำมั่นสัญญาว่าจะดูแลกัน แล้ววางแผนอย่างเหมาะสมเพื่อช่วยเยาวชนหญิงคนหนึ่งที่กำลังเสพติดบางอย่าง
ดิฉันเคยเห็นมารดาสาวสละเวลา พรสวรรค์ และพลังงานของเธอเพื่อสอนและเป็นแบบอย่างของหลักธรรมพระกิตติคุณทั้งนี้เพื่อลูกๆ ของพวกเธอจะยืนอย่างกล้าหาญและซื่อสัตย์ผ่านการทดลอง การล่อลวง และความยากลำบากเฉกเช่นพวกบุตรของฮีลามัน
แต่สิ่งที่น่าจะทำให้ดิฉันปลื้มปีติที่สุดคือเมื่อได้ยินสตรีโสดคนหนึ่งประกาศด้วยไฟแห่งประจักษ์พยานอันบริสุทธิ์ว่างานสำคัญที่สุดที่เราทำได้คือเตรียมตัวแต่งงานและมีครอบครัว ถึงแม้นี่ไม่ใช่ประสบการณ์ของเธอ แต่เธอรู้ว่าครอบครัวเป็นหัวใจของงานแห่งความรอด “แผนแห่งความสุขอันศักดิ์สิทธิ์ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวดำเนินต่อไปได้หลังความตาย”16 เราให้เกียรติแผนของพระบิดาและสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเรายกย่องและกระชับความสัมพันธ์เหล่านั้นในพันธสัญญาใหม่และเป็นนิจของการแต่งงาน เราเลือกดำเนินชีวิตให้บริสุทธิ์มีคุณธรรมเผื่อว่าเมื่อมีโอกาส เราจะพร้อมทำพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์นั้นในพระนิเวศน์ของพระเจ้าและรักษาพันธสัญญาดังกล่าวชั่วนิรันดร์
เราทุกคนประสบเวลาและวาระต่างๆ ในชีวิต แต่ไม่ว่าจะอยู่ที่โรงเรียน ที่ทำงาน ในชุมชน หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบ้าน เราเป็นตัวแทนของพระเจ้าและเราอยู่กับธุระของพระองค์
ในงานแห่งความรอด ไม่มีช่องว่างสำหรับการเปรียบเทียบ การวิพากษ์วิจารณ์ หรือการกล่าวโทษ ไม่เกี่ยวกับวัย ประสบการณ์ หรือเสียงแซ่ซ้อง งานศักดิ์สิทธิ์นี้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาใจที่ชอกช้ำ วิญญาณที่สำนึกผิด และเต็มใจใช้ของประทานและพรสวรรค์ของเราทำงานของพระเจ้าในวิธีของพระองค์ งานนี้คือการมีความอ่อนน้อมจนยอมคุกเข่าและทูลว่า “โอพระบิดาของข้าพระองค์ … อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”17
ในพละกำลังของพระเจ้าเรา “ทำได้ทุกสิ่ง”18 เราแสวงหาการนำทางตลอดเวลาในการสวดอ้อนวอน ในพระคัมภีร์ และในสุรเสียงกระซิบของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พี่น้องสตรีคนหนึ่งที่ต้องทำงานมอบหมายล้นมือเขียนว่า “บางครั้งดิฉันสงสัยว่าสตรีในประวัติศาสตร์ยุคแรกของศาสนจักรไม่วางศีรษะบนหมอนตอนกลางคืนและสวดอ้อนวอนเหมือนเราหรอกหรือว่า ‘ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น พระองค์จะทรงช่วยให้ข้าพระองค์ผ่านพ้นไหม’” เธอเขียนต่อจากนั้นว่า “พรประการหนึ่งคือเรามีกันและกัน เราอยู่ในงานนี้ด้วยกัน!”19 ไม่ว่าสภาพการณ์ของเราเป็นเช่นไร ไม่ว่าเราอยู่ที่ใดระหว่างทางสู่ความรอด เราเป็นหนึ่งเดียวกันในคำมั่นสัญญาต่อพระผู้ช่วยให้รอด เราสนับสนุนกันในการรับใช้พระองค์
ไม่นานมานี้ท่านคงได้อ่านเรื่องซิสเตอร์เอลลา ฮอสคินส์ เธออายุ 100 ปีและได้รับเรียกให้ช่วยเยาวชนหญิงในวอร์ดทำความก้าวหน้าส่วนบุคคล20 สองปีต่อมา ซิสเตอร์ฮอสคินส์อายุ 102 ปี เธอได้รับรางวัลรับรองความเป็นเยาวชนหญิงของเธอ เยาวชนหญิง ฝ่ายประธานของสมาคมสงเคราะห์ เยาวชนหญิงวอร์ดและสเตค ตลอดจนสมาชิกครอบครัวพากันมาร่วมฉลองความสำเร็จของเธอ พรมแดนเรื่องอายุ องค์การ และสถานะสมรสเลือนหายไปในการรับใช้ด้วยศรัทธา เยาวชนหญิงแสดงความขอบคุณซิสเตอร์ฮอสคินส์สำหรับการสอนและแบบอย่างอันชอบธรรมของเธอ พวกเธออยากเป็นเหมือนซิสเตอร์ฮอสคินส์ หลังจากนั้นดิฉันถามซิสเตอร์ฮอสคินส์ว่า “คุณทำได้อย่างไร”
เธอตอบทันทีว่า “ดิฉันกลับใจทุกวัน”
สตรีที่อ่อนโยนผู้เปี่ยมด้วยพระวิญญาณของพระเจ้ามากจนฉายแสงอันบริสุทธิ์ออกมาได้เตือนดิฉันว่าเพื่อจะส่องสว่างด้วยความงามของความบริสุทธิ์ เพื่อยืนกับพระผู้ช่วยให้รอดและเป็นพรแก่ผู้อื่น เราต้องสะอาด ความบริสุทธิ์เกิดขึ้นได้ผ่านพระคุณของพระคริสต์เมื่อเราปฏิเสธความไม่เป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าและเลือกรักพระผู้เป็นเจ้าด้วยพลัง ความนึกคิด และพละกำลัง21 อัครสาวกเปาโลสอนว่า” จงหลีกหนีจากตัณหาของคนหนุ่ม … มุ่งมั่นในความชอบธรรม ความเชื่อ ความรัก และสันติสุขร่วมกับพวกที่ออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์”22 ไม่มีใครดีพร้อม เราล้วนทำผิดพลาด แต่เรากลับใจเพื่อเราจะเป็นคนดีขึ้นและ “จารึกพระนาม [ของพระคริสต์] อยู่ในใจ [เรา] เสมอไป”23 เมื่อเรารับใช้ในพระนามของพระเจ้าด้วยความบริสุทธิ์ใจ เราย่อมสะท้อนความรักของพระผู้ช่วยให้รอดและทำให้ผู้อื่นเห็นว่าสวรรค์นั้นเป็นเช่นไร
ขอให้เราเลือกรับใช้อุดมการณ์อันชอบธรรมในฐานะทูตผู้องอาจของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ขอให้เรายืนด้วยกันและ “ก้าวไปข้างหน้าด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยความสุข ดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ รักพระเจ้า และสร้างอาณาจักร [ของพระองค์]”24 ดิฉันเป็นพยานว่าในงานอันทรงเกียรตินี้ เราจะรู้จักความรักอันบริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า เราจะได้รับปีติที่แท้จริงและได้รับรัศมีภาพทั้งหมดของนิรันดร ในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์ เอเมน