ระเบียบเรียบร้อยแบบบริสตอล: จงมีค่าควรสู่พระวิหาร—ไม่ว่ายามดีหรือลำบาก
การปฏิบัติหลักธรรมพระกิตติคุณอันศักดิ์สิทธิ์จะช่วยให้เรามีค่าควรเข้าพระวิหาร ทำให้เราสามารถพบความสุขในชีวิตนี้ และนำเรากลับไปบ้านบนสวรรค์ของเรา
ศาสดาพยากรณ์ลีไฮประกาศว่า “หากไม่มีความชอบธรรมก็ไม่มีความสุข”1
ปฏิปักษ์ประสบความสำเร็จในการใส่เรื่องโกหกไว้ในความคิดคนจำนวนมาก เขากับทูตของเขาประกาศว่าการเลือกจริงๆ ที่เรามีคือเลือกระหว่างความสุขกับความพอใจ ตอนนี้ในชีวิตนี้ กับความสุขใน ชีวิตที่จะมาถึง (ซึ่งปฏิปักษ์ยืนยันว่าไม่มีจริง) เรื่องโกหกดังกล่าวเป็นทางเลือกที่ผิด แต่ดึงดูดใจมาก2
จุดประสงค์สูงส่งที่สุดในแผนแห่งความสุขของพระผู้เป็นเจ้าคือเพื่อให้สานุศิษย์ที่ชอบธรรมและครอบครัวแห่งพันธสัญญาเป็นหนึ่งเดียวกันในความรัก ความปรองดอง และสันติสุขในชีวิตนี้3 และได้รับรัศมีภาพซีเลสเชียลในนิรันดรกับพระผู้เป็นเจ้าพระบิดา พระผู้สร้างของเรา และพระบุตรที่รักของพระองค์ พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา4
สมัยข้าพเจ้าเป็นผู้สอนศาสนาวัยหนุ่มได้รับมอบหมายให้ไปคณะเผยแผ่บริติช เขตแรกที่ทำงานอยู่ในบริสตอลดิสตริกต์สมัยนั้น ผู้นำศาสนจักรในท้องที่คนหนึ่งเน้นว่าผู้สอนศาสนาที่รับใช้ในเขตนั้นต้องเป็น “ระเบียบเรียบร้อยแบบบริสตอล”
ตอนแรกข้าพเจ้าไม่เข้าใจประเด็นที่เขาพูด แต่ไม่นานก็รู้ประวัติและความหมายของวลี “ระเบียบเรียบร้อยแบบบริสตอล” ครั้งหนึ่งบริสตอลเคยเป็นท่าเรือคึกคักที่สุดอันดับสองในสหราชอาณาจักร มีคลื่นสูงมากคือ 43 ฟุต (13 เมตร) สูงเป็นอันดับสองของโลก เมื่อน้ำลด เรือสมัยเก่าจะกระแทกพื้นใต้น้ำและตะแคงข้าง ถ้าต่อเรือไม่ดี เรือจะเสียหาย ยิ่งไปกว่านั้น ทุกอย่างที่ไม่เก็บหรือผูกไว้ให้ดีจะถูกเหวี่ยงไปมาจนพังยับเยิน5 หลังจากข้าพเจ้าเข้าใจความหมายของวลีนั้น จึงรู้ว่าผู้นำคนนี้กำลังบอกพวกเราว่า ในฐานะผู้สอนศาสนา เราต้องเป็นคนชอบธรรม ทำตามกฎ และพร้อมรับสถานการณ์ยุ่งยากต่างๆ นานา
คำท้าทายเดียวกันนี้ใช้ได้กับเราแต่ละคน ข้าพเจ้าจะเรียกความเป็น “ระเบียบเรียบร้อยแบบบริสตอล” ว่าความมีค่าควรเข้าพระวิหาร—ในยามดีและในยามร้าย
ขณะที่การขึ้นลงของกระแสน้ำในช่องแคบบริสตอลค่อนข้างทำนายได้และเตรียมรับได้ แต่พายุและการล่อลวงของชีวิตนี้มักจะทำนายไม่ได้ แต่เรารู้ว่าจะมาแน่นอน! เพื่อเอาชนะความท้าทายและการล่อลวงที่เราแต่ละคนต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงต้องมีการเตรียมที่ชอบธรรมและใช้เครื่องป้องกันที่เบื้องบนจัดหาไว้ให้ เราต้องตั้งใจว่าจะมีค่าควรเข้าพระวิหารไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา ถ้าเราพร้อม เราจะไม่กลัว6
ความสุขในชีวิตนี้และความสุขในชีวิตที่จะมาถึงมีความชอบธรรมเป็นตัวเชื่อมโยง แม้ในช่วงระหว่างความตายกับการฟื้นคืนชีวิต “วิญญาณคน ชอบธรรม เข้าในสภาพแห่งความสุข, ซึ่งเรียกว่าเมืองบรมสุขเกษม, สภาพของการพักผ่อน, สภาพของความสงบสุข”7
เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงเริ่มปฏิบัติศาสนกิจบนแผ่นดินโลกในอิสราเอลและต่อมาในบรรดาชาวนีไฟ พระผู้ช่วยให้รอดตรัสเรื่องความสุขทั้งในชีวิตนี้และในนิรันดร พระองค์ทรงเน้นศาสนพิธี แต่ทรงเน้นมากเช่นกันในเรื่องพฤติกรรมทางศีลธรรม ตัวอย่างเช่น เหล่าสานุศิษย์จะได้รับพรถ้าพวกเขาจะหิวกระหายความชอบธรรม มีเมตตา ใจบริสุทธิ์ สร้างสันติ และทำตามหลักศีลธรรมพื้นฐานอื่นๆ ข่าวสารเกี่ยวกับหลักคำสอนพื้นฐานบอกชัดเจนว่าพระเจ้าพระเยซูคริสต์ทรงเน้นทั้งเจตคติและความประพฤติที่ชอบธรรมในการดำเนินชีวิตประจำวัน คำสอนของพระองค์ไม่เพียงแทนที่และอยู่เหนือองค์ประกอบในกฎของโมเสสเท่านั้น8 แต่เป็นการปฏิเสธหลักปรัชญาผิดๆ ของมนุษย์ด้วย
เป็นเวลาหลายศตวรรษที่พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์มีความเชื่อที่ได้รับการดลใจและมาตรฐานความประพฤติที่กำหนดไว้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ชอบธรรม พึงปรารถนา ถูกศีลธรรม และส่งผลให้เกิดความสุข ความอิ่มเอมใจ และปีติ อย่างไรก็ดี หลักธรรมและศีลธรรมขั้นพื้นฐานที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนกำลังถูกโจมตีอย่างหนักในโลกทุกวันนี้ ศาสนาคริสต์กำลังถูกโจมตี หลายคนเชื่อว่าโดยทั่วไปศีลธรรมเปลี่ยนไปแล้ว9
เราอยู่ในยุคสมัยที่ยาก มีแนวโน้มจะ “เรียกความชั่วว่าดี, และความดีว่าชั่ว” มากขึ้น10 โลกที่เน้นการมุ่งแสวงหาเพื่อตนเองและการต่อต้านอนุรักษ์นิยมทางศาสนาเป็นที่น่าวิตกมาก นักเขียนผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งที่ไม่ใช่สมาชิกของเราเขียนว่า “น่าเสียดายที่ผมเห็นหลักฐานเพียงน้อยนิดยืนยันว่าผู้คนมีความสุขมากขึ้นจริงๆ ในสมัยนี้ หรือลูกๆ ของพวกเขามีสภาพเศรษฐกิจดีขึ้น หรือมีความยุติธรรมทางสังคมพอสมควร หรืออัตราการแต่งงานลดลงและขนาดครอบครัวเล็กลง … สัญญาทุกอย่างยกเว้นคนส่วนใหญ่เหงามากขึ้นและทุกอย่างหยุดก้าวหน้า”11
ในฐานะสานุศิษย์ของพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ทรงคาดหวังให้เราวางแผนและเตรียม ในแผนแห่งความสุข สิทธิ์เสรีทางศีลธรรมเป็นหลักธรรมที่สร้างระเบียบและการเลือกของเราสำคัญ12 พระผู้ช่วยให้รอดทรงเน้นเรื่องนี้ตลอดการปฏิบัติศาสนกิจของพระองค์ รวมถึงอุปมาเรื่องหญิงพรหมจารีโง่และเงินตะลันต์13 ในอุปมาสองเรื่องนี้ พระเจ้าทรงยกย่องการเตรียมพร้อมและการปฏิบัติ พระองค์ทรงกล่าวโทษการผัดวันประกันพรุ่งและความเกียจคร้าน
ข้าพเจ้าตระหนักว่า แม้มีความสุขท่วมท้นในแผนอันสูงส่งของพระผู้เป็นเจ้า แต่บางครั้งรู้สึกได้ว่าความสุขนั้นห่างไกลและถูกแยกออกจากสภาวการณ์ปัจจุบันของเรา เราอาจรู้สึกไกลเกินเอื้อมขณะพยายามเป็นสานุศิษย์ จากมุมมองอันจำกัดของเรา การล่อลวงและสิ่งล่อใจในปัจจุบันดูเหมือนน่าสนใจ ในทางกลับกัน เรารู้สึกได้ว่ารางวัลจากการต้านทานการล่อลวงเหล่านั้นห่างไกลและไม่อาจได้มา แต่การเข้าใจแผนของพระบิดาอย่างแท้จริงเปิดเผยว่ารางวัลของความชอบธรรมมีให้ตอนนี้ ความชั่วร้ายอย่างเช่นการประพฤติผิดศีลธรรมไม่ใช่ส่วนหนึ่งของคำตอบ แอลมากล่าวไว้ชัดเจนกับโคริแอนทอนบุตรชายของท่านว่า “ดูเถิด, พ่อกล่าวแก่ลูก, ความชั่วร้ายไม่เคยเป็นความสุขเลย”14
อมิวเล็คกล่าวหลักคำสอนของเราอย่างชัดเจนใน แอลมา 34:32 ว่า “ดูเถิด, ชีวิตนี้เป็นเวลาสำหรับมนุษย์ที่จะเตรียมพบพระผู้เป็นเจ้า; แท้จริงแล้ว, ดูเถิดวันแห่งชีวิตนี้เป็นวันสำหรับมนุษย์ที่จะทำงานของพวกเขา”
แล้วเราจะเตรียมอย่างไรในเวลายากเช่นนี้ นอกเหนือจากจะมีค่าควรเข้าพระวิหารแล้ว ยังมีหลักธรรมอีกมากมายที่เอื้อต่อความชอบธรรม ข้าพเจ้าจะเน้นหลักธรรมสามข้อ
หนึ่ง: การควบคุมตนเองและความประพฤติที่ชอบธรรม
ข้าพเจ้าเชื่อว่าบางครั้งพระบิดาในสวรรค์ผู้ทรงรักเราต้องทรงมองเราด้วยความขบขันเหมือนเรารู้สึกขณะเฝ้ามองลูกเล็กๆ ของเราเรียนรู้และเติบโต เราทุกคนสะดุดล้มขณะที่เรารับประสบการณ์
ข้าพเจ้าชื่นชอบคำปราศรัยการประชุมใหญ่ของประธานดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟในปี 201015 เกี่ยวกับการทดสอบมาร์ชเมลโลอันเลื่องชื่อที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในทศวรรษ 1960 ท่านคงจำได้ว่าเด็กอายุสี่ขวบได้มาร์ชเมลโลชิ้นเดียว ถ้าพวกเขารอ 15 ถึง 20 นาทีโดยไม่กินชิ้นนั้น พวกเขาจะได้ชิ้นที่สอง วีดิทัศน์ที่ผลิตออกมาแสดงให้เห็นสีหน้าท่าทางที่เด็กหลายคนใช้หลีกเลี่ยงการกินมาร์ชเมลโล16 บางคนไม่สำเร็จ
ปีที่แล้วศาสตราจารย์ที่ทำการทดสอบคนแรกชื่อดร. วอลเตอร์ มิสเชล เขียนหนังสือซึ่งเขาบอกไว้ในนั้นว่าเหตุผลส่วนหนึ่งของการศึกษาเรื่องนี้คือความวิตกกังวลของเขาเกี่ยวกับการควบคุมตนเองและการติดบุหรี่ของเขาเอง เขากังวลเป็นพิเศษหลังจากรายงานของกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐในปี 1964 สรุปว่าการสูบบุหรี่ทำให้เกิดมะเร็งปอด17 หลังจากการศึกษาหลายปี เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของเขารายงานว่า “การควบคุมตนเองเปรียบเสมือนกล้ามเนื้อ ยิ่งใช้ ยิ่งแข็งแรง การหลีกเลี่ยงสิ่งล่อใจหนึ่งครั้งจะช่วยให้ท่านสามารถต้านทานการล่อลวงอื่นๆ ในอนาคต”18
หลักธรรมแห่งความก้าวหน้านิรันดร์คือการฝึกควบคุมตนเองและการดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรมจะเพิ่มพลังความสามารถให้เราต้านทานการล่อลวง สิ่งนี้เป็นจริงทั้งในขอบเขตทางวิญญาณและในเรื่องทางโลก
ผู้สอนศาสนาของเราเป็นแบบอย่างที่ดีเยี่ยม พวกเขาพัฒนาคุณลักษณะเหมือนพระคริสต์ เน้นการเชื่อฟังและความเข้มแข็งทางวิญญาณ เราคาดหวังให้พวกเขาทำตามตารางเวลาอย่างเคร่งครัดและใช้วันเวลาของพวกเขารับใช้ผู้อื่น รูปลักษ์ภายนอกของพวกเขาสุภาพเรียบร้อย แทนที่จะสวมชุดลำลองหรือชุดไม่สุภาพตามที่แพร่หลายในปัจจุบัน ความประพฤติและรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขาถ่ายทอดข่าวสารที่จริงจังทางศีลธรรม19
ปัจจุบันเรามีคนหนุ่มสาวประมาณ 230,000 คนกำลังรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาเต็มเวลาหรือกลับจากการรับใช้ในห้าปีที่ผ่านมา พวกเขาพัฒนาความเข้มแข็งทางวิญญาณและวินัยในตนเองซึ่งต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง หาไม่แล้วคุณสมบัติเหล่านี้จะลีบเหมือนกล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้งาน เราทุกคนต้องพัฒนาและแสดงให้เห็นความประพฤติและรูปลักษณ์ภายนอกที่ประกาศว่าเราเป็นผู้ติดตามที่แท้จริงของพระคริสต์ คนที่ละทิ้งความประพฤติอันชอบธรรมหรือรูปลักษณ์ภายนอกที่สุภาพดีงามย่อมเปิดรับวิถีชีวิตที่ไม่ได้ก่อเกิดปีติหรือความสุข
พระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูให้พิมพ์เขียวของแผนแห่งความสุขและตัวกระตุ้นให้เข้าใจ ให้เราฝึกควบคุมตนเองและหลีกเลี่ยงการล่อลวง อีกทั้งสอนให้เรารู้วิธีกลับใจเมื่อมีการละเมิดเกิดขึ้น
สอง: การให้เกียรติวันสะบาโตจะเพิ่มความชอบธรรมและเป็นเครื่องคุ้มครองครอบครัว
ศาสนจักรของชาวคริสต์ยุคแรกเปลี่ยนการถือปฏิบัติวันสะบาโตจากวันเสาร์เป็นวันอาทิตย์เพื่อเฉลิมฉลองการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเจ้า จุดประสงค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นพื้นฐานอื่นๆ ของสะบาโตยังไม่เปลี่ยน สำหรับชาวยิวและชาวคริสต์ วันสะบาโตเป็นสัญลักษณ์ของงานที่ยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า20
ข้าพเจ้ากับภรรยา และเพื่อนร่วมงานสองคนกับภรรยาของพวกเขา เพิ่งเข้าร่วมพิธีชาบัท (สะบาโต) ของชาวยิวตามคำเชิญของเพื่อนรักชื่อโรเบิร์ต อับรามส์กับไดแอนภรรยาของเขาในบ้านที่นิวยอร์ก21 พิธีนี้เริ่มตั้งแต่วันสะบาโตของชาวยิวคือเย็นวันศุกร์ โดยมุ่งถวายเกียรติพระผู้เป็นเจ้าในฐานะพระผู้สร้าง เริ่มด้วยการให้พรครอบครัวและร้องเพลงสวดสะบาโต22 เราเข้าร่วมพิธีล้างมือ การให้พรขนมปัง สวดอ้อนวอน รับประทานอาหารโคเชอร์ ท่องพระคัมภีร์ และร้องเพลงสะบาโตในบรรยากาศของการเฉลิมฉลอง เราฟังคำพูดภาษาฮีบรู ตามด้วยคำแปลภาษาอังกฤษ ข้อพระคัมภีร์ที่กินใจที่สุดอ่านจากพันธสัญญาเดิม ซึ่งเรารักข้อนี้เช่นกัน จากอิสยาห์ ประกาศว่าสะบาโตเป็นวันปีติยินดี23 และจากเอเสเคียล ที่ว่าวันสะบาโต “จะเป็นหมายสำคัญระหว่างเรากับเจ้า เพื่อเจ้าจะทราบว่าเราคือยาห์เวห์เป็นพระเจ้าของเจ้าทั้งหลาย”24
ความประทับใจท่วมท้นจากค่ำวันนั้นเกี่ยวข้องกับความรักครอบครัว ความภักดี และภาระรับผิดชอบต่อพระผู้เป็นเจ้า เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นี้ ข้าพเจ้านึกถึงการข่มเหงรุนแรงที่ชาวยิวประสบหลายศตวรรษที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าการให้เกียรติวันสะบาโตเป็น “พันธสัญญาต่อเนื่อง” ซึ่งปกปักรักษาและเป็นพรแก่ชาวยิวตามสัมฤทธิผลในพระคัมภีร์25 อีกทั้งเอื้อประโยชน์ต่อชีวิตครอบครัวที่น่าทึ่งและความสุขซึ่งประจักษ์ชัดในชีวิตชาวยิวจำนวนมาก26
สำหรับสมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย การให้เกียรติวันสะบาโตเป็นรูปแบบหนึ่งของความชอบธรรมซึ่งจะเป็นพรและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ครอบครัว เชื่อมโยงเรากับพระผู้สร้าง และเพิ่มความสุข วันสะบาโตจะช่วยแยกเราจากสิ่งไม่สำคัญ ไม่เหมาะสม หรือผิดศีลธรรม ช่วยให้เราอยู่ในโลก แต่ไม่เป็นของโลก
ในหกเดือนที่ผ่านมา เกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าสังเกตที่สุดในศาสนจักร นี่เพราะสมาชิกขานรับการเน้นเรื่องสะบาโตอีกครั้งของฝ่ายประธานสูงสุดและโควรัมอัครสาวกสิบสอง และขานรับคำท้าของประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันเรื่องการทำให้สะบาโตเป็นวันปีติยินดี27 สมาชิกจำนวนมากเข้าใจว่าการรักษาวันสะบาโตให้ศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริงนั้นเป็นที่หลบภัยจากมรสุมของชีวิตนี้ อีกทั้งเป็นเครื่องหมายของความภักดีต่อพระบิดาในสวรรค์และความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของการประชุมศีลระลึก เรายังต้องไปอีกไกล แต่เรามีจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยม ข้าพเจ้าท้าทายให้เราทุกคนน้อมรับคำแนะนำนี้ต่อไปและปรับปรุงการนมัสการในวันสะบาโตของเรา
สาม: ความคุ้มครองจากสวรรค์มีให้เมื่อเราชอบธรรม
แผนส่วนหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้าเป็นพรแก่เราด้วยของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ของประทานดังกล่าว “คือสิทธิ์ที่จะมีความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณบริสุทธิ์เมื่อใดก็ตามที่เรามีค่าควร”28 สมาชิกองค์นี้ของพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ทรงเป็นตัวแทนชำระเราให้สะอาดถ้าพระกิตติคุณเป็นที่หนึ่งในชีวิตเรา พระองค์ทรงเป็นเสียงเตือนให้ระวังความชั่วและเสียงป้องกันอันตรายเช่นกัน ขณะที่เราล่องเรือในทะเลชีวิต เราจำเป็นต้องทำตามการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณจะทรงช่วยเราหลีกเลี่ยงการล่อลวงและอันตราย ทรงปลอบโยนและนำเราผ่านพ้นความท้าทาย “ผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์”29
การปฏิบัติหลักธรรมพระกิตติคุณอันศักดิ์สิทธิ์จะช่วยให้เรามีค่าควรเข้าพระวิหาร ทำให้เราสามารถพบความสุขในชีวิตนี้ และนำเรากลับไปบ้านบนสวรรค์ของเรา
พี่น้องที่รัก ชีวิตไม่ง่าย ทั้งไม่มุ่งหมายจะให้เป็นเช่นนั้น ชีวิตเป็นเวลาของการทดสอบและการทดลอง เหมือนเรือสมัยเก่าในอ่าวบริสตอล จะมีเวลาที่น้ำแห้งและดูประหนึ่งทุกอย่างที่ทำให้เราลอยอยู่ในโลกนี้หายไป เราอาจกระแทกพื้นใต้น้ำแม้ถึงกับตะแคงข้าง ท่ามกลางการทดลองเช่นนั้น ข้าพเจ้าสัญญากับท่านว่าการดำเนินชีวิตให้มีค่าควรเข้าพระวิหารอยู่เสมอจะผูกทุกอย่างที่สำคัญจริงๆ ไว้ด้วยกัน พรอันหอมหวานของสันติ ความสุข และปีติ ตามด้วยพรแห่งชีวิตนิรันดร์และรัศมีภาพซีเลสเชียลกับพระบิดาบนสวรรค์และพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์จะเป็นจริง ข้าพเจ้าเป็นพยานในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน