ไม่เป็นการเร็วเกินไปและไม่สายเกินไป
ไม่เป็นการเร็วเกินไปและไม่สายเกินไปที่จะนำ พา และเดินเคียงข้างลูกของเรา เพราะครอบครัวเป็นนิรันดร์
พี่น้องทั้งหลาย เรามีส่วนในการต่อสู้กับโลก ในอดีตโลกนี้แข่งขันเพื่อพลังและเวลาของลูกหลานเรา ทุกวันนี้เป็นการต่อสู้เพื่อตัวตนและความคิดของพวกเขา เสียงที่ดังมาจากบุคคลผู้มีชื่อเสียงมากมายกำลังพยายามกำหนดว่าลูกหลานของเราเป็นใครและพวกเขาควรเชื่ออะไร เราไม่สามารถปล่อยให้สังคมมีอิทธิพลต่อครอบครัวเราในภาพลักษณ์ของโลก เราต้องชนะการต่อสู้นี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสิ่งนี้
เด็กๆในศาสนจักรร้องเพลงที่สอนเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา “ฉันลูกพระผู้เป็นเจ้า…พระองค์ส่งฉันมานี่ ประทานให้มีบ้านในโลกนี้ มีพ่อแม่รักเมตตา” และสิ่งที่เด็กวิงวอนเราคือ “พาฉัน นำฉัน เดินเคียงข้างฉัน…ช่วยฉันเข้าใจพระคำความจริงก่อนทุกสิ่งสายเกินกาล”1
ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันสอนเราระหว่างการประชุมใหญ่สามัญครั้งที่ผ่านมาว่า จากนี้ต่อไป เราต้องเป็น “บิดามารดาที่ตั้งใจ”2 นี่เป็นเวลาที่น่ากลัว แต่ข่าวดีคือพระผู้เป็นเจ้าทรงทราบว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น และพระองค์ทรงจัดเตรียมคำแนะนำไว้ในพระคัมภีร์ เพื่อเราจะรู้วิธีช่วยลูกหลานของเรา
ในพระคัมภีร์มอรมอน พระผู้ช่วยให้รอดทรงปรากฏต่อชาวนีไฟ พระองค์ทรงพาเด็กเล็กๆ มาอยู่รายรอบพระองค์ พระองค์ประทานพรพวกเขา ทรงสวดอ้อนวอนเพื่อพวกเขา ทรงกันแสงท่ามกลางพวกเขา3 และพระองค์ตรัสแก่บิดามารดาว่า “จงดูเด็กเล็กๆ ของเจ้า”4
คำว่า จงดู หมายถึงการมองและเห็น พระเยซูทรงประสงค์ให้บิดามารดาเห็นอะไรในตัวลูกๆ ของพวกเขา พระองค์ทรงประสงค์ให้พวกเขาสังเกตเห็นศักยภาพแห่งสวรรค์ในตัวลูกๆ ของพวกเขาหรือไม่
เมื่อเรามองไปยังลูกหลานของเราทุกวันนี้ พระผู้ช่วยให้รอดทรงประสงค์ให้เรามองเห็นอะไรในตัวพวกเขา เราตระหนักว่าลูกหลานของเราคือผู้สนใจกลุ่มใหญ่ที่สุดในศาสนจักรหรือไม่ เราต้องทำอะไรเพื่อนำพวกเขาไปสู่การเปลี่ยนใจเลื่อมใสที่ยั่งยืน
ในหนังสือมัทธิว พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนเราเกี่ยวกับการเปลี่ยนใจเลื่อมใสที่ยั่งยืน คนกลุ่มใหญ่มารวมตัวกันที่ริมฝั่งทะเลกาลิลีเพื่อฟังพระองค์สอน
ในครั้งนี้ พระเยซูทรงเล่าเรื่องการหว่านเมล็ดพืช—คำอุปมาเรื่องผู้หว่านเมล็ดพืช5 ในการอธิบายแก่สานุศิษย์ของพระองค์ รวมทั้งเราด้วย พระองค์ตรัสว่า “เมื่อใครได้ยินคำบอกเล่าเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าแต่ ไม่ เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาสิ่งที่หว่านในใจเขานั้นไปเสีย”6 คำสอนที่ชัดเจนจากเรื่องนี้สำหรับบิดามารดาคือ มีความแตกต่างระหว่างการได้ยินกับความเข้าใจ ถ้าลูกของเราแค่ได้ยินแต่ไม่เข้าใจพระกิตติคุณ ประตูก็เปิดทิ้งไว้ให้ซาตานมาฉวยเอาความจริงจากใจพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ถ้าเราสามารถช่วยให้พวกเขาหยั่งรากลึกในการเปลี่ยนใจเลื่อมใส เมื่อถึงวันที่แสงแดดแผดเผา เมื่อชีวิตเริ่มยากลำบาก—ซึ่งจะเกิดขึ้นแน่นอน—พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์สามารถให้บางอย่างจากภายใน ที่สิ่งภายนอกไม่สามารถมีอิทธิพลได้ เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าความจริงอันทรงพลังนี้ไม่เพียงเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แค่ได้ยินถ้อยคำอาจไม่เพียงพอ
เราต่างรู้ว่าภาษาเปลี่ยนแปลงเสมอ บางครั้งเมื่อเราใช้ภาษาในแบบของเรา พวกเขาอาจได้ยินภาษาในแบบของพวกเขา ท่านอาจพูดกับลูกเล็กๆ ของท่านว่า “ลูกเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง” พวกเขาอาจตอบกลับมาว่า “คุณพ่อ แผ่นเสียงคืออะไร”
พระบิดาบนสวรรค์ของเราทรงประสงค์ให้เราประสบความสำเร็จเพราะในความเป็นจริง พวกเขาคือบุตรธิดาของพระองค์ก่อนมาเป็นของเรา ในฐานะบิดามารดาแห่งไซอัน ท่านได้รับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อท่านสวดอ้อนวอนขอการนำทาง “พระองค์จะทรงแสดงแก่ท่านถึงสิ่งทั้งปวงที่ท่านควรทำ7 ในการสอนลูกๆของท่าน เมื่อท่านพัฒนากระบวนการเรียนรู้ “อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมนำถ้อยคำไปสู่ใจลูกหลานมนุษย์”8
ข้าพเจ้าไม่สามารถนึกถึงตัวอย่างของการช่วยใครสักคนให้เข้าใจได้ดีไปกว่าเรื่องราวของเฮเลน เคลเลอร์ เธอตาบอดและเป็นใบ้ ใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่มืดมนและเงียบสงัด คุณครูคนหนึ่งชื่อว่าแอนน์ ซัลลิแวนมาช่วยเธอ ท่านสอนเด็กคนหนึ่งที่ไม่สามารถแม้แต่จะมองเห็นหรือได้ยินท่านได้อย่างไร
แอนน์ใช้เวลานานในการพยายามสื่อสารกับเฮเลน วันหนึ่งประมาณตอนเที่ยง เธอพาเฮเลนไปยังปั๊มน้ำ และจับมือเฮเลนให้รองรับน้ำขณะเธอเริ่มปั๊ม จากนั้นแอนน์สะกดตัวอักษรคำว่า น้ำ ทีละตัวลงบนฝ่ามือของเฮเลน ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอจึงลองสะกดทีละตัวอีกครั้ง น้ำ เฮเลนบีบมือแอนน์เพราะเธอเริ่มเข้าใจ ก่อนค่ำวันนั้น เธอเรียนรู้ 30 คำ ภายในหนึ่งเดือน เธอเรียนรู้ 600 คำและสามารถอ่านอักษรเบรลล์ได้ เฮเลน เคลเลอร์ศึกษาจนสำเร็จปริญญาจากวิทยาลัย และช่วยเปลี่ยนโลกของผู้ที่ไม่สามารถมองเห็นหรือได้ยิน9 นี่คือปาฏิหาริย์ และคุณครูของเธอคือผู้ที่ทำให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้น เช่นเดียวกับที่ท่านจะทำในฐานะบิดามารดา
ข้าพเจ้าเห็นผลของคุณครูที่ยอดเยี่ยมอีกคนหนึ่งขณะรับใช้เป็นประธานสเตคหนุ่มสาวโสดที่บีวายยู-ไอดาโฮ ประสบการณ์นั้นเปลี่ยนชีวิตข้าพเจ้า เย็นวันอังคารวันหนึ่ง ข้าพเจ้าสัมภาษณ์เด็กหนุ่มชื่อ พาโบล มาจากเม็กซิโกซิตี้ เขาต้องการรับใช้งานเผยแผ่ ข้าพเจ้าถามเขาเกี่ยวกับประจักษ์พยานและความปรารถนาในการรับใช้ของเขา เขาตอบคำถามข้าพเจ้าได้ดีเยี่ยม ข้าพเจ้าจึงถามเขาเกี่ยวกับความมีค่าควร เขาตอบอย่างชัดเจน อันที่จริงเป็นคำตอบที่ดี ข้าพเจ้าสงสัยว่า “บางทีเขาอาจจะไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าพเจ้าถาม” ข้าพเจ้าจึงถามอีกครั้ง และคาดหวังว่าเขาจะเข้าใจคำถามอย่างถูกต้องและตอบด้วยความซื่อสัตย์
ข้าพเจ้าประทับใจชายหนุ่มคนนี้ จึงถามเขาว่า “พาโบล อะไรช่วยให้คุณมาถึงจุดที่คุณยืนอย่างซื่อตรงต่อพระพักตร์พระเจ้า”
“คุณพ่อผมครับ” เขากล่าว
“พาโบล เล่าเรื่องของคุณให้ฟังหน่อย” ข้าพเจ้ากล่าว
พาโบลเล่าต่อไป “เมื่อผมอายุเก้าขวบ คุณพ่อดึงผมมาใกล้ๆ และกล่าวว่า ‘พาโบล ครั้งหนึ่งพ่อก็เคยอายุเก้าขวบเหมือนลูก’ นี่คือสิ่งที่ลูกอาจจะเผชิญ ลูกจะเห็นคนไม่ซื่อสัตย์ที่โรงเรียน ลูกอาจจะอยู่ท่ามกลางคนที่ใช้คำสบถ ลูกอาจมีวันที่ลูกไม่อยากไปโบสถ์ แล้วเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น—หรือมีสิ่งใดกวนใจลูก พ่ออยากให้ลูกมาคุยกับพ่อ พ่อจะช่วยให้ลูกผ่านพ้นสิ่งนี้ไปได้ และพ่อจะบอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป’”
“พาโบล แล้วคุณพ่อบอกอะไรเมื่อคุณอายุ 10 ขวบ”
“ท่านเตือนผมเกี่ยวกับสื่อลามกและตลกลามก”
“แล้วเมื่อคุณอายุ 11 ขวบล่ะ” ข้าพเจ้าถาม
“ท่านเตือนผมเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้เสพติด และกำชับผมเกี่ยวกับการใช้สิทธิ์เสรีของผม”
นี่คือคุณพ่อ ที่พร่ำสอนปีแล้วปีเล่า “เป็นบรรทัดซ้อนบรรทัด ที่นี่นิด ที่นั่นหน่อย”10 ผู้ซึ่งช่วยบุตรชายของเขาไม่เพียงได้ยินแต่เข้าใจด้วย คุณพ่อของพาโบลรู้ว่าลูกๆ ของเราเรียนรู้เมื่อพวกเขาพร้อมจะเรียน ไม่ใช่เมื่อเราพร้อมจะสอนพวกเขา ข้าพเจ้าภูมิใจในตัวพาโบลเมื่อเราส่งใบสมัครผู้สอนศาสนาของเขาในคืนนั้น แต่ข้าพเจ้าภูมิใจในตัวคุณพ่อของพาโบลมากกว่า
เมื่อข้าพเจ้าขับรถกลับบ้านคืนนั้น ข้าพเจ้าถามตนเองว่า “พาโบลจะเป็นคุณพ่อแบบไหน” คำตอบที่ชัดเจนคือ เขาจะเป็นคุณพ่อเหมือนกับคุณพ่อของเขา พระเยซูตรัสว่า “พระบุตรจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้นอกจากที่ได้เห็นพระบิดาทำ”11 นี่คือรูปแบบที่พระบิดาบนสวรรค์ประทานพรบุตรธิดาของพระองค์จากรุ่นสู่รุ่น
เมื่อข้าพเจ้าคิดต่อไปเกี่ยวกับประสบการณ์ของข้าพเจ้ากับพาโบล ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจเพราะลูกสาวสี่คนของข้าพเจ้าโตแล้วและหลานเก้าคนไม่ได้อยู่ใกล้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงคิดว่า “ข้าพเจ้าจะช่วยพวกเขาในวิธีที่คุณพ่อของพาโบลช่วยเขาได้อย่างไร” “ตอนนี้สายไปหรือยัง” เมื่อข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนในใจ พระวิญญาณทรงกระซิบความจริงอันลึกซึ้งว่า “ไม่เป็นการเร็วเกินไปและไม่สายเกินไปที่จะเริ่มกระบวนการสำคัญนี้” ข้าพเจ้ารู้ทันทีว่านี่หมายความว่าอย่างไร ข้าพเจ้าแทบรอเวลากลับถึงบ้านไม่ไหว ข้าพเจ้าขอให้ชารอล ภรรยาข้าพเจ้าโทรศัพท์หาลูกๆ ของเราทุกคนและบอกพวกเขาว่าเราต้องไปเยี่ยมพวกเขา ข้าพเจ้ามีสิ่งสำคัญบางอย่างจะบอกพวกเขา ความเร่งรีบของข้าพเจ้าทำให้พวกเขาสะดุ้งเล็กน้อย
เราเริ่ม กับลูกสาวคนโตและสามีของเธอ ข้าพเจ้าพูดว่า “พ่อกับคุณแม่ของลูกอยากให้ลูกรู้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยอายุเท่าลูก เราอายุ 31 ปี มีครอบครัวเล็กๆ เรารู้ว่าลูกอาจจะ เผชิญอะไร อาจเป็นปัญหาทางการเงินหรือปัญหาสุขภาพ อาจเป็นเวลาที่ลูกสงสัยในความเชื่อ ลูกอาจหนักใจกับชีวิต เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น พ่ออยากให้ลูกมาคุยกับพ่อแม่ เราจะช่วยให้ลูกผ่านพ้นไปได้ เราไม่อยากก้าวก่ายชีวิตลูกตลอดเวลา แต่เราอยากให้ลูกรู้ว่าพ่อกับแม่อยู่เคียงข้างลูกเสมอ และขณะที่เราอยู่ด้วยกัน พ่ออยากเล่าให้ลูกฟังเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ของพ่อกับชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อพาโบล”
เมื่อเล่าจบ ข้าพเจ้ากล่าวว่า “เราไม่อยากให้ลูกละเลยการช่วยให้ลูกๆของลูกและหลานของพ่อกับแม่เข้าใจความจริงที่สำคัญนี้”
พี่น้องทั้งหลาย ตอนนี้ข้าพเจ้าตระหนักอย่างลึกซึ้งถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงคาดหวังจากข้าพเจ้าในฐานะคุณพ่อและในฐานะคุณตาในการจัดตั้งกระบวนการที่จะช่วยครอบครัวข้าพเจ้าไม่เพียงได้ยินเท่านั้นแต่เข้าใจด้วย
เมื่อข้าพเจ้าอายุมากขึ้น ข้าพเจ้าใคร่ครวญถ้อยคำเหล่านี้
โอ้ เวลา โอ้ เวลา หากย้อนกลับไปอีกครา
ขอเวลาให้ลูกๆ กลับเป็นเด็กน้อยอีกเพียงหนึ่งคืน!12
ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ แต่ตอนนี้ข้าพเจ้ารู้แล้ว—ว่าไม่เป็นการเร็วเกินไปหรือสายเกินไปที่จะนำ พา และเดินเคียงข้างลูกของเราเพราะครอบครัวเป็นนิรันดร์
ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระบิดาบนสวรรค์ของเราทรงรักเรามาก จึงทรงส่งพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดจากพระองค์ให้ดำเนินชีวิตมรรตัย เพื่อว่าพระเยซูจะตรัสกับเราได้ว่า “เราเคยอยู่ตรงจุดที่เจ้าอยู่ เรารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป และเราจะช่วยให้เจ้าผ่านพ้นไปได้” ข้าพเจ้าทราบว่าพระองค์จะทรงทำเช่นนั้น ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน