ผู้สอนศาสนา ประวัติครอบครัว และงานพระวิหาร
จากคำปราศรัยในการสัมมนาประธานคณะเผยแผ่คนใหม่เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2013
ที่การชุมนุมศักดิ์สิทธิ์ซึ่งจัดขึ้นในพระวิหารเคิร์ทแลนด์ วันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1837 ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธกล่าวว่า “จากทั้งหมดที่กล่าวมา หน้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดคือสั่งสอนพระกิตติคุณ”1
เกือบเจ็ดปีพอดีเมื่อท่านประกาศในวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1844 ว่า “ความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงที่สุดในโลกนี้ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบให้เราคือ แสวงหาคนตายของเรา อัครสาวกกล่าวว่า ‘[พวกเขาจะดีพร้อมไม่ได้หากไม่มีพวกเรา]’ [ดู ฮีบรู 11:40] เพราะจำเป็นที่อำนาจการผนึกจะอยู่ในมือเราเพื่อผนึกลูกหลานของเราและคนตายของเราสำหรับสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา—สมัยการประทานตามสัญญาที่พระเยซูคริสต์ทรงทำไว้ก่อนการวางรากฐานของโลกเพื่อความรอดของมนุษย์”2
บางคนอาจสงสัยว่าทั้งการสั่งสอนพระกิตติคุณ และ การค้นหาคนตายของเราจะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบใหญ่หลวงที่สุดที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบให้บุตรธิดาของพระองค์ไปพร้อมๆ กันได้อย่างไร จุดประสงค์ของข้าพเจ้าคือแนะนำว่าคำสอนเหล่านี้เน้นเอกภาพและความเป็นหนึ่งเดียวของงานแห่งความรอดยุคสุดท้าย งานเผยแผ่ศาสนากับงานพระวิหารและประวัติครอบครัวเป็นด้านที่เสริมกันและเกี่ยวพันกันของงานอันสำคัญยิ่งงานหนึ่ง “ที่จะทำให้แผนงานสำเร็จเมื่อเวลาครบบริบูรณ์แล้ว คือที่จะทรงรวบรวมทุกสิ่งทั้งที่อยู่ในสวรรค์และในแผ่นดินโลกให้อยู่ในพระคริสต์” (เอเฟซัส 1:10)
ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยท่านและข้าพเจ้าขณะที่เราพิจารณางานแห่งความรอดอันน่าอัศจรรย์ในยุคสุดท้ายไปพร้อมๆ กัน
ใจและศาสนพิธีฐานะปุโรหิต
การสั่งสอนพระกิตติคุณและการค้นหาคนตายของเราเป็นความรับผิดชอบสองอย่างที่พระเจ้าทรงกำหนดเพื่อเชื่อมโยงทั้งกับใจเราและกับศาสนพิธีฐานะปุโรหิต แก่นแท้ในงานของพระเจ้าคือเปลี่ยนใจ หันใจ และทำให้ใจบริสุทธิ์ผ่านพันธสัญญาและศาสนพิธีที่ประกอบโดยสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตที่ถูกต้อง
คำว่า ใจ ใช้ในงานมาตรฐานเกิน 1,000 ครั้งและเป็นสัญลักษณ์ของความรู้สึกในใจของแต่ละคน ด้วยเหตุนี้ใจเรา—ผลรวมของความปรารถนา ความเอื้ออาทร ความตั้งใจ เจตนา และเจตคติ—จึงบ่งบอกว่าเราเป็นใครและกำหนดสิ่งที่เราจะเป็น
จุดประสงค์ของพระเจ้าสำหรับงานเผยแผ่ศาสนาคือเชื้อเชิญคนทั้งปวงให้มาหาพระคริสต์ รับพรแห่งพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟู และอดทนจนกว่าชีวิตจะหาไม่ผ่านศรัทธาในพระคริสต์3 เราไม่แบ่งปันพระกิตติคุณเพียงเพื่อเพิ่มจำนวนคนและความเข้มแข็งของศาสนจักรยุคสุดท้าย แต่เราพยายามทำหน้าที่รับผิดชอบที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ประกาศความจริงในแผนแห่งความสุขของพระบิดา ความเป็นพระเจ้าของพระบุตรองค์เดียวผู้ถือกำเนิดของพระองค์ พระเยซูคริสต์ และประสิทธิผลของการพลีพระชนม์ชีพเพื่อชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอด การเชื้อเชิญคนทั้งปวงให้ “มาหาพระคริสต์” (ดู โมโรไน 10:30–33) การประสบ “การเปลี่ยนแปลงอันลึกซึ้ง” ในใจ (ดู แอลมา 5:12–14) และการมอบศาสนพิธีแห่งความรอดให้แต่ละบุคคลที่ยังไม่อยู่ใต้พันธสัญญาในความเป็นมรรตัยคือวัตถุประสงค์พื้นฐานของการสั่งสอนพระกิตติคุณ
การทำให้คนเป็นและคนตายได้รับความสูงส่งเป็นจุดประสงค์ของพระเจ้าสำหรับการสร้างพระวิหารและการประกอบศาสนพิธีแทนผู้วายชนม์ เราไม่นมัสการในพระวิหารศักดิ์สิทธิ์เพียงเพื่อให้แต่ละบุคคลหรือครอบครัวมีประสบการณ์ที่น่าจดจำ แต่เราพยายามทำหน้าที่รับผิดชอบที่พระเจ้าทรงกำหนดให้มอบศาสนพิธีแห่งความรอดและความสูงส่งให้ครอบครัวมนุษย์ทั้งหมด การปลูกฝังสัญญาที่ทำไว้กับบรรพบุรุษ แม้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ไว้ในใจลูกหลาน การหันใจลูกหลานไปหาบรรพบุรุษของพวกเขา รวมถึงการค้นคว้าประวัติครอบครัวและประกอบศาสนพิธีแทนผู้วายชนม์ในพระวิหารคืองานที่เป็นพรแก่บุคคลในโลกวิญญาณที่ยังไม่อยู่ใต้พันธสัญญา
ศาสนพิธีฐานะปุโรหิตเป็นเส้นทางสู่พลังอำนาจของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า
“และฐานะปุโรหิตดังกล่าวที่เหนือกว่าดูแลพระกิตติคุณและถือกุญแจแห่งความลี้ลับของอาณาจักร, แม้กุญแจแห่งความรู้เรื่องพระผู้เป็นเจ้า.
“ฉะนั้น, ในศาสนพิธีของฐานะปุโรหิตนี้, พลังอำนาจของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าจึงแสดงให้ประจักษ์.
“และปราศจากศาสนพิธีของฐานะปุโรหิตนี้, และสิทธิอำนาจของฐานะปุโรหิต, พลังอำนาจของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าไม่แสดงให้ประจักษ์แก่มนุษย์ในเนื้อหนัง” (คพ. 84:19–21)
โปรดพิจารณานัยสำคัญจริงๆ ของข้อเหล่านี้ บุคคล ต้อง ผ่านประตูแห่งบัพติศมาก่อนและรับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์—มุ่งหน้าต่อไปหลังจากนั้นตามเส้นทางแห่งพันธสัญญาและศาสนพิธีที่นำไปหาพระผู้ช่วยให้รอดและพรแห่งการชดใช้ของพระองค์ (2 นีไฟ 31) ศาสนพิธีฐานะปุโรหิตจำเป็นต่อการ “มาหาพระคริสต์ [อย่างเต็มที่], และได้รับการทำให้ดีพร้อมในพระองค์” (ดู โมโรไน 10:30–33) หากปราศจากศาสนพิธี แต่ละบุคคลจะไม่สามารถรับพรทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้โดยผ่านการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้อันไม่มีขอบเขตและเป็นนิรันดร์ของพระเจ้า (ดู แอลมา 34:10–14)—แม้แต่พลังอำนาจของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า
งานของพระเจ้าเป็นงานสูงส่งงานหนึ่งที่เน้นเรื่องใจ พันธสัญญา และศาสนพิธีฐานะปุโรหิต
ความหมายโดยนัย
หลักคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์นี้บอกนัยสำคัญสองประการสำหรับงานของเราในศาสนจักร
หนึ่ง บ่อยครั้งที่เราอาจเน้นมากเกินไปให้แยกประเภทของงานแห่งความรอดกับนโยบายและระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง ข้าพเจ้าเกรงว่าพวกเราหลายคนอาจมุ่งเน้นงานของพระเจ้าเพียงด้านเดียวมากจนเราไม่ได้รับพลังเต็มที่ของการทำงานแห่งความรอดนี้ที่ครอบคลุมทุกด้าน
ขณะพระเจ้าทรงพยายามรวบรวมสิ่งสารพัดเข้าเป็นหนึ่งเดียวในพระคริสต์ เรามักจะแยกส่วนและศึกษาเฉพาะด้านที่จำกัดความเข้าใจและวิสัยทัศน์ของเรา เมื่อมาถึงขีดสุดเราก็จะให้ความสำคัญกับการบริหารโปรแกรมและเพิ่มสถิติมากกว่าการเชื้อเชิญแต่ละบุคคลให้เข้าสู่พันธสัญญาและรับศาสนพิธีอย่างมีค่าควร ท่าทีเช่นนี้จำกัดการทำให้บริสุทธิ์ ปีติ การเปลี่ยนใจเลื่อมใสอย่างต่อเนื่อง พลังและความคุ้มครองทางวิญญาณที่มาจาก “การยอมถวายใจ [เรา] ต่อพระผู้เป็นเจ้า” (ฮีลามัน 3:35) การเพียงแค่ทำและกาเครื่องหมายว่าทำทุกอย่างแล้วตามหน้าที่ในรายการพระกิตติคุณยาวเหยียดที่ “ต้องทำ” ไม่ได้ทำให้เราสามารถรับรูปลักษณ์ของพระองค์ไว้ในสีหน้าของเราหรือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันลึกซึ้งในใจได้เลย (ดู แอลมา 5:14)
สอง วิญญาณของเอลียาห์เป็นศูนย์รวมและสำคัญยิ่งต่องานแห่งการประกาศพระกิตติคุณ บางทีพระเจ้าอาจจะทรงกำลังเน้นความจริงนี้ตามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคราวฟื้นฟูความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณสู่แผ่นดินโลกในยุคสุดท้ายนี้
ในป่าศักดิ์สิทธิ์ โจเซฟ สมิธเห็นและพูดกับพระบิดานิรันดร์และพระเยซูคริสต์ นิมิตดังกล่าวนำเข้าสู่ “เวลาครบบริบูรณ์ [สมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา]” (เอเฟซัส 1:10) และทำให้โจเซฟได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระลักษณะแท้จริงของพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์และการเปิดเผยต่อเนื่อง
ประมาณสามปีต่อมา เพื่อตอบคำสวดอ้อนวอนที่จริงใจในคืนวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1823 ห้องนอนของโจเซฟเต็มไปด้วยแสงสว่างจนห้อง “สว่างยิ่งกว่าตอนเที่ยงวัน” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:30) รูปกายหนึ่งปรากฏที่ข้างเตียง เรียกชื่อเด็กหนุ่ม และประกาศว่า “ท่านเป็นผู้ส่งสารที่ส่งมาจากที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า … และชื่อของท่านคือโมโรไน” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:33) ท่านแนะนำโจเซฟเกี่ยวกับการออกมาของพระคัมภีร์มอรมอน และจากนั้นโมโรไนได้อ้างคำพูดจากหนังสือของมาลาคีในพันธสัญญาเดิม โดยใช้ภาษาต่างจากที่ใช้ในฉบับคิงส์เจมส์เล็กน้อย
“ดูเถิด, เราจะเปิดเผยฐานะปุโรหิตแก่เจ้า, โดยมือของเอลียาห์ศาสดาพยากรณ์, ก่อนการมาของวันสำคัญยิ่งและน่าพรั่นพรึงของพระเจ้า … และท่านจะปลูกสัญญาที่ทำกับบรรพบุรุษไว้ในใจของลูกหลาน, และใจของลูกหลานจะหันไปหาบรรพบุรุษของพวกเขา. หากไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งแผ่นดินโลกจะร้างลงสิ้น ณ การเสด็จมาของพระองค์” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:38–39)
คำแนะนำที่โมโรไนให้ศาสดาพยากรณ์หนุ่มรวมสาระสำคัญพื้นฐานสองประการนี้ไว้ด้วย ได้แก่ (1) พระคัมภีร์มอรมอน และ (2) ถ้อยคำของมาลาคีทำนายบทบาทของเอลียาห์ในการฟื้นฟู “สรรพสิ่งตามที่พระเจ้าตรัสไว้โดยปากของบรรดาผู้เผยพระวจนะบริสุทธิ์ของพระองค์ตั้งแต่กาลโบราณมา” (กิจการ 3:21) ด้วยเหตุนี้ เหตุการณ์ที่นำเข้าสู่การฟื้นฟูจึงเปิดเผยความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ ยืนยันความเป็นจริงของการเปิดเผยต่อเนื่อง เน้นความสำคัญของพระคัมภีร์มอรมอน คาดหวังงานแห่งความรอดและความสูงส่งสำหรับทั้งคนเป็นและคนตาย
ตอนนี้โปรดพิจารณาบทบาทของพระคัมภีร์มอรมอนในการเปลี่ยนแปลงใจ—และวิญญาณของเอลียาห์ในการหันใจ
พระคัมภีร์มอรมอนผนวกกับพระวิญญาณของพระเจ้าเป็น “เครื่องมือยอดเยี่ยมที่สุดเครื่องมือเดียวที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้เราใช้ทำให้ชาวโลกเปลี่ยนใจเลื่อมใส”4 การฟื้นฟูพระคัมภีร์เล่มนี้เป็นศิลาหลักของศาสนาเราและจำเป็นต่อการนำจิตวิญญาณมาหาพระผู้ช่วยให้รอด พระคัมภีร์มอรมอนเป็นพยานหลักฐานอีกเล่มหนึ่งของพระเยซูคริสต์—พยานยืนยันอันสำคัญยิ่งถึงความเป็นพระเจ้าของพระผู้ไถ่ในโลกที่นับวันจะใฝ่ทางโลกและชอบเยาะเย้ยถากถางมากขึ้น ใจเปลี่ยนเมื่อบุคคลนั้นอ่านและศึกษาพระคัมภีร์มอรมอนและสวดอ้อนวอนด้วยเจตนาแท้จริงเพื่อเรียนรู้ความจริงของพระคัมภีร์ดังกล่าว
วิญญาณของเอลียาห์คือ “การแสดงให้ประจักษ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยทรงเป็นพยานถึงความศักดิ์สิทธิ์ของครอบครัว”5 อิทธิพลที่เด่นชัดนี้ของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพยานอันทรงพลังถึงแผนแห่งความสุขของพระบิดาและดึงดูดผู้คนให้ค้นหาและใส่ใจบรรพชนตลอดจนสมาชิกครอบครัวของพวกเขา—ทั้งอดีตและปัจจุบัน วิญญาณของเอลียาห์มีผลต่อทั้งคนในและคนนอกศาสนจักรทั้งยังเป็นเหตุให้ใจหันไปหาบรรพบุรุษ
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่มากขึ้นจากการผนึกกำลังกันของการเปลี่ยนแปลงอันลึกซึ้งในใจที่ส่วนใหญ่แล้วเกิดขึ้นได้จากพลังทางวิญญาณของพระคัมภีร์มอรมอนกับการหันใจไปหาบรรพบุรุษซึ่งทำสำเร็จผ่านวิญญาณของเอลียาห์ ความปรารถนาจะเชื่อมโยงกับอดีตสามารถเตรียมบุคคลให้พร้อมรับคุณธรรมแห่งพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าและเสริมสร้างศรัทธา การหันใจไปหาบรรพบุรุษช่วยให้บุคคลต้านทานอิทธิพลของปฏิปักษ์และเพิ่มพลังการเปลี่ยนใจเลื่อมใสได้ดีที่สุด
ดูวีดิทัศน์ตอนที่สอง ประธานคณะเผยแผ่กำลังพูดถึงวิธีที่ผู้สอนศาสนาพูดคุยกับผู้คนเกี่ยวกับประวัติครอบครัว
หลักธรรม
ตอนนี้ข้าพเจ้าต้องการระบุหลักธรรมสี่ข้อเกี่ยวกับพลังทางวิญญาณที่เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงใจและการหันใจ
-
ใจและการเปลี่ยนใจเลื่อมใส การหันไปหาบรรพบุรุษปลุกใจและเตรียมใจรับการเปลี่ยนแปลงอันลึกล้ำ ด้วยเหตุนี้วิญญาณของเอลียาห์จึงช่วยในการเปลี่ยนใจเลื่อมใส
ดูวีดิทัศน์ตอนที่สาม ประวัติครอบครัวช่วยให้ผู้คนเปลี่ยนใจเลื่อมในพระกิตติคุณอย่างไร
4:33 -
ใจและการรักษาให้คงอยู่ การหันไปหาบรรพบุรุษค้ำจุนและเพิ่มพลังให้ใจที่เคยประสบการเปลี่ยนแปลงอันลึกซึ้ง ด้วยเหตุนี้วิญญาณของเอลียาห์จึงช่วยในการรักษาผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่ให้คงอยู่
ดูวีดิทัศน์ตอนที่สี่ ประวัติครอบครัวและงานพระวิหารช่วยผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่อย่างไร
-
ใจและการนำกลับสู่ความแข็งขัน การหันไปหาบรรพบุรุษทำให้ใจที่แข็งกระด้างอ่อนโยนลงหลังจากประสบการเปลี่ยนแปลงอันลึกซึ้ง ด้วยเหตุนี้ วิญญาณของเอลียาห์จึงเป็นกุญแจในการนำกลับสู่ความแข็งขัน
ดูวีดิทัศน์ตอนที่ห้า ประวัติครอบครัวและงานพระวิหารช่วยให้สมาชิกกลับมาแข็งขันในศาสนจักรอย่างไร
3:59 -
ใจและผู้สอนศาสนาที่กล้าหาญ ผู้สอนศาสนาที่เคยปะสบทั้งการเปลี่ยนแปลงอันลึกซึ้งและการหันใจจะเป็นผู้รับใช้ที่กล้าหาญ อุทิศตน และเปลี่ยนใจเลื่อมใสมากขึ้น
ดูวีดิทัศน์ตอนที่หก ประวัติครอบครัวและงานพระวิหารช่วยเยาวชนเตรียมรับใช้งานเผยแผ่อย่างไร
3:14
เนื่องด้วยกองกำลังผู้สอนศาสนาพร้อมมากขึ้นและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เราจึงไม่สามารถใช้เฉพาะความสำเร็จด้านการเผยแผ่ในอดีตกำหนดวิถีและวิธีการของเราสำหรับอนาคต พระเจ้าทรงดลใจเรื่องเทคโนโลยีและเครื่องมือซึ่งเปิดทางให้เราได้ประโยชน์จากเอกภาพของงานเผยแผ่ศาสนากับงานพระวิหารและประวัติครอบครัวมากกว่าช่วงเวลาก่อนหน้านี้ในสมัยการประทานของเรา และไม่ใช่ความบังเอิญที่นวัตกรรมเหล่านี้ออกมาประจวบกับเวลาที่ต้องการอย่างมากเพื่อทำให้งานเผยแผ่ศาสนารุดหน้าทั่วโลก งานของพระเจ้าเป็นงานสูงส่งงานหนึ่งซึ่งเน้นเรื่องใจที่เปลี่ยนและการหันใจ พันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ และพลังอำนาจของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าซึ่งแสดงให้ประจักษ์ผ่านศาสนพิธีฐานะปุโรหิต
สรุปและประจักษ์พยาน
พระเจ้าทรงประกาศว่า “เราสามารถทำงานของเราเองได้” (2 นีไฟ 27:21) และ “เราจะเร่งงานของเราเมื่อถึงเวลา” (คพ. 88:73) เราเป็นพยานถึงการเร่งงานของพระองค์
เรามีชีวิตและรับใช้ในสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา การรับรู้ความสำคัญนิรันดร์ของสมัยการประทานอันโดดเด่นที่เรามีชีวิตอยู่ควรมีอิทธิพลต่อทั้งหมดที่เราทำและพยายามจะเป็น งานแห่งความรอดที่ต้องทำให้สำเร็จในวันเวลาสุดท้ายเป็นงานใหญ่ กว้างไกล จำเป็น และเร่งด่วน เราแต่ละคนควรสำนึกคุณเพียงใดต่อพรและความรับผิดชอบของการมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาพิเศษนี้ของสมัยการประทานสุดท้าย เราควรอ่อนน้อมถ่อมตนเพียงใดที่รู้ว่า “จากเขาผู้ที่ประทานให้มากก็เรียกร้องจากเขามาก” (คพ. 82:3)
การสั่งสอนพระกิตติคุณและการค้นหาคนตายเป็นส่วนเสริมกันของงานอันสำคัญยิ่งงานเดียว—งานแห่งความรักที่มุ่งหมายจะเปลี่ยนใจ หันใจ และทำให้ใจผู้แสวงหาความจริงอย่างซื่อสัตย์บริสุทธิ์ แนวแบ่งเขตปลอมๆ ที่เรามักวางกั้นระหว่างงานเผยแผ่ศาสนากับงานพระวิหารและประวัติครอบครัวกำลังถูกลบ นี่เป็นงานอันสำคัญยิ่งงานเดียวของความรอด6
เราเริ่มเข้าใจบทบาทของงานพระวิหารและประวัติครอบครัวในการช่วยให้ผู้สนใจหรือสมาชิกที่แข็งขันน้อยเข้าใจแผนแห่งความรอดลึกซึ้งขึ้นหรือไม่ เราตระหนักไหมว่าอิทธิพลมากสุดอย่างหนึ่งที่มีต่อการรักษาผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสให้คงอยู่คือวิญญาณของเอลียาห์ เราซาบซึ้งอย่างเต็มที่มากขึ้นหรือไม่ถึงความสำคัญของช่วงเวลาหันใจซึ่งเกิดจากการแบ่งปันเรื่องราวครอบครัวอันเป็นวิธีหาคนให้สอนทั้งโดยสมาชิกและผู้สอนศาสนา เราจะช่วยคนที่เรารับใช้ให้เข้าถึงพลังอำนาจแห่งความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าบ่อยขึ้นได้หรือไม่โดยเข้าร่วมศาสนพิธีต่างๆ อย่างมีค่าควร เช่น ศีลระลึก บัพติศมาและการยืนยันแทนคนตาย
ขอให้ท่านมองเห็นชัดเจน ได้ยินไม่ผิด และจดจำความสำคัญของการรับใช้ในงานของพระเจ้า ของการเปลี่ยนใจ การหันใจ และการทำให้ใจบริสุทธิ์