เกิดความเข้าใจลึกซึ้งในพระกิตติคุณผ่าน การเป็นมารดา
ผู้เขียนอาศัยอยู่ในไอดาโฮ สหรัฐอเมริกา
การเป็นมารดาสามารถเปิดโอกาสพิเศษให้เราได้เรียนรู้หลักคำสอนของพระเจ้าผ่านพระวิญญาณ
มารดาทุกคนรู้ว่าการบริหารเวลาเปลี่ยนไปมากหลังจากมีเด็กเกิดในครอบครัว ขณะเรียนรู้วิธีบริหารเวลากับลูกเล็กๆ สี่คนอีกครั้ง ดิฉันประสบช่วงเวลาที่น่าท้อใจ—โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงเวลาศึกษาพระกิตติคุณ การจัดเวลาศึกษาพระคัมภีร์ทำได้ยากและต้องแน่ใจว่ามีความหมาย แต่ประสบการณ์สองสามครั้งสอนดิฉันว่าเมื่อดิฉันเชื่อฟังและสวดอ้อนวอน พระเจ้าจะทรงสอนดิฉันในวิธีอื่น
พระบิดามารดาบนสวรรค์ของเรา
วันหนึ่งขณะกำลังรีดผ้า แคลร์วัยหนึ่งขวบเริ่มร้องไห้อยู่ในเปลของเธอ ช่วงนั้นเป็นเวลานอนกลางวัน และดิฉันรู้ว่าถ้าดิฉันรีบเอาจุกนมให้เธอ เธอจะหลับต่อได้ ลูซีวัยสามขวบเล่นอยู่ในห้องที่ดิฉันกำลังรีดผ้า ดิฉันเถียงกับตัวเองครู่หนึ่ง แล้วก็ตัดสินใจเปิดเตารีดทิ้งไว้อย่างนั้นโดยรู้ว่าจะออกไปนอกห้องประเดี๋ยวเดียว “ลูซี ลูกเห็นเตารีดบนโต๊ะใช่ไหม” ดิฉันถาม “มันร้อนมาก แม่ต้องเอาจุกนมให้แคลร์ อย่าจับเตารีดตอนแม่ไม่อยู่นะ ลูกจะได้ไม่เจ็บตัว”
ดิฉันมั่นใจว่าลูซีเข้าใจ ด้วยเหตุนี้จึงรีบออกจากห้อง ดิฉันกลับมาครู่เดียวหลังจากนั้น และได้ยินเสียงร้องไห้กระซิกๆ อยู่หลังเก้าอี้
“ลูซี” ดิฉันถาม “ลูกอยู่ที่ไหน”
เธอไม่ตอบ
“ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า ไปแอบอยู่ตรงนั้นทำไม”
ดิฉันเดินไปหลังเก้าอี้และนั่งลงบนพื้น เธอเอามือปิดหน้า หลังจากไม่ยอมบอกดิฉันอยู่ครู่หนึ่งว่าเกิดอะไรขึ้น ในที่สุดเธอก็พูดว่า “แม่คะ หนูโดนเตารีดค่ะ”
ตอนแรกดิฉันสับสนที่เธอไม่ได้ใส่ใจคำเตือนของดิฉัน แต่แล้วก็รู้สึกใจสลายที่เธอแอบดิฉันหลังจากทำผิดเล็กๆ น้อยๆ เพราะเกรงว่าดิฉันจะหมดรักเธอและไม่เชื่อใจเธออีก ดิฉันรู้ว่าเธอไม่สามารถทำให้ความเจ็บปวดหายไปได้ และดิฉันเท่านั้นที่จะช่วยทำให้นิ้วที่ถูกเตารีดรู้สึกดีขึ้นได้ ดิฉันปลอบลูซี ขณะรีบพาเธอไปที่อ่างล้างหน้าในห้องน้ำเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด พระวิญญาณทรงกระซิบบอกกับใจดิฉันว่า “พระบิดาบนสวรรค์ทรงรู้สึกแบบนี้แหละเมื่อลูกๆ ของพระองค์ไม่เอาใจใส่คำเตือนของพระองค์และไม่ยอมให้พระองค์บรรเทาความเจ็บปวดทั้งที่พวกเขาต้องการมากที่สุด” ในขณะนั้น ดิฉันรู้สึกปีติอย่างยิ่งกับความรู้นี้และมั่นใจว่าพระเจ้าเต็มพระทัยสอนดิฉัน
จิตกุศลที่บริสุทธิ์
ไม่กี่ปีต่อมาดิฉันได้รับเรียกเป็นที่ปรึกษาในฝ่ายประธานสมาคมสงเคราะห์วอร์ด ดิฉันรู้สึกไม่คู่ควรกับการเรียกนี้ ดิฉันเริ่มศึกษาหลักธรรมเรื่องจิตกุศล ดิฉันสวดอ้อนวอนให้มีจิตกุศลเหมือนพระคริสต์มากขึ้นต่อพี่น้องสตรีที่ดิฉันรับใช้ แต่ดิฉันไม่แน่ใจว่าของประทานฝ่ายวิญญาณดังกล่าวนี้จะเป็นอย่างไรหรือรู้สึกเช่นไร
วันหนึ่งความวิตกกังวลทำให้ดิฉันทุกข์ใจมากขณะทำอาหารกลางวัน แอนนีลูกสาวคนที่สามนั่งอยู่บนบันไดขั้นกลาง กำลังง่วนอยู่กับจินตนาการวัยสองขวบของเธอ ดิฉันเฝ้ามองขณะเธอเอนหลังไปคว้าของเล่น เสียหลัก และกลิ้งตกบันไดลงมาสี่ห้าขั้น ดิฉันวิ่งไปหาเธอและพยายามปลอบเธอให้หยุดร้องไห้ ดิฉันทำให้เธอเงียบพอจะได้ยินเสียงสะอื้นนิดๆ ดังมาจากโต๊ะในครัว ดิฉันมองไปเห็นแคลร์วัยห้าขวบกำลังร้องไห้
“มานี่มา” ดิฉันบอกเธอ “เป็นอะไรหรือลูก”
เธอวิ่งมากอดดิฉันกับแอนนี คำที่เธอพูดเป็นคำตอบตรงกับคำถามเกี่ยวกับจิตกุศลที่ดิฉันสวดอ้อนวอนถาม
“หนูเห็นแอนนีตกบันได แล้วหนูก็มองเธอและเห็นว่าเธอรู้สึกเสียใจ” เธอตอบ “หนูอยากจะตกบันไดแทนแอนนีมากกว่าจะเห็นเธอตกลงมา”
ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในใจดิฉันผ่านพระวิญญาณ “นั่น คือจิตกุศล”
เพิ่มพูนในศรัทธา
เมื่อเร็วๆ นี้ สามีดิฉันสอนลูกๆ เรื่องโมเสส ดิฉันพูดว่า “แม่คิดว่าศรัทธาของมารดาโมเสสน่าทึ่งมาก! เธอปล่อยเขาไปตามสายน้ำและสวดอ้อนวอนขอพระบิดาบนสวรรค์ทรงคุ้มครองให้เขาปลอดภัย ลองนึกดูว่าเธอต้องใช้ศรัทธามากขนาดไหนเพื่อเธอจะวางใจให้พระบิดาบนสวรรค์ดูแลลูกน้อยของเธอ”
ลูซีถามว่า “แม่คะ แม่มีศรัทธามากขนาดนั้นมั้ยคะ”
นั่นเป็นคำถามที่ลึกซึ้ง ดิฉันใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วก็เล่าประสบการณ์บางอย่างที่ดิฉันเคยมีเมื่อดิฉันวางใจพระเจ้าด้วยศรัทธา การสนทนาต่อจากนั้นเป็นอุทาหรณ์สอนใจทุกคนในครอบครัว คำถามของเธออยู่ในความคิดดิฉันตลอดเวลา นั่นทำให้ดิฉันรู้แน่นอนว่าดิฉันสามารถมีศรัทธาเหมือนมารดาของโมเสสได้
ขณะที่ดิฉันดำเนินชีวิตด้วยศรัทธา สวดอ้อนวอนทูลถาม และศึกษาอย่างเชื่อฟัง พระเจ้าทรงใช้ประสบการณ์การเป็นมารดาของดิฉันสอนหลักคำสอนของพระองค์ผ่านพระวิญญาณ และพระองค์ทรงสอนดิฉันบ่อยๆ แม้จะมีข้อจำกัดด้านเวลาของการเป็นบิดามารดา