2016
เอ็ลเดอร์โรนัลด์ เอ. ราสแบนด์: ผู้นำที่มีพรสวรรค์, บิดาที่อุทิศตน
เมษายน 2016


เอ็ลเดอร์โรนัลด์ เอ. ราสแบนด์: ผู้นำที่มีพรสวรรค์, บิดาที่อุทิศตน

ภาพ
Elder Rasband

ภาพถ่าย เอื้อเฟื้อโดยครอบครัวราสแบนด์ ยกเว้นที่ระบุไว้

รอน ราสแบนด์ไม่เคยสงสัยเลยว่าท่านจะรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาเต็มเวลาหรือไม่ คำถามเดียวที่ชายหนุ่มวัย 19 ปีมีขณะที่ท่านเปิดหมายเรียกคือท่านจะรับใช้ ที่ไหน

“พ่อของผมไปรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาที่เยอรมนี พี่ชายของผมไปรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาที่เยอรมนี ว่าที่พี่เขยของผมไปรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาที่เยอรมนี” ท่านเล่า “ผมคิดว่าผมจะไปเยอรมนี”

แต่พระเจ้าทรงมีแผนอื่น รอนได้รับเรียกให้ไปคณะเผยแผ่สหรัฐตะวันออก มีสำนักงานใหญ่อยู่ในนิวยอร์ก ซิตี้ สหรัฐอเมริกา ด้วยความผิดหวัง ท่านนำหมายเรียกไปที่ห้องนอน คุกเข่าข้างเตียง กล่าวคำสวดอ้อนวอน สุ่มเปิดพระคัมภีร์ และเริ่มอ่าน

“ดูเถิด, และดูสิ, เรามีผู้คนมากในสถานที่นี้, ในภูมิภาคต่างๆ โดยรอบ; และประตูที่ให้ประสิทธิผลจะเปิดในภูมิภาคต่างๆ โดยรอบใน แผ่นดินนี้ทางตะวันออก.

“ฉะนั้น, เรา, พระเจ้า, ยอมให้เจ้ามายังสถานที่นี้; เพราะเราเห็นสมควรดังนั้นเพื่อความรอดของจิตวิญญาณ” (คพ. 100:3–4; เน้นตัวเอน)

ทันใดนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันกับรอนว่าการเรียกไปคณะเผยแผ่สหรัฐตะวันออกไม่ได้เป็นข้อผิดพลาด

“จากที่ผมผิดหวังกลายเป็นว่าผมได้รับประสบการณ์การดลใจจากพระคัมภีร์ครั้งแรกในหลายๆ ครั้ง ว่านี่เป็นที่ซึ่งพระเจ้าต้องการให้ผมไป” ท่านเล่า “นั่นเป็นประสบการณ์ทางวิญญาณที่สำคัญมากสำหรับผม”

งานเผยแผ่ของท่านที่สหรัฐตะวันออกเป็นการเรียกครั้งแรกของหลายๆ การเรียกในศาสนจักรที่จะนำท่านไปยังสถานที่ต่างๆ โดยที่ท่านไม่เคยคาดคิดว่าจะไป และกับแต่ละการเรียก—ในฐานะครู อธิการ สภาสูง ประธานคณะเผยแผ่ สมาชิกโควรัมสาวกเจ็ดสิบ ประธานอาวุโสของโควรัมสาวกเจ็ดสิบ และอัครสาวกของพระเจ้าพระเยซูคริสต์—เอ็ลเดอร์โรนัลด์ เอ. ราสแบนด์ยอมรับพระประสงค์ของพระเจ้าและยังคงพึ่งพาพระวิญญาณของพระองค์ขณะที่ท่านรับใช้บุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าต่อไป

เกิดจากบิดามารดาผู้ประเสริฐ

ในคำปราศัยครั้งแรกของท่านในฐานะอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ เอ็ลเดอร์โรนัลด์ เอ. ราสแบนด์แสดงความสำนึกคุณจากใจต่อบรรพชนของท่าน “ข้าพเจ้าเกิดจากบิดามารดาผู้ประเสริฐในพระกิตติคุณ” ท่านกล่าว “และพวกท่านเองมีบิดามารดาผู้ประเสริฐย้อนกลับไป 6 รุ่น”1

ภาพ
young Elder Rasband with parents

มารดาของท่าน เวอร์ดา แอนเดอร์สัน ราสแบนด์ เป็นผู้นำที่เปี่ยมด้วยความรักผู้ฟูมฟักความรักพระคัมภีร์ของรอนในในวัยเด็ก บิดาของท่าน รูลอน ฮอว์กิ้นส์ ราสแบนด์ เป็นผู้ดำรงฐานะปุโรหิตที่ซื่อสัตย์ผู้เป็นแบบอย่างของคุณค่าในการทำงานหนัก

ท่านเกิดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1951 ในซอลท์เลค ซิตี้ ยูทาห์ สหรัฐอเมริกา โรนัลด์ เอ. (แอนเดอร์สัน) ราสแบนด์เป็นบุตรคนเดียวจากการสมรสของบิดามารดาท่าน ทั้งสองท่านแต่งงานและหย่า รอนเติบใหญ่ภายใต้การดูแลเพิ่มเติมจากพี่ชายสองคนและพี่สาวหนึ่งคน

“เขาเป็นส่วนผสมของพ่อแม่เรา เราทุกคนจึงรักเขา” แนนซี่ ชินเดอร์ พี่สาวของเขากล่าว “รอนไม่เคยยอมให้แม่กับพ่อยืนอยู่ข้างกันหรือนั่งข้างกันโดยไม่มีเขาอยู่ตรงกลาง”

โดยปกติรอนเป็นเด็กดี แต่เขาก็ยอมรับว่ามีด้านที่ซนอยู่บ้าง

“เกินกว่าสองสามครั้งที่ครู [ปฐมวัย] ของผมไปหาแม่ผม ที่เป็นประธานปฐมวัยสเตคและบอกว่า ‘เจ้าหนูรอนนี่ ราสแบนด์ดื้อ’” ท่านกล่าว “แต่พวกเขาก็ไม่เคยทิ้งผม พวกเขาแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่ต่อผมและชวนผมกลับไปที่ชั้นเรียนเสมอ”2

ชีวิตวัยเด็กของรอนมีศูนย์กลางอยู่ในศาสนจักร—การประชุมวอร์ด งานสังสรรค์วอร์ด อาหารเย็นของวอร์ด และทีมกีฬาวอร์ด เมื่อท่านไม่วุ่นอยู่กับงานที่อาคารประชุมวอร์ดคอตตอนวูดที่หนึ่ง ท่านรับจ้างทำงานจิปาถะ ทำกิจกรรมลูกเสือ และใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆ ที่บ้าน เวลาของครอบครัวมุ่งไปที่พระคัมภีร์ เกม และงานบ้าน

“พ่อผมสอนผมว่างานคืออะไรผ่านแบบอย่างของท่าน” ท่านกล่าว “แม่ผมสอนผมเกี่ยวกับงานโดยให้ผมทำงาน”

พ่อของรอนขับรถส่งขนมปัง ลุกขึ้นตีสี่ทุกวันและกลับบ้านดึกทุกคืน แม่ของท่านอยู่บ้านเลี้ยงดูลูกๆ หารายได้เสริมให้ครอบครัวโดยการทำและขายตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ

ความสามารถในการนำ การแบ่งงาน และทำให้สำเร็จที่มีมาตั้งแต่เกิดของรอน—ซึ่งจะช่วยเขาได้ดีในความรับผิดชอบด้านงานอาชีพและในตำแหน่งฐานะปุโรหิต—แสดงให้เห็นว่าได้ใช้ตั้งแต่เล็ก

“รอนได้รับมอบหมายให้ตัดหญ้า” พี่สาวของท่านเล่าให้ฟัง แต่รอน ซึ่งเหมือนกับทอม ซอเยอร์ในหนังสือของมาร์ก ทเวน มีวิธีเกลี้ยกล่อมให้เพื่อนช่วย

“ดิฉันมองออกไปข้างนอก และจะเห็นว่าเพื่อนสนิทของเขาตัดหญ้าให้เขา” แนนซี่กล่าว “สัปดาห์ต่อมาจะเป็นเพื่อนอีกคนของเขาช่วยเขาตัด เขาแค่นั่งอยู่เฉลียงหน้าบ้าน หัวเราะและพูดเรื่องตลกกับพวกเขาขณะที่พวกเขาทำงานให้รอน”

พ่อแม่ของรอนมีปัญหาด้านการเงิน แต่ครอบครัวก็มีพระกิตติคุณ “เราไม่เคยมีเงินเยอะ” รอนเล่า “แต่นั่นไม่เคยส่งผลต่อความสุขของผม”

เพื่อนและผู้นำผู้เป็นที่วางใจ

ขณะเติบใหญ่ รอนได้รับพรโดยมีเพื่อนที่ดีและผู้นำฐานะปุโรหิตที่วางใจได้ รวมถึงประธานสเตคเมื่อท่านอายุ 14 ปี—เจมส์ อี. เฟาสท์ (1920–2007) ผู้ที่ต่อมารับใช้ในโควรัมอัครสาวกสิบสองและในฝ่ายประธานสูงสุด ครอบครัวของรอนมีความสุขกับสัมพันธภาพอันใกล้ชิดกับประธานเฟาสท์และครอบครัวของท่าน “ท่านมักจะเรียกผมว่าเป็นเด็กหนุ่มในคอตต้อนวูดของท่านคนหนึ่งเนื่องจากท่านช่วยเลี้ยงดูผม” ท่านกล่าว

รอนไม่มีเวลาเล่นกีฬาที่โรงเรียนเมื่อท่านเข้าเรียนมัธยมปลายเพราะท่านทำงานอยู่เสมอ แต่ท่านจัดเวลาให้มิตรภาพอันภักดีที่จะยั่งยืนตลอดชีวิต

“ผมชื่นชมรอนในตัวตนที่เขาเป็นเสมอ แต่เขาก็ไม่ได้ดีพร้อม” เครก แม็คเคลียรี่เพื่อนสมัยเด็กกล่าว เขาเล่าพร้อมรอยยิ้มว่า “ผมบอกเขาว่าหากเขาไปสวรรค์ ผมก็ไปได้ด้วยเพราะเราทำทุกอย่างเหมือนกันสมัยเป็นเด็ก”

รอนไปรับใช้งานเผยแผ่ก่อนในปี 1970 แต่เครกคิดว่าจะเลื่อนการรับใช้งานเผยแผ่ศาสนาไปจนสิ้นฤดูล่าสัตว์ในช่วงใบไม้ร่วงนั้น นั่นเป็นช่วงที่รอนโทรมาหาเขาจากงานเผยแผ่ของท่าน

“ผมไม่รู้ว่าเขาได้รับอนุญาตให้โทรได้อย่างไร แต่เขาตำหนิผมที่ไม่ตื่นเต้นในการออกไปรับใช้งานเผยแผ่ของผม” บราเดอร์แม็คเคลียรี่กล่าว “แน่นอน ผมไม่เลื่อนออกไปอีก”

รอนเรียกงานเผยแผ่ของท่านว่าประสบการณ์อัน “ยอดเยี่ยม” “พระเจ้าประทานพรผมด้วยประสบการณ์มหัศจรรย์ที่ก่อเกิดศรัทธาหลายอย่าง” ท่านกล่าว “งานเผยแผ่ของผมยิ่งใหญ่สำหรับชีวิตทางวิญญาณของผม”

รอนใช้เวลาบางส่วนในงานเผยแผ่ของท่านที่หมู่เกาะเบอร์มิวดา ฮาโรลด์ นีไฟ วิลกินสัน ประธานคณะเผยแผ่ของท่าน ส่งเฉพาะ “ผู้สอนศาสนาที่ซื่อตรง” ไปที่นั่นเพราะท่านไปเยี่ยมพวกเขาได้เฉพาะบางโอกาสเท่านั้น

“เราอยู่ด้วยตัวเอง แต่ประธานไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพวกเรา” รอนเล่า “เราทำงานสำเร็จ”

“สาวในฝัน” แห่งสโมสร Delta Phi

หลังจากจบงานเผยแผ่ของท่านในปี 1972 รอนได้งาน ลงเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งยูทาห์ในฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น และเข้าร่วมสโมสร Delta Phi Kappa สมาคมนักศึกษาชายสำหรับอดีตผู้สอนศาสนา ในกิจกรรมสังคมของชมรม ท่านสังเกตเห็นสตรีสาวมีเสน่ห์คนหนึ่งชื่อเมลานี ทวิทเชล เมลานีเป็นหนึ่งใน “สาวในฝัน” ที่ได้รับคัดเลือกจากสโมสร Delta Phi ซึ่งช่วยกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ของชมรม

เช่นเดียวกันกับรอน เมลานีมาจากครอบครัววิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่แข็งขัน บิดาของเธอ รับราชการทหาร และมารดาของเธอไม่เคยทำให้การย้ายครอบครัวบ่อยครั้งเป็นข้อแก้ตัวให้พวกเขาขาดโบสถ์

เมลานีประทับใจความใจดี มารยาท และความรู้ในพระกิตติคุณของรอน “ดิฉันบอกตัวเองว่า ‘เขาช่างเป็นผู้ชายที่น่าทึ่งซึ่งไม่สำคัญว่าดิฉันจะได้ออกเดทกับเขาหรือไม่ ดิฉันแค่อยากเป็นเพื่อนสนิทของเขา’”

เมื่อสัมพันธภาพของพวกท่านแน่นแฟ้นขึ้น พระวิญญาณยืนยันความรู้สึกของเธอเกี่ยวกับรอนและคำมั่นสัญญาที่เขามีต่อพระเจ้า หลังจากมิตรภาพของทั้งสองเบ่งบานจนถึงสิ่งที่เมลานีเรียกว่าเป็น “เรื่องราวความรักดั่งนิยาย”

เอ็ลเดอร์ราสแบนด์บอกว่าเธอเป็นคนที่เข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ “เมลานีเท่าเทียมกับผมในการอุทิศตนต่อพระกิตติคุณและการเป็นมรดกตกทอดทางพระกิตติคุณทุกอย่าง เรากลายเป็นเพื่อนสนิทกัน และนั่นเป็นเวลาที่ผมขอเธอแต่งงาน”

ภาพ
Rasbands wedding day

พวกท่านแต่งงานกันเมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1973 ในพระวิหารซอลท์เลค นับแต่นั้นเป็นต้นมา ท่านกล่าวว่า “คู่นิรันดร์ที่ไม่นึกถึงแต่ตนเอง [ของท่าน] … ช่วยปั้นแต่งผมเหมือนกับดินปั้นหม้อเพื่อให้เป็นสานุศิษย์ที่ได้รับการขัดเกลายิ่งขึ้นของพระเยซูคริสต์ ความรักและการสนับสนุนของเธอ และจากลูกทั้ง 5 คนของเรา คู่ครองของพวกเขา และหลานๆ ทั้ง 24 คนของเรา ค้ำจุนผม”3

“ไปกันเถอะ”

ขณะรับใช้เป็นประธานโควรัมเอ็ลเดอร์ของวอร์ดนักศึกษาที่แต่งงานแล้ว รอนทำความรู้จักคุ้นเคยกับจอน ฮันท์แมน ซีเนียร์ สภาสูงที่ให้คำปรึกษาของวอร์ด จอนรู้สึกประทับใจวิธีที่รอนดำเนินงานโควรัมในทันที

“เขามีทักษะการจัดการองค์การและการเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม” เอ็ลเดอร์ฮันท์แมน ผู้รับใช้เป็นสาวกเจ็ดสิบภาคจากปี 1996 ถึง 2011 เล่า “ผมคิดว่านั่นไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ชายหนุ่มซึ่งยังเรียนมหาวิทยาลัยจะดำเนินงานโควรัมเช่นนั้น”

เป็นเวลาหลายเดือน ที่จอนมองดูรอนทำให้แนวคิดกลายเป็นการกระทำขณะที่เขาทำหน้าที่ฐานะปุโรหิตให้เสร็จสมบูรณ์ เมื่อบริษัทของจอนเปิดรับตำแหน่งเจ้าหน้าที่การตลาดอาวุโส—ซึ่งภายหลังเป็นบริษัทฮันท์แมนเคมิคอล—ท่านได้ข้อสรุปว่ารอนมีความสามารถที่ท่านต้องการและเสนองานให้รอน ตำแหน่งงานดังกล่าวเริ่มในสัปดาห์ต่อมาที่โอไฮโอ สหรัฐอเมริกา

“ผมบอกเมลานีว่า ‘ผมจะไม่พักการเรียนและย้าย’” รอนเล่า “ผมทำงานมาทั้งชีวิตเพื่อเรียนจบมหาวิทยาลัย และผมใกล้จะถึงเป้าหมายของผมแล้ว”

เมลานีเตือนความจำรอนว่าการได้งานที่ดีเป็นสาเหตุที่เขาเรียน

“คุณกังวลเรื่องอะไรหรือคะ” เธอถาม “ฉันรู้วิธีเก็บกระเป๋าและย้าย ฉันทำมาทั้งชีวิตแล้ว ฉันจะให้คุณโทรหาแม่ทุกคืนเลย เราไปกันเถอะ”

ภาพ
Elder Rasband with Jon Huntsman Sr

ความเชื่อมั่นที่จอนมีต่อรอนนั้นได้รับการพิสูจน์แล้ว ภายใต้การเป็นครูพี่เลี้ยงของจอน รอนก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในบริษัทที่กำลังเติบโต เขากลายเป็นประธานและหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของบริษัทในปี 1986 ท่านเดินทางไปทำงานให้บริษัทบ่อยมาก—ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แม้ตารางเวลาของรอนจะอัดแน่นไปด้วยงาน แต่ท่านพยายามอยู่บ้านในวันสุดสัปดาห์ และเมื่อท่านเดินทาง ท่านจะนำสมาชิกครอบครัวไปด้วยในบางครั้ง

“เมื่อเขาอยู่บ้าน เขาทำให้ลูกๆ รู้สึกเป็นคนพิเศษและเป็นที่รักจริงๆ” เมลานีกล่าว ท่านเข้าร่วมกิจกรรมและการแข่งกีฬาของพวกเขาเมื่อทำได้ เจเนสสา แม็คเฟอร์สัน ลูกสาวคนหนึ่งในสี่คนของทั้งคู่บอกว่า หน้าที่การเรียกฐานะปุโรหิตในวันอาทิตย์ของคุณพ่อทำให้ท่านไม่สามารถนั่งอยู่กับครอบครัวระหว่างการประชุมที่โบสถ์

“เราจะแย่งกันว่าใครจะได้นั่งข้างท่านที่โบสถ์เพราะว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยนักที่มีท่านอยู่ที่นั่น” เธอกล่าว “ดิฉันจำได้ว่าดิฉันวางมือของดิฉันไว้ในมือคุณพ่อและนึกในใจว่า ‘ถ้าฉันแค่เรียนรู้ที่จะเป็นเหมือนท่านได้ ฉันจะอยู่ในทางที่ถูกต้องและจะเป็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอดมากขึ้น’ ท่านเป็นวีรบุรุษของดิฉันเสมอ”

ภาพ
Rasband family

คริสเตียน ลูกชายของทั้งคู่ เล่าถึงความทรงจำที่รักยิ่งใน “ช่วงเวลาพ่อลูก” ว่า เพื่อนเข้ามาและจากไปเพราะว่าครอบครัวย้ายบ่อยๆ เขากล่าว “แต่พ่อผมเป็นเพื่อนสนิทของผมเสมอ” —ถึงแม้ว่าจะเป็นเพื่อนที่ชอบแข่งขัน

ไม่ว่าจะเป็นการชู้ตบาสเก็ตบอลกับคริสเตียน เล่นเกมกระดานกับลูกสาว หรือตกปลากับครอบครัวหรือเพื่อนๆ รอนชอบการเอาชนะ

“สมัยที่เราเป็นเด็ก พ่อไม่เคย ยอมให้ ใครชนะ” คริสเตียนกล่าว “เราต้องพยายามทำให้ได้เอง แต่นั่นทำให้เราเก่งขึ้น และประเพณีนั้นดำเนินต่อไปกับหลานๆ ที่รักของท่าน”

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ครอบครัวรอนเริ่มสังเกตว่าการปฏิบัติศาสนกิจในตำแหน่งผู้นำของศาสนจักรเพิ่มพูนความสามารถของท่านในการแสดงความรักและความเห็นอกเห็นใจ ในการแสดงความรู้สึกของพระวิญญาณ และการดลใจคนอื่นให้ทำเต็มความสามารถ หลังจากที่แพ็กซ์ตัน หลานชายของรอนและเมลานีเกิด ครอบครัวพึ่งพาความเข้มแข็งและการสนับสนุนทางวิญญาณของรอนเป็นอย่างมาก

แพ็กซ์ตัน เกิดมาพร้อมกับความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เกิดขึ้นน้อยมาก ทุกข์ทรมานจากปัญหาสุขภาพหลายอย่างที่ทดสอบครอบครัวทั้งทางร่างกาย อารมณ์ และวิญญาณ เอ็ลเดอร์ราสแบนด์เรียกการเดินทางที่เกิดขึ้นหลังการเกิดของแพ็กซ์ตันว่าเป็น “เบ้าหลอมเพื่อเรียนรู้บทเรียนพิเศษอันเกี่ยวข้องกับนิรันดร”4

ภาพ
Elder and Sister Rasband with grandson

ระหว่างช่วงชีวิตสั้น ๆ สามปีของแพ็กซ์ตันบนแผ่นดินโลก—เมื่อคำถามมีมากและคำตอบมีน้อย—เอ็ลเดอร์ราสแบนด์ยืนเป็นเสาหลักทางวิญญาณ โดยนำครอบครัวในการดึงเอาเดชานุภาพแห่งการชดใช้ของพระเยซูคริสต์เข้ามา

เมื่อมีการประกาศการเรียกใหม่ของท่าน สมาชิกครอบครัวและเพื่อนหลายคนไม่ประหลาดใจเลย “พวกเราที่รู้จักท่านดีที่สุด” คริสเตียนกล่าว “ยกมือสูงที่สุดเมื่อท่านได้รับการสนับสนุนเป็นอัครสาวก”

“ข้าพระองค์จะไปรับใช้”

ในปี 1996 เมื่ออายุเพียง 45 ปี รอนอยู่ในระหว่างความสำเร็จของงานอาชีพขณะการเรียกมาถึงท่านให้รับใช้เป็นประธานคณะเผยแผ่นิวยอร์กเหนือ นิวยอร์ก เช่นเดียวกับอัครสาวกในสมัยโบราณ ท่าน “ละทิ้งแห [ของท่าน] ตามพระองค์ไปทันที” (มัทธิว 4:20)

“การรับการเรียกใช้เวลาแค่เสี้ยววินาที” เอ็ลเดอร์ราสแบนด์กล่าว ท่านทูลพระเจ้าว่า “พระองค์ทรงต้องการให้ข้าพระองค์ไปรับใช้ ข้าพระองค์จะไปรับใช้”

รอนนำเอาบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่ท่านเรียนรู้จากประสบการณ์ในงานอาชีพของท่านไปด้วย นั่นคือ “คนสำคัญกว่าสิ่งอื่น”5 ด้วยความรู้นั้นและทักษะความเป็นผู้นำที่ขัดเกลามาอย่างดี ท่านพร้อมจะเริ่มการรับใช้เต็มเวลาในอาณาจักรของพระเจ้า

ภาพ
Elder Rasband as mission president in New York

รอนและเมลานีพบว่างานเผยแผ่ศาสนาในนิวยอร์ก ซิตี้ทั้งท้าทายและมีชีวิตชีวา รอนรวดเร็วในการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบให้ผู้สอนศาสนา—กระตุ้นความจงรักภักดีของพวกเขา สอน สร้าง และให้กำลังใจพวกเขาในขั้นตอนนั้น

ในปี 2000 แปดเดือนสั้นๆ หลังจากรอนและเมลานีจบจากงานเผยแผ่ของพวกท่าน รอนได้รับเรียกสู่โควรัมสาวกเจ็ดสิบ ตำแหน่งที่การเตรียม ประสบการณ์ และพรสวรรค์หลายอย่างของท่านเป็นพรแก่ศาสนจักร ในฐานะสมาชิกโควรัมสาวกเจ็ดสิบ ท่านรับใช้เป็นที่ปรึกษาในฝ่ายประธานภาคยุโรปกลาง ช่วยดูแลงานใน 39 ชาติ ถึงแม้ท่านจะออกจากมหาวิทยาลัยไปนานกว่า 40 ปีแล้ว แต่ท่านยังคงเป็นนักเรียนที่จริงจัง ยินดีรับการนำทางอันต่อเนื่องจากเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ที่มีอาวุโสสูงกว่าขณะที่ท่านดูแลภาคอเมริกาเหนือด้านตะวันตก ด้านตะวันตกเฉียงเหนือ และสามภาคในยูทาห์ ท่านรับใช้เป็นผู้อำนวยการบริหารของแผนกพระวิหาร และรับใช้ในฝ่ายประธานของโควรัมสาวกเจ็ดสิบ ทำงานใกล้ชิดกับอัครสาวกสิบสอง

เมื่อไม่นานมานี้ เอ็ลเดอร์ราสแบนด์กล่าวว่า “ช่างเป็นเกียรติและสิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่สำหรับผมที่ได้เป็นคนต่ำต้อยที่สุดในบรรดาอัครสาวกสิบสองและได้เรียนรู้จากพวกท่านในทุกเรื่องและในทุกโอกาส”6

“สิ่งที่พวกท่านรู้ ผมรู้”

ภาพ
two paintings

บนซ้าย: ภาพถ่ายโดยเว็นดี้ คีลเลอร์; ขวา: Mormon Preachers, First Missionaries in Denmark, โดยอาโนลด์ ไฟร์เบอร์ก (จากภาพวาดโดยคริสเตียน ดาลส์การ์ด, 1856); Dan Jones Awakens Wales, โดยคลาร์ก เคลลีย์ ไพรซ์

มีภาพวาดสองภาพแขวนอยู่บนผนังห้องทำงานของเอ็ลเดอร์ราสแบนด์ ภาพหนึ่งเป็นผู้สอนศาสนามอรมอนกำลังสอนครอบครัวหนึ่งในเดนมาร์กเมื่อทศวรรษ 1850 ภาพที่สองเป็นภาพของแดน โจนส์ผู้สอนศาสนาในยุคแรก กำลังสั่งสอนจากขอบบ่อน้ำในหมู่เกาะอังกฤษ ภาพวาด (บนขวา) เตือนให้เอ็ลเดอร์ราสแบนด์นึกถึงบรรพชนของท่านเอง

“ผู้บุกเบิกยุคแรกเหล่านี้มอบทุกสิ่งของพวกเขาให้พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์และทิ้งมรดกให้ลูกหลานของพวกเขาทำตาม” ท่านเป็นพยาน7 สิ่งที่ผลักดันให้บรรพชนของเอ็ลเดอร์ราสแบนด์ดำนินต่อไปท่ามกลางความยากลำบากและการข่มเหงเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดกับการเรียกใหม่ของท่าน นั่นคือ ความรู้และพยานที่มั่นคงในพระเจ้าและงานของพระองค์

“ข้าพเจ้ามีอะไรที่ต้องเรียนรู้มากมายในการเรียกใหม่ของข้าพเจ้า” ท่านกล่าว “ข้าพเจ้ารู้สึกอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่มีด้านหนึ่งของการเรียกที่ข้าพเจ้าทำได้ ข้าพเจ้าสามารถแสดงประจักษ์พยาน ‘ถึงพระนามของพระคริสต์ในทั่วโลก’ (คพ. 107:23) พระองค์ทรงพระชนม์!”8

ในฐานะเหลนของผู้บุกเบิก ท่านเสริมว่า “สิ่งที่พวกท่านรู้สึก ผมรู้สึก สิ่งที่พวกท่านรู้ ผมรู้”9

และสิ่งที่พวกท่านตั้งความหวังในลูกหลานของพวกท่านอยู่ในชีวิต คำสอน และการรับใช้ของเอ็ลเดอร์โรนัลด์ เอ. ราสแบนด์ ผู้ทำตามแบบอย่างของพวกท่านและให้เกียรติมรดกของพวกท่านขณะที่ท่านออกไปเป็นหนึ่งในพยานพิเศษของพระเจ้า

อ้างอิง

  1. โรนัลด์ เอ. ราสแบนด์, “ฉันเฝ้าพิศวง,” เลียโฮนา, พ.ย. 2015, 89.

  2. โรนัลด์ เอ. ราสแบนด์, “Friend to Friend: Golden Nuggets,” Friend, ต.ค. 2002, 8.

  3. โรนัลด์ เอ. ราสแบนด์, “ฉันเฝ้าพิศวง,” 89.

  4. โรนัลด์ เอ. ราสแบนด์, “บทเรียนพิเศษ,” เลียโฮนา, พ.ค. 2012, 80

  5. โรนัลด์ เอ. ราสแบนด์, การแถลงข่าว, 3 ต.ค. 2015

  6. โรนัลด์ เอ. ราสแบนด์, ประจักษ์พยาน, การให้ข้อคิดทางวิญญาณแผนกฐานะปุโรหิตและครอบครัว, 1 ธ.ค. 2015

  7. โรนัลด์ เอ. ราสแบนด์, “ฉันเฝ้าพิศวง,” 89.

  8. โรนัลด์ เอ. ราสแบนด์, ประจักษ์พยาน

  9. โรนัลด์ เอ. ราสแบนด์, คำปราศัยวันผู้บุกเบิก, แทเบอร์นาเคิล, ซอลท์เลค ซิตี้, 24 กรกฎาคม 2007.

พิมพ์