2017
นิมิตแรก: กุญแจไขความจริง
มิถุนายน 2017


นิมิตแรก: กุญแจไขความจริง

จากการให้ข้อคิดทางวิญญาณทั่วโลกสำหรับคนหนุ่มสาว เรื่อง “ความจริงได้รับการฟื้นฟู” ปราศรัยที่ซอลท์เลคแทเบอร์นาเคิลเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2016; ดูบทความเต็มและวีดิทัศน์ที่ lds.org/broadcasts บทความเต็มของนิมิตแรกทั้งสี่เรื่องมีอยู่ที่ history.lds.org/firstvision

ขอเราอย่าลืมหรือเมินเฉยความจริงอันล้ำค่ามากมายที่เราได้เรียนรู้จากนิมิตแรกของโจเซฟ สมิธ

First Vision

โจเซฟ สมิธกับพระบิดาและพระบุตร โดย วอลเตอร์ เรน

ศาสดาพยากรณ์ตลอดประวัติศาสตร์เห็นล่วงหน้าและทำนายการฟื้นฟูความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในยุคสุดท้าย ด้วยเหตุนี้การฟื้นฟูจึงไม่ควรเป็นเรื่องแปลกสำหรับคนที่ศึกษาพระคัมภีร์ มีคำพยากรณ์หลายสิบข้อทั่วพันธสัญญาเดิม พันธสัญญาใหม่ และพระคัมภีร์มอรมอนที่ทำนายไว้อย่างชัดเจนและชี้ไปถึงการฟื้นฟูพระกิตติคุณ1

ปลายทศวรรษ 1790 ประมาณ 2,400 ปีหลังจากกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์เห็นในความฝันว่า “พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงสถาปนาราชอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีวันถูกทำลาย” (ดาเนียล 2:44) การฟื้นฟูศาสนาอย่างต่อเนื่องนานหลายสิบทศวรรษจึงเริ่มต้นในสหรัฐ นักประวัติศาสตร์รู้ว่าการฟื้นฟูเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการตื่นตัวทางศาสนาครั้งที่สอง แนวคิดเรื่องความรอดที่ขัดกันของการประชุมฟื้นฟูเหล่านี้ทำให้โจเซฟ สมิธและครอบครัวท่านสำรวจความเชื่อมั่นทางศาสนาของตน

โจเซฟได้รับอิทธิพลอย่างมากจากคำสอนและคำสนทนาของบิดาท่านผู้ค้นหาแต่ไม่อาจพบได้ในบรรดานิกายที่นักฟื้นฟูจัดตั้งเหมือนระเบียบสมัยโบราณของพระเยซูคริสต์และอัครสาวกของพระองค์ โจเซฟจะฟังและไตร่ตรองระหว่างศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิลเป็นครอบครัว เมื่ออายุ 12 ปี ท่านเริ่มกังวลกับบาปและความผาสุกของจิตวิญญาณอมตะของท่านซึ่งนำท่านให้ค้นคว้าพระคัมภีร์ด้วยตนเอง

ขณะค้นคว้า ท่านตัดสินใจ “ทำดังที่ยากอบชี้แนะ, นั่นคือ, ทูลขอจากพระผู้เป็นเจ้า” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:13; ดู ยากอบ 1:5 ด้วย) การปรากฏในภายหลังของพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระบุตรของพระองค์ พระเจ้าพระเยซูคริสต์ต่อโจเซฟนำเข้าสู่สมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา

เรื่องราวสี่เรื่อง

young Joseph Smith

ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธเขียนหรือบอกให้จดเรื่องราวอันเป็นที่รู้จักสี่เรื่องเกี่ยวกับนิมิตแรกของท่าน นอกจากนี้ เพื่อนร่วมรุ่นของท่านยังได้บันทึกความทรงจำของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาได้ยินโจเซฟพูดเกี่ยวกับนิมิตด้วย เช่นเรื่องราวห้าเรื่องที่เรารู้จัก นับเป็นพรอย่างยิ่งที่มีบันทึกเหล่านี้ ซึ่งทำให้นิมิตแรกของโจเซฟเป็นนิมิตที่มีเอกสารยืนยันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ข้าพเจ้ากระตุ้นให้ท่านเข้าไปดูที่ history.lds.org เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวและดูว่าเรื่องราวเหล่านี้ช่วยกันวาดภาพให้สมบูรณ์ขึ้นได้อย่างไร

บทความของ Gospel Topics “เรื่องนิมิตแรก” กล่าวว่า “เรื่องราวต่างๆ ของนิมิตแรกเล่าเรื่องได้สอดคล้องต้องกัน แม้จะเน้นและลงรายละเอียดต่างกันบ้าง นักประวัติศาสตร์คาดว่าเมื่อแต่ละคนเล่าประสบการณ์ในสภาวะแวดล้อมหลากหลายกับผู้ฟังต่างกลุ่มกันตลอดหลายปี แต่ละเรื่องจะเน้นแง่มุมต่างๆ ของประสบการณ์นั้นและมีรายละเอียดเฉพาะตัว โดยแท้แล้ว ความต่างซึ่งคล้ายกับความต่างในเรื่องนิมิตแรกมีอยู่ในเรื่องราวพระคัมภีร์หลายตอนเกี่ยวกับนิมิตของเปาโลบนถนนไปดามัสกัสและประสบการณ์ของอัครสาวกบนภูเขาแห่งการแปรสภาพ ทว่าแม้จะมีความต่าง แต่ความสอดคล้องพื้นฐานยังคงมีอยู่ในนิมิตแรกทุกเรื่อง บ้างก็โต้เถียงกันผิดๆ ว่าการเล่าเรื่องที่ผิดแผกแตกต่างกันคือหลักฐานยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมา ตรงกันข้าม บันทึกทางประวัติศาสตร์อันล้ำค่าเปิดทางให้เราได้เรียนรู้เหตุการณ์อันน่าทึ่งนี้มากกว่าที่เราจะเรียนรู้ได้ถ้ามีเอกสารน้อยกว่านี้”2

เรื่องราวปี 1832

เรื่องแรก เรื่องราวปี 1832 เป็นเรื่องราวที่เขียนรายละเอียดไว้แรกสุดเกี่ยวกับนิมิตแรก เป็นส่วนหนึ่งของอัตชีวประวัติหกหน้าซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในมือโจเซฟ เอกสารดังกล่าวอยู่ในความครอบครองของศาสนจักรตั้งแต่เขียนไว้ หลังจากผู้บุกเบิกเดินทางไปตะวันตก เอกสารนี้ยังคงเก็บไว้ในหีบนานหลายปีและคนทั่วไปไม่รู้จนกระทั่งตีพิมพ์ในวิทยานิพนธ์ปริญญาโทปี 1965 และนับแต่นั้นเป็นต้นมามีการตีพิมพ์ซ้ำหลายครั้ง รวมทั้งใน LDS.org และใน Joseph Smith Papers

ในเอกสารนี้โจเซฟกล่าวถึงความทุกข์ใจเพราะไม่ทราบจะพบการให้อภัยของพระผู้ช่วยให้รอดจากที่ใด ท่านเป็นพยานว่า “พระเจ้าทรงเปิดฟ้าสวรรค์ให้ข้าพเจ้าและข้าพเจ้าเห็นพระเจ้า”3 บางคนตีความข้อความนี้ให้หมายความว่าท่านกล่าวถึงการปรากฏเพียงพระองค์เดียว แต่เมื่ออ่านตามที่เขียนในเอกสารอื่น ประโยคนี้เข้าใจได้ว่าหมายถึงพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาทรงเปิดฟ้าสวรรค์และทรงเปิดเผยพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ ต่อโจเซฟ

เรื่องนี้เน้นไว้อย่างดีถึงการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดและการไถ่ที่พระองค์ทรงมอบให้โจเซฟเป็นส่วนตัว ส่วนหนึ่งกล่าวว่า “พระเจ้า … ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘โจเซฟบุตรของเรา บาปของเจ้าได้รับการให้อภัยแล้ว … เราถูกตรึงกางเขนแทนชาวโลกเพื่อทุกคนที่เชื่อในนามของเราจะมีชีวิตนิรันดร์’” โจเซฟเป็นพยานว่าท่านประสบปีติและความรักแต่พบว่าไม่มีใครเชื่อ “จิตวิญญาณข้าพเจ้าเปี่ยมด้วยความรักและหลายวันที่ข้าพเจ้าปลื้มปีติยิ่ง พระเจ้าทรงอยู่กับข้าพเจ้า แต่ [ข้าพเจ้า] พบว่าไม่มีใครเชื่อนิมิตจากสวรรค์ กระนั้นข้าพเจ้าก็ยังไตร่ตรองเรื่องเหล่านี้ในใจ”4

เรื่องราวปี 1835

เรื่องต่อมา เรื่องราวปี 1835 เป็นการบรรยายนิมิตแรกของโจเซฟต่อโรเบิร์ต แมทธิวส์ผู้มาเยือนเคิร์ทแลนด์ โอไฮโอ ในปี 1835 เรื่องนี้ผู้จดของโจเซฟเป็นผู้เขียนบันทึกไว้ในสมุดบันทึกส่วนตัวของท่าน แต่ไม่รวมอยู่ในประวัติของโจเซฟฉบับแรกๆ และตีพิมพ์ครั้งแรกใน BYU Studies ในทศวรรษ 1960 เรื่องนี้โจเซฟเป็นพยานว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏต่อท่านก่อน จากนั้นท่านเห็นพระผู้ช่วยให้รอดเช่นกัน “ข้าพเจ้าเรียกหาพระเจ้าในการสวดอ้อนวอนสุดกำลัง เสาเพลิงปรากฏเหนือศีรษะข้าพเจ้า ลำแสงส่องมายังข้าพเจ้าพอดีและทำให้ข้าพเจ้าเปี่ยมด้วยปีติสุดพรรณนา พระอติรูปองค์หนึ่งปรากฏท่ามกลางเสาเพลิงนี้ ซึ่งกระจายไปทั่วแต่ไม่เผาผลาญสิ่งใด ไม่นานพระอติรูปอีกองค์หนึ่งทรงปรากฏเหมือนกับองค์แรก พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘บาปของเจ้าได้รับการให้อภัยแล้ว’” ในเรื่องนี้โจเซฟเขียนด้วยว่า “ข้าพเจ้าเห็นเทพหลายองค์ในนิมิตนี้”5

เรื่องราวปี 1838

เรื่องราวปี 1838 เป็นเรื่องที่รู้จักกันดีและมาจากประวัติต้นฉบับของโจเซฟ ต้นร่างฉบับแรกเขียนหลังจากโจเซฟหนีจากเคิร์ทแลนด์เมื่อต้นปี 1838 และต้นร่างฉบับที่สองเขียนหลังจากท่านหนีจากมิสซูรีในปี 1839 ได้ไม่นาน ด้วยเหตุนี้จึงเขียนในบริบทของการต่อต้านครั้งใหญ่ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1842 ใน Times and Seasons หนังสือพิมพ์ของศาสนจักรในนอวู อิลลินอยส์ และรวมไว้ในพระคัมภีร์ไข่มุกอันล้ำค่าในปี 1851 เช่นกัน ซึ่งเดิมทีเป็นจุลสารสำหรับวิสุทธิชนบริติช ประกาศเป็นพระคัมภีร์ในปี 1880

ต้นร่างหลายฉบับของเรื่องนี้ตีพิมพ์ไว้ใน Joseph Smith Papers คำถามหลักของเรื่องนี้เหมือนเรื่องราวปี 1835 คือนิกายใดถูกต้อง ตามประวัติของศาสนจักร และไม่เฉพาะประวัติของโจเซฟเท่านั้น เรื่องราวนี้ “เน้นนิมิตอันเป็นจุดเริ่มแรกของ ‘การเริ่มต้นและความเจริญก้าวหน้าของศาสนจักร’”6 ด้วยเหตุนี้ เรื่องนี้จึงไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการให้อภัยส่วนตัวตามที่กล่าวไว้ในสองเรื่องก่อน

เรื่องราวปี 1842

และสุดท้าย เรื่องราวปี 1842 เป็นการตอบคำขอข้อมูลจากจอห์น เวนท์เวิร์ธบรรณาธิการของ Chicago Democrat โจเซฟเขียนจดหมายถึงเขาซึ่งไม่รวมเฉพาะหลักแห่งความเชื่อเท่านั้นแต่รวมคำบรรยายเกี่ยวกับนิมิตแรกของท่านด้วย จดหมายตีพิมพ์ใน Time and Seasons ปี 1842 โจเซฟอนุญาตให้นักประวัติศาสตร์ชื่ออิสราเอล ดาเนียล รัพพ์ตีพิมพ์เรื่องนี้อีกครั้งเมื่อปี 1844 ในหนังสือของเขาเกี่ยวกับศาสนาคริสต์นิกายต่างๆ ในสหรัฐ7 เรื่องราวนี้มีไว้สำหรับผู้อ่านที่ไม่รู้จักความเชื่อของชาวมอรมอน และเขียนในช่วงที่การต่อต้านท่านศาสดาพยากรณ์สงบลงชั่วคราว

ส่วนเรื่องราวอื่นๆ โจเซฟกล่าวถึงความสับสนที่ท่านประสบและการปรากฏของพระอติรูปสองพระองค์เพื่อตอบคำสวดอ้อนวอนของท่าน “ข้าพเจ้าถูกโอบล้อมไว้ด้วยนิมิตจากสวรรค์และเห็นพระอติรูปสองพระองค์ผู้ทรงรัศมีภาพและมีลักษณะเหมือนกันไม่มีผิด รายล้อมด้วยแสงเจิดจ้าซึ่งบดบังดวงอาทิตย์เที่ยงวัน พระองค์รับสั่งกับข้าพเจ้าว่านิกายทั้งหมดกำลังเชื่อหลักคำสอนที่ไม่ถูกต้อง พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงยอมรับนิกายใดเป็นศาสนจักรและอาณาจักรของพระองค์ ข้าพเจ้าได้รับบัญชาอย่างชัดเจน ‘ไม่ให้ตามพวกเขาไป’ ขณะเดียวกันก็ได้รับสัญญาว่าความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณจะเป็นที่รู้แก่ข้าพเจ้าในอนาคตอันใกล้นี้”8

การมีเรื่องราวเหล่านี้เกี่ยวกับนิมิตแรกของโจเซฟคือพร เฉกเช่นพระกิตติคุณแต่ละเล่มของพันธสัญญาใหม่ที่ร่วมกันพรรณนาพระชนม์ชีพและการปฏิบัติศาสนกิจของพระคริสต์ให้สมบูรณ์มากขึ้น แต่ละเรื่องที่พรรณนานิมิตแรกของโจเซฟ สมิธได้เพิ่มรายละเอียดและทัศนะบางอย่างเข้ากับประสบการณ์ทั้งหมด ทุกเรื่องล้วนเล่าเรื่องราวที่สอดคล้องกันของโจเซฟ โดยเน้นว่ามีความสับสนและการวิวาทในหมู่นิกายต่างๆ ของชาวคริสต์ โจเซฟปรารถนาจะรู้ว่านิกายใดถูกต้อง หากมี ท่านค้นคว้าพระคัมภีร์และสวดอ้อนวอน แสงนั้นเลื่อนลงมาจากสวรรค์ พระสัตภาวะสองพระองค์ทรงปรากฏและทรงตอบคำสวดอ้อนวอนของท่าน

“ข้าพเจ้าไม่สามารถปฏิเสธเรื่องนี้ได้”

เรื่องราวนิมิตแรกของโจเซฟ สมิธฉบับปี 1838 ที่เป็นพระคัมภีร์เป็นประสบการณ์การเรียนรู้อันทรงพลังที่สุดเท่าที่คนบนแผ่นดินโลกจะมีได้ ประสบการณ์นี้เปลี่ยนชีวิตโจเซฟ เปลี่ยนชีวิตข้าพเจ้า และข้าพเจ้ารู้ว่าได้เปลี่ยนหรือจะเปลี่ยนชีวิตท่านเมื่อท่านทูลขอการยืนยันความจริงนี้จากพระเจ้า

ตามที่กล่าวไว้ในเอกสาร “เรื่องราวนิมิตแรก” ซึ่งมีอยู่ที่ LDS.org “โจเซฟเป็นพยานครั้งแล้วครั้งเล่าว่าท่านประสบกับนิมิตอันน่าทึ่งของพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ การค้นคว้าทางประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียวไม่สามารถพิสูจน์ความจริงของนิมิตแรกหรือการโต้แย้งความจริงนี้ได้ การรู้ความจริงเกี่ยวกับประจักษ์พยานของโจเซฟ สมิธเรียกร้องให้ผู้แสวงหาความจริงแต่ละคนศึกษาบันทึกและใช้ศรัทธามากพอในพระคริสต์เพื่อทูลถามพระผู้เป็นเจ้าในการสวดอ้อนวอนที่นอบน้อมจริงใจว่าบันทึกจริงหรือไม่ หากผู้แสวงหาทูลถามด้วยเจตนาแท้จริงว่าจะทำตามคำตอบที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดเผย ความจริงเรื่องนิมิตของโจเซฟ สมิธจะประจักษ์ ในวิธีนี้ ทุกคนสามารถรู้ได้ว่าโจเซฟ สมิธพูดจริงเมื่อท่านประกาศว่า ‘ข้าพเจ้าเห็นนิมิต; ข้าพเจ้ารู้เรื่องนี้, และข้าพเจ้ารู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงทราบเรื่องนี้, และข้าพเจ้าไม่สามารถปฏิเสธเรื่องนี้ได้’ [โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:25]”

ตามคำกล่าวของประธานโจเซฟ เอฟ. สมิธ (1838–1918) “เหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในโลกนับแต่การฟื้นคืนพระชนม์ของพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าจากอุโมงค์และการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระองค์คือการที่พระบิดาและพระบุตรเสด็จมาปรากฏต่อหน้าเด็กหนุ่มโจเซฟ สมิธ”9

ความจริงจากนิมิตแรก

the Father and the Son

นับเป็นประสบการณ์อันน่าทึ่งและให้ความกระจ่างเมื่อวิเคราะห์สิ่งที่เราเรียนรู้จากประสบการณ์อันศักดิ์สิทธิ์และน่าประทับใจนี้ ข้าพเจ้าต้องการยกตัวอย่างความจริงที่เราเรียนรู้จากนิมิตแรกของโจเซฟ สมิธเกี่ยวกับพระลักษณะนิรันดร์ของพระบิดาบนสวรรค์ของเราและพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ การมีอยู่จริงของซาตาน การต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่ว และแง่มุมสำคัญอื่นๆ ของแผนแห่งความรอดอันยิ่งใหญ่

เราเรียนรู้ว่าพระคัมภีร์เป็นความจริง เราสามารถเข้าใจและประยุกต์ใช้กับชีวิตเราได้

เราเรียนรู้ว่าการไตร่ตรองพระคัมภีร์ทำให้เกิดพลังและความเข้าใจ

เราเรียนรู้ว่าความรู้เพียงอย่างเดียวไม่พอ การทำตามสิ่งที่เรารู้ส่งผลให้เกิดพรของพระผู้เป็นเจ้า

เราเรียนรู้ว่าต้องวางใจพระผู้เป็นเจ้าและพึ่งพาพระองค์ให้ทรงตอบคำถามสำคัญที่สุดของชีวิตและไม่วางใจมนุษย์

เราเรียนรู้ว่าการสวดอ้อนวอนได้รับคำตอบตามศรัทธาอันไม่สั่นคลอนของเราและตามพระประสงค์ของพระบิดาบนสวรรค์

เราเรียนรู้การมีอยู่จริงของซาตานและเขามีอำนาจจริงๆ ที่มีอิทธิพลต่อโลกทางกายภาพรวมถึงตัวเรา

เราเรียนรู้ว่าอำนาจของซาตานมีจำกัดและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าเข้ามาแทนที่ได้

เราเรียนรู้ว่าไม่มีสิ่งใดจะหยุดซาตานจากการทำลายงานของพระผู้เป็นเจ้าและซาตานรู้ความสำคัญของโจเซฟ สมิธในบทบาทการเป็นศาสดาพยากรณ์แห่งการฟื้นฟูอย่างแน่นอน

เราเรียนรู้ว่าเราเอาชนะซาตานได้โดยเรียกหาพระผู้เป็นเจ้า มีศรัทธาและวางใจพระองค์อย่างสมบูรณ์

เราเรียนรู้ว่าที่ใดมีความสว่าง ความมืดต้องออกไป

เราเรียนรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ เป็นพระอติรูปสองพระองค์แยกจากกันชัดเจน โดยทรงมีพระลักษณะเหมือนกัน

เราเรียนรู้ว่าพระองค์ทรงสร้างเราตามรูปลักษณ์ของพระผู้เป็นเจ้า

เราเรียนรู้ว่าพระคริสต์ฟื้นคืนพระชนม์แล้ว

เราเรียนรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรู้จักเราเป็นส่วนตัว พระองค์ทรงทราบความต้องการและความกังวลของเรา พระองค์ทรงเรียกชื่อโจเซฟ

เราเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพระบิดากับพระบุตร พระเยซูทรงยอมทำตามพระบิดา และพระบิดาทรงสื่อสารกับมนุษย์บนโลกนี้ผ่านพระบุตรของพระองค์

เราเรียนรู้ว่าพระบิดาทรงรักพระเยซูคริสต์โดยทรงกำหนดให้พระเยซูเป็นพระบุตรที่รักของพระองค์

เราเรียนรู้ว่าศาสนจักรที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ตามที่พระองค์ทรงจัดตั้งแต่แรกไม่อยู่บนแผ่นดินโลกในสมัยของโจเซฟ สมิธ อันเป็นการยืนยันความจริงของการละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่ที่อัครสาวกเปาโลบอกไว้ล่วงหน้า

เราเรียนรู้ว่าเมื่อเราใส่ใจมากพอจะปรารถนาการนำทางของพระผู้เป็นเจ้าในชีวิตเรา พระองค์จะทรงเปิดเผยเส้นทางที่ดีสำหรับเรา ในสมัยของโจเซฟทุกนิกายผิดหมด

เราเรียนรู้ว่าทุกสมัยการประทานแห่งเวลาได้รับนิมิต พร และรัศมีภาพของพระผู้เป็นเจ้า

เราเรียนรู้จนเข้าใจว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกศาสดาพยากรณ์ของพระองค์อย่างไร

เราเรียนรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกผู้มีใจบริสุทธิ์ที่เป็นคนชอบธรรมและมีความปรารถนาจะทำงานของพระองค์ อันเป็นการยืนยันคำสอนจากพระคัมภีร์ไบเบิลที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าทอดพระเนตรจิตใจและไม่เลือกตามรูปลักษณ์ภายนอกหรือสถานะหรือตำแหน่งทางสังคม (ดู 1 ซามูเอล 16:7)

นิมิตแรกของโจเซฟ สมิธเป็นกุญแจไขความจริงมากมายที่ซ่อนไว้หลายศตวรรษ ขอเราอย่าลืมหรือไม่เห็นค่าความจริงมากมายที่เราเรียนรู้จากนิมิตแรก

อ้างอิง

  1. ดูตัวอย่างใน เฉลยธรรมบัญญัติ 4:27–31; อิสยาห์ 60–62; เยเรมีย์ 30–33; เอเสเคียล 37:15–28; อาโมส 9:11; มาลาคี 3:1; มัทธิว 17:11; มาระโก 9:12; กิจการของอัครทูต 3:19–21; โรม 11:25–27; เอเฟซัส 1:9–10; 2 เธสะโลนิกา 2:1–3; วิวรณ์ 14:6; 1 นีไฟ 13:34–42; 2 นีไฟ 26:14–17; เจคอบ 6:1–4; 3 นีไฟ 21

  2. “First Vision Accounts,” Gospel Topics, topics.lds.org.

  3. โจเซฟ สมิธ, ใน Histories, Volume 1: Joseph Smith Histories, 1832–1844, vol. 1 of the Histories series of The Joseph Smith Papers, ตรวจแก้ต้นฉบับโดยดีน ซี. เจสซี, โรนัลด์ เค. เอสพลิน และริชาร์ด ลายแมน บุชแมน (2012), 12–13; ปรับตัวสะกดและเครื่องหมายวรรคตอนให้ตรงตามมาตรฐานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน; ดู ดีน ซี. เจสซี, “The Earliest Documented Accounts of Joseph Smith’s First Vision,” ใน John W. Welch and Erick B. Carlson, eds., Opening the Heavens: Accounts of Divine Manifestations, 1820–1844 (2005), 1–34; “First Vision Accounts,” Gospel Topics, topics.lds.org ด้วย.

  4. ดู โจเซฟ สมิธ, ใน Histories, Volume 1: Joseph Smith Histories, 1832–1844, 12–13; ปรับตัวสะกดและเครื่องหมายวรรคตอนให้ตรงตามมาตรฐานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน; ดู “First Vision Accounts,” Gospel Topics, topics.lds.org ด้วย.

  5. ดู โจเซฟ สมิธ, ใน Journals, Volume 1: 1832–1839, vol. 1 of the Journals series of The Joseph Smith Papers, ตรวจแก้ต้นฉบับโดยดีน ซี. เจสซี, โรนัลด์ เค. เอสพลิน และริชาร์ด ลายแมน บุชแมน (2008), 88; ปรับตัวสะกดและเครื่องหมายวรรคตอนให้ตรงตามมาตรฐานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน; ดู “First Vision Accounts,” Gospel Topics, topics.lds.org ด้วย.

  6. “First Vision Accounts,” Gospel Topics, topics.lds.org.

  7. ดู ไอ. ดาเนียล รัพพ์, He Pasa Ekklesia: An Original History of the Religious Denominations at Present Existing in the United States (1844), 404–10.

  8. Histories, Volume 1: Joseph Smith Histories, 1832–1844, 494; ดู “First Vision Accounts,” Gospel Topics, topics.lds.org ด้วย.

  9. คำสอนของประธานศาสนาจักร: โจเซฟ เอฟ. สมิธ (1998), 14.