เส้นทางพระกิตติคุณสู่ ความสุข
จากคำปราศรัยให้ข้อคิดทางวิญญาณเรื่อง “Living after the Manner of Happiness” ที่มหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์–ไอดาโฮ วันที่ 23 กันยายน 2014 ดูบทความเต็มเป็นภาษาอังกฤษที่ web.byui.edu/devotionalsandspeeches
พระเยซูคริสต์ทรงเป็น “ทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต” ไม่มีใครประสบความสุขแท้จริงยกเว้นโดยพระองค์
ในวลีหนึ่งที่ข้าพเจ้ามั่นใจว่าท่านเคยได้ยินหลายครั้ง ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ (1805–1844) กล่าวไว้ว่า “ความสุขคือเป้าหมายและแบบแผนของการดำรงอยู่ของเรา และจะเป็นจุดหมายปลายทาง หากเราไปตามเส้นทางซึ่งนำไปสู่ความสุข”1
นั่นคือการแสวงหาความสุขที่ข้าพเจ้าประสงค์จะพูดถึง สังเกตว่าข้าพเจ้าพูดถึง “การแสวงหาความสุข” ไม่ใช่ความสุขอย่างเดียว จงจำการเลือกใช้คำของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ ท่านพูดถึงเส้นทางที่นำไปสู่ความสุขว่าเป็นกุญแจสู่การทำให้เป้าหมายนั้นเป็นจริง
นี่ไม่ใช่การแสวงหาแนวใหม่ แต่เป็นการเสาะแสวงหาขั้นพื้นฐานอย่างหนึ่งของมนุษยชาติมาหลายยุคหลายสมัย ความคิดปราดเปรื่องที่สุดอย่างหนึ่งที่โลกตะวันตกรู้มาตลอดกล่าวว่า ความสุขเป็นความหมายและจุดประสงค์ของชีวิต เป็นเป้าหมายโดยรวมและจุดหมายปลายทางของการดำรงอยู่ของมนุษย์2
ผู้กล่าวคืออริสโตเติล แต่จะเห็นว่าคำกล่าวของเขาคล้ายกันมากกับคำกล่าวของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ—ตรงกันแทบทุกคำ ในส่วนแรกของคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐ โธมัส เจฟเฟอร์สันทำให้ทั้งการแสวงหาส่วนตัวและการแสวงหาทางการเมืองของเราไม่มีวันตายโดยเชื่อมโยง (อย่างน้อยในอเมริกา) สิทธิ์ที่ไม่อาจถ่ายโอนให้ได้สามประการของ “ชีวิต เสรีภาพ และการเสาะแสวงหาความสุข” ไว้ด้วยกันตลอดไป แต่จะสังเกตเห็นในประเด็นหลักสามประการนั้นว่าความสุขไม่ใช่สิทธิ์ (เหมือนชีวิตและเสรีภาพ) แต่ การเสาะแสวงหา ความสุขต่างหากที่เป็นสิทธิ์
แล้วเราจะ “เสาะแสวงหา” ความสุขอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราอายุยังน้อย ขาดประสบการณ์ อาจจะกลัวบ้างนิดหน่อย และชีวิตข้างหน้าเราเป็นเหมือนภูเขาที่ปีนได้ยาก อย่างหนึ่งที่เรารู้แน่นอนคือความสุขไม่ใช่วิ่งเข้าหาก็เจอได้ง่าย ความสุขมักจะหายากมาก ไม่จีรัง ละเอียดอ่อนมาก หากท่านไม่เคยเรียนรู้เรื่องความสุข ท่านจะเรียนรู้ในอนาคตข้างหน้าว่าส่วนใหญ่แล้วความสุขเกิดขึ้นกับเราเมื่อเราคาดหวังน้อยที่สุด เมื่อเราจดจ่ออยู่กับการทำสิ่งอื่น ความสุขมักจะเเป็นผลของความพยายามในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเสมอ
เฮนรีย์ เดวิด ทอโร นักเขียนที่ข้าพเจ้าโปรดปรานคนหนึ่งสมัยเรียนมหาวิทยาลัยกล่าวว่า “ความสุขเปรียบเสมือนผีเสื้อ ยิ่งไล่จับ ยิ่งหนี แต่หากท่านหันเหความสนใจไปเรื่องอื่น มันจะมาเกาะบนบ่าท่านอย่างแผ่วเบา”3 นี่คือหนึ่งในถ้อยคำแฝงนัยพระกิตติคุณเหล่านั้นที่มักจะดูเหมือนไม่ชัดเจน อย่างเช่น “คนสุดท้ายจะกลับไปเป็นคนแรก” (มัทธิว 19:30; คพ. 29:30) และ “ยอมเสียชีวิตจะได้ชีวิตรอด” (ดู มัทธิว 16:25) พระกิตติคุณเต็มไปด้วยถ้อยคำแฝงนัยและคำอ้อมค้อมเช่นนั้น และข้าพเจ้าคิดว่าการเสาะแสวงหาความสุขเป็นหนึ่งในนั้น แล้วเราจะใช้โอกาสแสวงหาความสุขโดยไม่ต้องแสวงหาโดยตรงจนเราจะไม่พลาดได้อย่างไร ข้าพเจ้าจะให้คำตอบจากหนังสือยอดเยี่ยมที่สุดเล่มหนึ่ง
การมีชีวิตอยู่ “ตามทางแห่งความสุข”
30 ปีแรกของประวัติศาสตร์พระคัมภีร์มอรมอนนำเสนอเรื่องราวที่ไม่น่าพอใจ ความเป็นศัตรูในครอบครัวของลีไฮกับซาไรยาห์รุนแรงมากจนครอบครัวแตกแยกเป็นสองฝ่าย กลุ่มหนึ่งหนีเข้าไปในแดนทุรกันดารเพราะเกรงว่าชีวิตตนจะตกเป็นเหยื่อความกระหายเลือดของอีกฝ่าย ขณะกลุ่มแรกเข้าไปในภูมิประเทศที่ไม่มีผู้อยู่อาศัยเพื่อแสวงหาความปลอดภัยและใช้ชีวิตให้ดีที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ ศาสดาพยากรณ์ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวที่เป็นชาวนีไฟกึ่งหนึ่งนี้กล่าวว่าพวกเขา “มีชีวิตอยู่ตามทางแห่งความสุข” (2 นีไฟ 5:27)
เมื่อพิจารณาสิ่งที่พวกเขาเพิ่งประสบตลอด 30 ปีและสิ่งที่เรารู้ว่าจะเกิดกับพวกเขาในการทดลองข้างหน้า ความเห็นเช่นนั้นค่อนข้างเจ็บปวด สิ่งที่พูดถึงนี้จะเรียกว่าเป็น “ความสุข” ทั้งที่ยังห่างไกลความสุขได้อย่างไร แต่นีไฟไม่ได้กล่าวว่าพวกเขามีความสุข แม้ประจักษ์ชัดว่าพวกเขามีความสุข สิ่งที่นีไฟกล่าวคือ พวกเขา “มีชีวิตอยู่ ตามทางแห่งความสุข” ข้าพเจ้าประสงค์จะให้ท่านเข้าใจว่ามีกุญแจดอกสำคัญในวลีนั้นที่สามารถไขพรอันล้ำค่าให้ท่านตลอดชีวิตที่เหลือ
ข้าพเจ้าคิดว่าพระผู้เป็นเจ้าในรัศมีภาพของพระองค์หรือเหล่าเทพแห่งสวรรค์หรือศาสดาพยากรณ์บนแผ่นดินโลกไม่ได้หมายมั่นจะให้เรามีความสุขตลอดเวลา ทุกเรื่องในทุกวัน แต่หมายมั่นจะให้เราได้รับการทดสอบและการทดลองบนโลกนี้ ดังที่ประธานเจมส์ อี. เฟาสท์ (1920–2007) ที่ปรึกษาที่สองในฝ่ายประธานสูงสุดกล่าวประโยคนี้ “ความสุขไม่ได้บรรจุกล่องมาให้เราเปิดบริโภคได้อย่างสะดวกสบาย ไม่เคยมีใครสุขได้ตลอดเวลาวันละ 24 ชั่วโมง สัปดาห์ละ เจ็ดวัน”4
แต่ข้าพเจ้ารับรองกับท่านว่าในแผนของพระผู้เป็นเจ้าเราทำได้มากมายเพื่อพบความสุขที่เราปรารถนา เราสามารถดำเนินการบางอย่าง เราสามารถสร้างนิสัยบางอย่าง เราสามารถทำบางอย่างที่พระผู้เป็นเจ้าและประวัติศาสตร์บอกเราว่าจะนำไปสู่ความสุขด้วยความเชื่อมั่นว่า ถ้าเรามีชีวิตอยู่ในทางเช่นนั้น มีแนวโน้มมากขึ้นว่าผีเสื้อจะเกาะบนบ่าเรา
สรุปคือ โอกาสดีที่สุดที่เราจะมีความสุขคือทำสิ่งที่คนมีความสุขทำ ดำเนินชีวิตแบบที่คนมีความสุขดำเนิน และเดินตามเส้นทางที่คนมีความสุขเดิน ขณะท่านทำเช่นนั้น โอกาสจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวที่ท่านจะพบปีติในชั่วขณะที่คาดไม่ถึง พบสันติสุขในที่ซึ่งคาดไม่ถึง และพบความช่วยเหลือของเหล่าเทพเมื่อท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหล่าเทพรู้ว่ามีท่านอยู่ เราสามารถมีชีวิตอยู่ “ตามทางแห่งความสุข” ได้ห้าวิธีดังนี้
ดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ
เหนือสิ่งอื่นใด ความสุขสูงสุด สันติสุขแท้จริง และสิ่งใดก็ตามที่ใกล้เคียงมากกับปีติที่พระคัมภีร์กล่าวถึงพบได้เป็นอันดับแรก มากที่สุด และตลอดไปในการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ปรัชญาและระบบความเชื่ออื่นได้รับการทดสอบมาแล้วมากมาย จึงดูเหมือนจะพูดได้ไม่ผิดว่า ปรัญชาและระบบอื่น ทั้งหมด ได้รับการทดสอบมาตลอดประวัติศาสตร์หลายศตวรรษ แต่เมื่ออัครสาวกโธมัสทูลถามคำถามที่หนุ่มสาวสมัยนี้ถามกันบ่อยๆ ว่า “พวกข้าพระองค์จะรู้จักทางนั้นได้อย่างไร”—ซึ่งหลายคนแปลว่า “พวกข้าพระองค์จะรู้ทางสู่ความสุขได้อย่างไร”—พระเยซูประทานคำตอบที่ก้องกังวานจากนิรันดรถึงนิรันดรว่า
“เราเป็นทางนั้น ความจริง และเป็นชีวิต …
“สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น …
“สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น” (ยอห์น 14:5–6, 13–14)
นี่คือสัญญา! จงมีชีวิตอยู่ตามทางของเรา มีชีวิตอยู่ตามความจริงของเรา มีชีวิตอยู่ตามชีวิตของเรา—มีชีวิตอยู่ในแบบที่เราแสดงให้เจ้าเห็นและสอนเจ้า—และสิ่งใดก็ตามที่เจ้าทูลขอเจ้าจะได้รับ สิ่งใดก็ตามที่เจ้าขอเจ้าจะพบ รวมทั้งความสุข พรหลายส่วนอาจมาช้า หลายส่วนอาจมาเร็ว และหลายส่วนอาจไม่มาในชีวิตนี้ แต่จะมาแน่นอน—มาทั้งหมด นั่นเป็นกำลังใจอย่างยิ่งหลังจากวันจันทร์อันแสนเศร้า หรือวันอังคารที่น้ำตานองหน้า หรือวันพุธที่อ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง! และนั่นคือสัญญาที่จะ เกิดขึ้นในวิธีอื่นไม่ได้ นอกจากการทุ่มเทให้ความจริงนิรันดร์!
ในคำพูดของเอ็ลเดอร์เดวิด โอ. แมคเคย์ (1873–1970) เมื่อครั้งได้รับแต่งตั้งใหม่ไม่ถึงหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ความสุขแท้จริงไม่เหมือนความพึงพอใจหรือความสบายใจหรือความตื่นเต้นบางอย่าง “ความสุข” แท้จริง “พบตามรอย [พระกิตติคุณ] ที่เดินกันเป็นประจำ แคบตามที่เป็น … [และ] คับแคบ [ตามที่เป็น] ซึ่งนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์”5 ฉะนั้นจงรักพระผู้เป็นเจ้า รักกัน และซื่อตรงต่อพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
เลือกความสุข
สอง เรียนรู้ให้เร็วที่สุดว่าความสุขของท่านส่วนใหญ่อยู่ในมือท่าน ไม่ใช่ในเหตุการณ์หรือสภาวการณ์หรือความโชคดีหรือความโชคร้าย ความสุขเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้เพื่อสิทธิ์เสรีในสภาก่อนเกิดของสวรรค์ เรามีโอกาสเลือก เรามีการตัดสินใจด้วยตัวเอง เรามีสิทธิ์เสรี และเราเลือกได้ หากเลือกความสุขไม่ได้ ก็ให้เลือกดำเนินชีวิตตามทางแห่งความสุข อับราฮัม ลินคอล์นประธานาธิบดีสหรัฐมีเรื่องมากมายที่จะทำให้ไม่เป็นสุขในการบริหารงานยากสุดที่ประธานาธิบดีคนหนึ่งของสหรัฐเคยประสบ แต่เขาสะท้อนว่า “คนส่วนใหญ่มีความสุขเท่าที่พวกเขาตั้งใจจะทำให้มีความสุข”6
สิ่งที่เข้ามาในความคิดของท่าน ท่านต้องทำให้เกิดความสุขก่อน แล้วอีกนานกว่าความสุขจะเข้ามาในมือท่าน โจเซฟ สมิธมีชีวิตอยู่ “ตามทางแห่งความสุข” ในสถานการณ์ที่ไม่เป็นสุขเลยเมื่อท่านเขียนจากคุกลิเบอร์ตี้ถึงคนที่อยู่นอกคุกผู้เป็นเหยื่อของความอยุติธรรมและการข่มเหงดังนี้
“ให้คุณธรรมประดับความนึกคิดของท่านไม่เสื่อมคลาย, เมื่อนั้นความมั่นใจของท่านจะแข็งแกร่งขึ้นในการประทับอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า …
“พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นเพื่อนที่ยั่งยืนของท่าน, และคทาของท่านเป็นคทาอันไม่เปลี่ยนแปลงแห่งความชอบธรรมและความจริง” (คพ. 121:45–46)
“ให้คุณธรรมประดับความนึกคิดของท่านไม่เสื่อมคลาย” นั่นไม่เพียงเป็นคำแนะนำที่ดีไว้ต้านภัยยุคใหม่ของสื่อลามกเท่านั้น แต่เป็นคำแนะนำที่ดีสำหรับความคิดเรื่องพระกิตติคุณ ความคิดที่ดี ความคิดที่สร้างสรรค์ และความคิดที่เปี่ยมด้วยความหวังทุกรูปแบบด้วย ความคิดที่เปี่ยมด้วยศรัทธาเหล่านั้นจะปรับเปลี่ยนวิธีที่ท่านมองปัญหาชีวิตและวิธีที่ท่านหาทางออก “พระเจ้าทรงเรียกร้องใจและความคิดที่เต็มใจ” (คพ. 64:34) การเปิดเผยกล่าว
เราคิดบ่อยเหลือเกินว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับใจ จริงๆ แล้วไม่ใช่ พระผู้เป็นเจ้าทรงคาดหวังความคิดที่เต็มใจในการแสวงหาความสุขและความสงบเช่นกัน ท่านลองคิดเรื่องนี้ ทั้งหมดนี้ต้องใช้ความพยายาม นี่เป็นการต่อสู้แต่เป็นการต่อสู้เพื่อความสุขที่คุ้มกับการประลอง
ในหนังสือยอดนิยมเมื่อหลายปีก่อน ผู้ประพันธ์เขียนว่า “ความสุขเป็นผลของความพยายามส่วนตัว ท่านต่อสู้เพื่อให้ได้มา ขวนขวายให้ได้มา ยืนกรานให้ได้มา และ … [มอง] หาความสุข ท่านต้องมีส่วนในการทำให้พรของท่านเกิดขึ้นโดยไม่ย่อท้อ และเมื่อท่านบรรลุสภาพของความสุข ท่านต้องรักษาสภาพนั้นไว้ไม่ให้หย่อนยาน ท่านต้องพยายามเต็มที่เพื่อว่ายขึ้นไปหาความสุขอยู่เสมอ … ลอยอยู่เหนือน้ำตลอด”7
ข้าพเจ้าชอบประโยคนี้ “มีส่วนในการทำให้พรของท่านเกิดขึ้นโดยไม่ย่อท้อ” อย่ารอรับฝ่ายเดียว จงว่ายขึ้นไป คิด พูด และทำอย่างมั่นใจ นั่นคือสิ่งที่คนมีความสุขทำ นั่นคือแง่มุมหนึ่งของการมีชีวิตอยู่ตามทางแห่งความสุข
จงเมตตากรุณาและน่าคบ
นี่เป็นอีกวิธีหนึ่ง ในการเตรียมข่าวสารนี้ ข้าพเจ้านั่งศึกษาอยู่นานขณะพยายามนึกว่าข้าพเจ้าเคยรู้จักคนมีความสุขที่ไร้น้ำใจหรือไม่น่าคบหรือไม่ ลองทายดูว่ามีหรือไม่ ข้าพเจ้านึกไม่ออกสักคน—ไม่มีสักคน ฉะนั้นจงเรียนรู้ความจริงอันสำคัญยิ่งนี้แต่เนิ่นๆ ในชีวิต นั่นคือ ท่านไม่สามารถสร้างความสุขของท่านบนความทุกข์ของผู้อื่น
บางครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราอายุยังน้อย ขาดความมั่นใจและกำลังพยายามไต่เต้าในโลก เราคิดว่าถ้าเราสามารถดึงคนอื่นลงมาสักนิด นั่นจะยกเราขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ การกลั่นแกล้งเป็นอย่างนั้น คำปลิ้นปล้อนเป็นอย่างนั้น ความยโสโอหัง ความฉาบฉวย และความถือดีเป็นอย่างนั้น บางทีเราอาจจะคิดว่าถ้าเราคิดลบมากพอหรือเยาะเย้ยมากพอหรือใจร้ายมากพอ เมื่อนั้นความคาดหวังคงจะไม่สูงเกินไป เราสามารถทำให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขามีแต่ข้อบกพร่อง และด้วยเหตุนี้ข้อบกพร่องของเราจึงเห็นไม่ชัด
คนมีความสุขไม่คิดลบ ไม่เยาะเย้ย หรือไม่ใจร้าย ฉะนั้นอย่าวางแผนทำให้สิ่งนั้นเป็นส่วนหนึ่งของ “ทางแห่งความสุข” สิ่งที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ในชีวิตคือความเมตตากรุณา ความน่าคบ และการมองโลกในแง่ดีบนพื้นฐานของศรัทธาเป็นคุณสมบัติของคนมีความสุข ในคำพูดของแม่ชีเทเรซา “อย่าให้คนใดมาหาท่านแล้วจากไปโดยที่เขาไม่เป็นคนดีขึ้นและมีความสุขขึ้น จงแสดงออกโดยการดำเนินชีวิตด้วยความเมตตากรุณาแบบพระผู้เป็นเจ้า—ความเมตตากรุณาในสีหน้าของท่าน ความเมตตากรุณาในแววตาของท่าน ความเมตตากรุณาในรอยยิ้มของท่าน ความเมตตากรุณาในการทักทายที่อบอุ่นของท่าน”8
ก้าวอื่นที่เกี่ยวข้องตามเส้นทางสู่ความสุขคือหลีกเลี่ยงความเกลียดชัง ความขัดแย้ง และความโกรธในชีวิตท่าน จำไว้ว่า ลูซิเฟอร์ ซาตาน ปฏิปักษ์ของเราทุกคนรักความโกรธ เขา “เป็นบิดาแห่งความขัดแย้ง, เขายั่วยุใจมนุษย์ให้ขัดแย้งด้วยความโกรธ, ต่อกัน” (3 นีไฟ 11:29)
หลังจากอ้างอิงข้อดังกล่าวในการประชุมใหญ่สามัญเมื่อหลายปีก่อน เอ็ลเดอร์ลินน์ จี. รอบบินส์แห่งสาวกเจ็ดสิบกล่าวว่า “คำกริยา ยั่วยุ ฟังเหมือนเป็นสูตรปรุงความหายนะคือ ตั้งอารมณ์ด้วยความร้อนปานกลาง คนด้วยคำพูดที่เลือกสรรแล้วสองสามคำ แล้วนำไปต้ม คนไปเรื่อยๆ จนข้น ทิ้งไว้ให้เย็น ปล่อยให้ความรู้สึกมึนตึงสักสองสามวัน ยกมาเสิร์ฟเย็นๆ มีของเหลือมากมาย”9 ของเหลือมากมายจริงๆ
ความโกรธทำลายแทบทุกอย่างที่มันสัมผัส ตามที่มีคนกล่าวไว้ การเก็บความโกรธไว้ในใจเป็นเหมือนการดื่มยาพิษและรอให้อีกฝ่ายตาย กรดร้ายแรงจะทำลายภาชนะอยู่นานก่อนจะทำให้ของในนั้นเสียหาย ไม่มีสิ่งใดในความโกรธหรือความชั่วร้ายที่คล้ายกันของความโกรธ—ความรุนแรง ความเดือดดาล ความอาฆาตแค้น และความเกลียดชัง—เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณหรือการเสาะแสวงหาความสุข ข้าพเจ้าคิดว่าความโกรธไม่สามารถอยู่ได้—หรืออย่างน้อยส่งเสริม เพลิดเพลิน และหมกมุ่น—ในชีวิตที่ดำเนิน “ตามทางแห่งความสุข”
ทำให้ได้ความสุข
ต่อไปนี้เป็นข้อเสนอแนะสุดท้ายทั้งที่ยังมีอีกมากให้เราพิจารณา นีไฟกล่าวขณะพยายามหาความสุขในแผ่นดินใหม่หลังจากลำบากมา 30 ปีว่า “ข้าพเจ้า, นีไฟ, ทำให้ผู้คนของข้าพเจ้ามีอุตสาหะ, และทำงานด้วยมือตน” (2 นีไฟ 5:17) ตรงกันข้ามกับคนที่พวกเขาหนีจากมา คนเหล่านั้นกลายเป็น “คนเกียจคร้าน, เต็มไปด้วยอุบายและเล่ห์เหลี่ยม” (2 นีไฟ 5:24)
หากท่านต้องการมีความสุขที่โรงเรียนหรือในงานเผยแผ่หรือที่ทำงานหรือในชีวิตแต่งงาน—จงทำให้ได้ความสุข เรียนรู้ที่จะทำงาน รับใช้อย่างขยันหมั่นเพียร อย่าเกียจคร้านและคึกคะนอง นิยามที่เรียบง่ายของอุปนิสัยเหมือนพระคริสต์น่าจะเป็นความซื่อสัตย์สุจริตในการทำสิ่งถูกต้องในเวลาที่ถูกต้องในวิธีที่ถูกต้อง อย่าเกียจคร้าน อย่าสุรุ่ยสุร่าย “แสวงหาการเรียนรู้, แม้โดยการศึกษาและโดยศรัทธาด้วย” (คพ. 88:118) มีความวิริยะอุตสาหะและทำงาน รวมทั้งทำงานให้ผู้อื่นและรับใช้ผู้อื่น—นี่เป็นกุญแจสำคัญยิ่งดอกหนึ่งของความสุขที่แท้จริง
ตอนนี้ข้าพเจ้าจะจบโดยอ้างอิงคำแนะนำที่แอลมาให้แก่โคริแอนทอนอย่างตรงไปตรงมา ด้วยกำลังใจทั้งหมดที่บิดาคนหนึ่งประสงค์จะมอบให้บุตรชายหรือบุตรสาว เขากล่าวว่าในการฟื้นคืนชีวิตคนซื่อสัตย์ถูกยกขึ้นสู่สภาพของ “ความสุขอันหาได้สิ้นสุดไม่” ที่พวกเขา “สืบทอดในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า” (แอลมา 41:4) เวลานั้น เขาเพิ่มเติมว่า เราจะถูกยก “ขึ้นสู่ความสุขตามความปรารถนาเพื่อความสุข [ของเรา]” (แอลมา 41:5) แต่เขาเตือนอย่างเฉียบขาดเช่นกันว่า “อย่าคิดเอา … ว่า [หากไม่กลับใจ] ลูกจะได้รับการนำกลับคืนจากบาปไปสู่ความสุข. ดูเถิด, พ่อกล่าวแก่ลูก, ความชั่วร้ายไม่เคยเป็นความสุขเลย” (แอลมา 41:10; เน้นตัวเอน)
บาปเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับ “การมีชีวิตอยู่ตามทางแห่งความสุข” แท้จริงแล้ว คนที่ไม่เชื่อเช่นนั้น แอลมากล่าว พวกเขา “ไม่มีพระผู้เป็นเจ้า, และ … ไปในทางตรงกันข้ามกับธรรมชาติของพระผู้เป็นเจ้า; ฉะนั้น, พวกเขาจึงอยู่ในสภาพตรงกันข้ามกับธรรมชาติของความสุข” (แอลมา 41:11)
ปฏิเสธการล่วงละเมิด
ข้าพเจ้าขอให้ท่านปฏิเสธการล่วงละเมิดเพื่อดำเนินชีวิตสอดคล้องกับธรรมชาติของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเป็นธรรมชาติของความสุขที่แท้จริง ข้าพเจ้าให้กำลังใจท่านและชมเชยท่านที่พยายาม “เสาะแสวงหาเส้นทางที่นำไปสู่ความสุข” ท่านจะหาไม่พบในวิธีอื่น
ประจักษ์พยานของข้าพเจ้าคือ พระผู้เป็นเจ้าพระบิดานิรันดร์ในสวรรค์ประทานกำลังใจและทรงชื่นชมการเสาะแสวงหาของท่าน และทรงรักท่านยิ่งกว่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระองค์ทรงต้องการให้ท่านมีความสุข มีปีติที่แท้จริง ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงการชดใช้ของพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดจากพระองค์ ซึ่งจัดเตรียมเส้นทางที่ถูกต้องและทรงเตรียมจุดเริ่มต้นใหม่ไว้บนเส้นทางนั้นหากจำเป็นเพื่อให้โอกาสครั้งที่สอง ให้เราเปลี่ยนแปลงธรรมชาติวิสัยของเราหากจำเป็น
ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้ท่านรู้ว่าพระเซูคริสต์ทรงเป็น “ทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต” และไม่มีใครประสบความสุขที่แท้จริงยกเว้นโดยพระองค์ ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้ท่านได้รับความปรารถนาอันชอบธรรมทุกประการในใจท่านสักวัน สักครั้ง สักที่ขณะท่านดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์โดยมีชีวิต “ตามทาง” ที่นำไปสู่พรเหล่านั้น