ดิจิทัลเท่านั้น: คนหนุ่มสาว
วิธีที่เด็กคนหนึ่งช่วยให้ผมเข้าใจความรักของพระผู้ช่วยให้รอดที่ทรงมีต่อผม
เวลานี้ผมมีความมั่นใจมากขึ้นและมองเห็นพระผู้ช่วยให้รอดรอบตัวผมทุกวันเพราะหลานสาวอายุห้าขวบของผม
ผู้เขียนอาศัยอยู่ในรัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา
ในคืนสิ้นปี ผมไปเยี่ยมศูนย์ต้อนรับนักท่องเที่ยวพระวิหารเซนต์จอร์จ ยูทาห์กับพี่สาวของผมพร้อมกับสามีและลูกๆ ของเธอ ในห้องหนึ่ง พวกเขามีฉากจำลองการประสูติจากทั่วทุกมุมโลก ผมประทับใจความแตกต่างของแต่ละฉาก—ในด้านของขนาด สี วัสดุที่ใช้ การแสดงสีหน้าที่ต่างกัน เป็นต้น ทุกชิ้นทรงพลังและน่าเลื่อมใส
จูเลียต หลานสาววัยห้าขวบของผมอยากให้ผมอุ้มเธอ เราจึงเดินดูนิทรรศการโดยมีเธออยู่ในอ้อมแขนของผม ในห้องที่เงียบ จูเลียตเริ่มพูดซ้ำๆ ว่า “นั่นไงพระเยซู! และนั่นไงพระเยซู! และนั่นก็พระเยซู! และนั่นก็พระเยซู!” วนไปทุกฉากการประสูติที่เราเดินผ่าน น้ำเสียงของเธอร่าเริงขณะชี้ไปที่รูปปั้นแต่ละชิ้นของพระกุมารเยซูอย่างตื่นเต้น เธอต้องการเข้าไปใกล้รูปปั้นแต่ละชิ้นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมพยายามขอให้เธอลดเสียงลงหน่อยแต่ก็ไร้ผล—เธอตื่นเต้นมากเกินไป เธอให้ผมวนกลับมาที่จุดเริ่มต้นใหม่ทุกครั้งที่เราเดินไปสุดห้องนิทรรศการ เราทำอย่างนี้ซ้ำๆ ประมาณ 20 นาทีขณะที่เธอพูดต่อไปว่า “นั่นไงพระเยซู! และนั่นไงพระเยซู!” ในที่สุดเมื่อถึงเวลาที่เราต้องออกจากห้องนั้น ผมปวดหลังและแขนล้าไปหมดแต่ใจของผมโล่งอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานาน ความสุขและความมั่นใจของเธอในการเห็นและรู้จักพระผู้ช่วยให้รอดส่งผลต่อผม
ผมไม่ได้คิดอะไรมากนักเกี่ยวกับประสบการณ์นี้จนกระทั่งผมนั่งอยู่ที่โบสถ์สองสามสัปดาห์ต่อมาและที่ประชุมร้องเพลง “ฉันรู้พระผู้ไถ่ทรงพระชนม์” เป็นเพลงสวดปิด (เพลงสวด, บทเพลงที่ 59) ผมเคยร้องเพลงสวดเพลงนี้มาแล้วหลายสิบครั้งในชีวิตโดยอัตโนมัติแต่ครั้งนี้แตกต่างไป ขณะผมร้องว่า “พระทรงชนม์เพื่อให้รักแก่ฉัน พระทรงชนม์เพื่ออ้อนวอนเพื่อฉัน พระทรงชนม์เพื่อป้อนวิญญาณโหย พระทรงชนม์เพื่อช่วยยามแรงโรย” คำร้องท่อนนี้ทำให้ลำคอของผมตีบตัน ผมหยุดร้องเพลงและร้องไห้ขณะฟังข้อที่เหลือ ทุกถ้อยคำให้ความรู้สึกเป็นจริงมากและให้ความมั่นใจแก่ผมในชั่วขณะนั้น ผมรู้สึกเหมือนพระผู้ช่วยให้รอดทรงกอดผมอยู่และผมรู้สึกว่าพระองค์ไม่ทรงลืมหรือปฏิเสธผม
ผมเคยคิดว่าบางครั้งข้อบกพร่องของผมทำให้ผมมีค่าควรน้อยลงต่อความรักของพระผู้ช่วยให้รอด แต่เมื่อได้เห็นการเฉลิมฉลองเกี่ยวกับพระเยซูผ่านมุมมองของเด็กอายุห้าขวบเป็นสิ่งที่ผมต้องก้าวข้ามความสงสัยในตัวผมเองและพึ่งพาความวางใจว่าพระองค์ทรงรักผมอย่างแท้จริงแม้ผมยังไม่ดีพร้อม ผมต้องวางใจว่าเวลานี้พระองค์ทรงทำงานกับผม ทุกวัน เพื่อทำให้ชีวิตผมดีขึ้นและเปลี่ยนความอ่อนแอเป็นความเข้มแข็ง วางใจว่าพระองค์ทรงกำลังช่วยผมต่อสู้กับการสู้รบของผม วางใจว่าผมสามารถปลดพันธนาการของตนเองให้หลุดพ้นจากความขมขื่น การตำหนิตนเอง ความรู้สึกผิด และอะไรก็ตามที่ก่อทุกข์ให้ผมด้วยความช่วยเหลือจากพระองค์และวางสิ่งเหล่านั้นไว้แทบพระบาทพระองค์—ตลอดไป วางใจว่านี่เป็นกระบวนการ เรากำลังต่อสู้กับธรรมชาติวิสัยของมนุษย์และความยุ่งเหยิงในชีวิต พระองค์ทรงหนักแน่นและทรงอดทนผ่านสิ่งทั้งปวงนี้
จูเลียตไม่ลังเลหรือสงสัยในการเห็นพระเยซูคริสต์และรับรู้ว่าพระองค์ทรงอยู่รอบตัวเธอ—เธอก็แค่ทำ เธอรู้เองโดยธรรมชาติและเธอรู้ว่าพระองค์ทรงรักเธอ รอยยิ้มของเธอเป็นหลักฐานมากพอสำหรับผมว่าเธอรู้และรักพระองค์ ผมเริ่มเข้าใจสาเหตุที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงบัญชาให้เราเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ เพื่อเข้าสู่อาณาจักรของพระองค์ ผมต้องการเป็นเหมือนจูเลียต
หลังจากประสบการณ์สองครั้งนั้น ผมพยายามมากขึ้นที่จะมีความมั่นใจยิ่งขึ้นและมองเห็นพระผู้ช่วยให้รอดรอบตัวผม และผมก็ทำได้! ผมเห็นพระองค์ในคำพูดและการกระทำอันเมตตาของคนแปลกหน้าและเพื่อน ในสายตาของคนที่ผมพูดด้วย เมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงและเมื่อผมได้ยินเสียงนกร้อง ผมเริ่มรู้สึกหนักใจน้อยลงและมีความหวังมากขึ้น ผมเริ่มพูดตามมโนภาพของผมว่า “นั่นไงพระเยซู นั่นไงพระเยซู และนั่นไงพระเยซู” ผมต้องการมีชีวิตแบบนั้นทั้งชีวิต พระองค์ประทับอยู่ทุกหนแห่งและเราแค่ต้องเลือกที่จะเห็นพระองค์ในสิ่งเล็กน้อยและสิ่งที่ยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงเป็นของประทานอันประเสริฐที่สุด