2022
ความหวังใหม่สำหรับการเยียวยาที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นจากภาวะซึมเศร้าและภาวะวิตกกังวล
กรกฎาคม 2022


“ความหวังใหม่สำหรับการเยียวยาที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นจากภาวะซึมเศร้าและภาวะวิตกกังวล” เลียโฮนา กรกฎาคม 2022

ความหวังใหม่สำหรับการเยียวยาที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จากภาวะซึมเศร้าและภาวะวิตกกังวล

เรื่องราวของการเยียวยาระยะยาวจากภาวะซึมเศร้าและภาวะวิตกกังวลแสดงให้เห็นว่าการค่อยๆ เปลี่ยนชีวิตโดยมีพระกิตติคุณเป็นเครื่องกระตุ้นนั้นสามารถมีส่วนในวิธีสำคัญที่นำไปสู่การเยียวยาระยะยาว

ภาพ
ผู้ชายยืนบนยอดเขา

ภาพถ่ายจาก Getty Images

พระเยซูคริสต์มิได้ทรงเป็นเพียงครูผู้ประเสริฐเท่านั้นแต่ทรงเป็นผู้รักษาให้หายดีที่นำผู้คนไปสู่การบรรเทาทุกข์ระยะยาวด้วย นั่นเป็นเพราะพระผู้ช่วยให้รอดทรงรับ“ความเจ็บปวดและความป่วยไข้ของผู้คนของพระองค์ … เพื่อพระองค์จะทรงรู้ตามเนื้อหนังว่าจะทรงช่วยผู้คนของพระองค์ … ได้อย่างไร” (แอลมา 7:11–12)

เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการเยียวยาอย่างยั่งยืนจากภาวะซึมเศร้าและภาวะวิตกกังวล ผมทบทวนเรื่องราวมากกว่า 100 เรื่องเกี่ยวกับผู้คนที่ประสบกับการเยียวยาที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นระยะยาวจากเรื่องท้าทายที่พบเห็นได้ทั่วไปและกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นี้ จากการทบทวนดังกล่าว ผมพบแนวทางสำคัญที่มีประโยชน์ซึ่งเห็นจากเรื่องราวหลายเรื่องเกี่ยวกับการเยียวยา ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย อารมณ์ ความสัมพันธ์ และทางวิญญาณ1

แม้ก่อนที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะเพิ่มความเครียด ความเดียวดายและความโศกเศร้าขึ้น คุณค่าของแบบแผนการดำเนินชีวิตที่มีผลต่อความทุกข์ทางอารมณ์ก็เพิ่มมากขึ้นอยู่แล้ว ดังที่ดร. สตีเฟน อิลาร์ดีกล่าว “มนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับชีวิตที่ได้รับการบำรุงเลี้ยงอย่างอัตคัด นั่งอยู่กับที่ อยู่แต่ในร่ม อดหลับอดนอน โดดเดี่ยวทางสังคม ช่วงก้าวที่เร่งรีบของชีวิตในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด”2

เราจะดำเนินขั้นตอนอะไรได้บ้างในบ้านของเราเพื่อรับมือกับแบบแผนการดำเนินชีวิตเหล่านี้ที่ทำให้เราเสี่ยงต่อความทุกข์ทางอารมณ์? โดยมีพื้นฐานอยู่บนแนวทางสำคัญที่ผมพบ ต่อไปนี้คือการปรับเปลี่ยนพิเศษเฉพาะหลายเรื่องซึ่งผู้เจ็บปวดทางอารมณ์อาจทำได้เพื่อให้การเยียวยาทางอารมณ์ของพวกเขาเองดีขึ้น

1. มีหวังในความเป็นไปได้ของการเยียวยาที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

“หากท่านมีศรัทธาท่านย่อมหวังในสิ่งที่ไม่เห็น, ซึ่งจริง” (แอลมา 32:21)

ภาพ
father holding a baby

หนึ่งในแนวทางสำคัญที่ตรงกันมากที่สุดในเรื่องราวการเยียวยาคือการมีอยู่ของความหวังที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไปในทิศทางที่ว่าความผาสุกทางอารมณ์ที่ดีขึ้นนั้นยังเป็นไปได้ ดังที่บุคคลหนึ่งกล่าวว่า “การเยียวยาเป็น … เรื่องของการรักษาความหวัง”3 ผู้ป่วยทางจิตหลายคนได้รับแจ้งว่าสภาวะของพวกเขานั้นเป็นเรื่องถาวร เรื่องนี้มีพื้นฐานอยู่บนความเชื่อที่ว่าสมองผู้ใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลง ตอนนี้เรารู้ดีกว่านั้น การค้นพบเรื่องความสามารถในการเปลี่ยนแปลงของสมองขยายความหวังจนเราหวังได้ว่าการเปลี่ยนแปลงระดับรากฐานนั้นเป็นไปได้ รวมถึงคนที่กำลังเจ็บป่วยทางจิตด้วย

ความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งไม่ควรเป็นเรื่องแปลกสำหรับคนที่เชื่อในพระคริสต์ เมื่อพูดกับคนที่ทุกข์ใจเพราะความเจ็บป่วยทางจิต เอ็ลเดอร์เอริค ดับเบิลยู. โคพิชกาแห่งสาวกเจ็ดสิบสอนว่า “ทำสิ่งทั้งปวงที่อยู่ในอำนาจของเรา; และจากนั้นขอให้เรายืนนิ่ง … เพื่อเห็นความรอดแห่งพระผู้เป็นเจ้า, และเพื่อพระองค์จะทรงเผยพระพาหุของพระองค์” [หลักคำสอนและพันธสัญญา 123:17]”4 การที่เรามีคนอื่นๆ ที่ไม่หมดหวังในตัวเราอยู่รอบข้างช่วยได้อย่างแท้จริง ดังที่ดร. แดเนียล ฟิชเชอร์พบในการสัมภาษณ์ผู้หายป่วยหลายคนว่า “เราได้ยินครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ‘ฉันจำเป็นต้องมีใครสักคนที่เชื่อในตัวฉัน’”5

2. ปรับชีวิตทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่

“โดยเรื่องเล็กและเรียบง่ายสิ่งสำคัญจะเกิดขึ้น” (แอลมา 37:6)

แท้จริงแล้วทุกเรื่องราวของการเยียวยาเกี่ยวข้องกับผู้คนที่เรียนรู้สิ่งใหม่และเติบโตในวิธีที่ต่างจากเดิม บางครั้งพวกเขามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ตัวอย่างเช่น สตรีคนหนึ่งกล่าวว่า “ดิฉันเริ่มตระหนักว่ายังมีเรื่องเจ็บปวด นิสัย และเรื่องคาใจอื่นๆ ที่จะต้องจัดการในใจดิฉัน ในตัวดิฉันมีทั้งความเห็นแก่ตัว การควบคุม ความโกรธ … และอื่นๆ อีกมากที่ดิฉันมองไม่เห็น”6

บางครั้งผู้คนพบว่าการปรับเปลี่ยนที่เป็นเรื่องเล็กกว่าทำให้เกิดความแตกต่าง เช่น การทำบันทึกเรื่องสำนึกคุณ การรับเลี้ยงสัตว์เลี้ยง หรือออกไปกลางแจ้งรับแสงแดดมากขึ้น ชายคนหนึ่งเล่าถึงคุณค่าของความนิ่งที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในวันของเขา: “ผมตื่นเช้าพอที่จะไม่ต้องรีบตอนเช้า ผมยืนรับแสงแดดที่หน้าต่างสองสามนาที” จากนั้นเขาจะนั่งลงรับประทาน “อาหารเช้าอุ่นๆ ช้าๆ อย่างเงียบสงบ”—โดยไม่มี การรบกวนจากโทรศัพท์ของเขา7

3. ให้ความสำคัญกับกิจกรรมทางกาย โภชนาการ และการนอนหลับ

“เลิกนอนนานเกินความจำเป็น; จงเข้านอนแต่หัวค่ำ, เพื่อเจ้าจะ ไม่เหนื่อยอ่อน; ตื่นแต่เช้า, เพื่อร่างกายเจ้าและความคิดเจ้าจะกระปรี้กระเปร่า” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 88:124 ดู 89:18–21)

ภาพ
biker

เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่า ระดับของกิจกรรมทางกายที่เพิ่มขึ้นทำให้อารมณ์ดีขึ้น การปรับโภชนาการช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการลดภาวะซึมเศร้าลงได้ด้วย8 ดังที่ดร. เฟลิซ แจคกาเขียนว่า: “การกินสลัดอาจรักษาภาวะซึมเศร้าไม่ได้ แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่คุณทำได้เพื่อให้อารมณ์ดีขึ้นและทำให้สุขภาพจิตของคุณดีขึ้น และเรื่องนี้ทำได้อย่างง่ายดายเพียงแค่คุณรับประทานพืชและอาหารที่ดีต่อสุขภาพเพิ่มขึ้น”9 ในทำนองเดียวกัน นักวิจัยพบว่าการเข้านอนเร็วขึ้นหนึ่งชั่วโมง “ส่งผลให้ความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้ารุนแรงลดลง 23%”10—ซึ่งมีประโยชน์ต่อภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวลในปัจจุบันเช่นกัน

4. ปรับอาหารทางจิตและกิจกรรมทางจิตของท่าน

“พระองค์จะทรงพิทักษ์ผู้มีใจแน่วแน่ไว้ในสวัสดิภาพที่สมบูรณ์เพราะเขาวางใจในพระองค์” (อิสยาห์ 26:3)

คนที่กำลังได้รับการเยียวยาอย่างลึกซึ้งขึ้นมักรายงานถึงการเรียนรู้วิธีที่จะไม่มอง “เรื่องทางจิตใจ” ที่สิ้นหวังและมืดมนว่าเป็นภาพสะท้อนของตน แต่มองว่าเป็นเพียงสิ่งที่พวกเขาต้องประสบ ดังที่พี่น้องชายคนหนึ่งเล่าว่า “สิ่งที่แต่ก่อนนี้เคยเป็นประสบการณ์เหมือนถูกทรมาน โดยตกเป็นทาสกระบวนการความคิด เดี๋ยวนี้ผมสามารถปฏิเสธความรู้สึกแบบนั้นได้โดยเพียงแต่มองว่านั่นเป็นเพียงบางสิ่งที่ไร้พิษภัยมากขึ้น เป็นอะไรที่เหมือนเรานอนลงที่ริมฝั่งแม่น้ำ แล้วแค่มองกระแสน้ำไหลผ่านไป”11

แม้เป็นเรื่องปกติที่เราจะมองความคิดของเราว่าเป็น “ความเป็นจริง” แต่ก็เป็นไปได้ที่จะเรียนรู้วิธีมองความคิดและความรู้สึกของเราให้เป็นเรื่องของวัตถุมากขึ้นและเป็นเรื่องของบุคคลน้อยลง โดยผ่านการฝึกฝนด้วยการสวดอ้อนวอน ทำสมาธิ หรือการบำบัด ผลของการทำเช่นนี้ช่วยให้เราซาบซึ้งในความสามารถของตนเองในการเลือกวิธีตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในใจเรา—และเบนความสนใจไปยังสิ่งที่จริงและดี

การให้ความสนใจมากขึ้นต่อสิ่งที่เรานำเข้าสู่ความคิดช่วยสนับสนุนให้เยียวยาขึ้นกว่าเดิมด้วย ดังคำเตือนที่ประธานเนลสันให้เราไว้เมื่อไม่นานมานี้ “หากข้อมูลที่ท่านได้รับส่วนใหญ่มาจากโซเชียลมีเดียหรือสื่ออื่นๆ ความสามารถในการได้ยินเสียงกระซิบของพระวิญญาณจะลดลง”12

5. แสวงหาการให้อภัยและการเยียวยาจากความบอบช้ำทางจิตใจในอดีต

“พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆ หยดจากตาของเขาทั้งหลาย และความตายจะไม่มีอีกต่อไป ความเศร้าโศก การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคเดิมนั้นผ่านไปแล้ว” (วิวรณ์ 21:4)”

เป็นเรื่องปกติที่ความเจ็บปวดในอดีต (จากการกระทำทารุณกรรมในตอนแรกจนถึงความบอบช้ำทางจิตใจในภายหลัง) ส่งผลต่อความทุกข์ทางอารมณ์ในปัจจุบัน รูปแบบทั่วไปที่พบในเรื่องราวของการเยียวยาไม่ใช่การวางเฉยต่อการเชื่อมโยงเหล่านี้แต่กลับเป็นการจริงจังกับมัน แทนที่จะจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ ผิดปกติ กับคน สตรีคนหนึ่งผู้ได้พบกับการเยียวยาแนะนำว่าเราควรสำรวจสิ่งที่ เกิดขึ้น กับพวกเขามากกว่า13 เป็นเรื่องดีที่มีการรับรู้และมีการสนับสนุนจากมืออาชีพมากขึ้นที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับความบอบช้ำทางจิตใจเข้ามาช่วยผู้คนให้พบกับการเยียวยาจากเหตุการณ์เจ็บปวดในอดีต

6. ทำให้การเชื่อมโยงกับพระผู้เป็นเจ้าและคนอื่นๆ ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

“พวกเขาขึ้นมาที่นี่เพื่อฟังพระวจนะที่น่าพึงพอใจของพระผู้เป็นเจ้า, แท้จริงแล้ว, พระวจนะซึ่งรักษาจิตวิญญาณที่บาดเจ็บ” (เจคอบ 2:8)

ภาพ
hikers

ผมประทับใจวิธีที่เรื่องราวของการเยียวยาที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นด้านอารมณ์หลายเรื่องมุ่งไปที่การค้นพบการเชื่อมโยงใหม่อีกครั้งกับพระเจ้า ชายคนหนึ่งพูดถึง “การยึดเหนี่ยวกับสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า” ในพระคัมภีร์เมื่อไม่มีใครอื่นรอบข้างที่ดูเหมือนจะสามารถช่วยเขาได้14 เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์แนะนำผู้เผชิญภาวะซึมเศร้าว่า “จงดำเนินต่อไปอย่างซื่อสัตย์ในการอุทิศตนที่ได้รับการพิสูจน์ด้วยเวลาว่าจะนำพระวิญญาณของพระเจ้ามาสู่ชีวิตท่าน”15

อีกหลายคนยืนยันว่าขณะเชื่อมโยงกับคนอื่นๆ รอบข้างแล้วได้เห็นว่าชีวิตของตนมีคุณค่า มีความหมายและมีจุดประสงค์ที่แท้จริงเป็นส่วนสำคัญของการเยียวยา สมาชิกศาสนจักรคนหนึ่งพบการเชื่อมโยงที่น่าชื่นชมกับสมาชิกครอบครัวที่ถึงแก่กรรมแล้วโดยการทุ่มเทตนเองลงในงานประวัติครอบครัว เขากล่าวว่าเขาค่อยๆ เริ่มสังเกตว่าตนเองเริ่ม “รู้สึกเบาขึ้น” อย่างไร ขณะที่การเชื่อมโยงเหล่านี้ลึกซึ้งขึ้น—จนในที่สุดก็มาถึงจุดที่เขา “ไม่รู้สึกถึงภาวะซึมเศร้าอีกเลย”16

7. ลดการพึ่งพา

“กระทำด้วยตนเองและมิถูกกระทำ” (2 นีไฟ 2:26)

เป็นธรรมชาติของทุกคนที่เผชิญภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลที่จะพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอกในรูปแบบต่างๆ อาทิ จากนักบำบัดมืออาชีพและครอบครัวหรือเพื่อนจนถึงการใช้ยาและอาหาร บ้างก็หลงผิดไปพึ่งพาสารผิดกฎหมายและแอลกอฮอล์ขณะพยายามควบคุมอารมณ์เจ็บปวด ขณะที่ความช่วยเหลือจากแหล่งต่างๆ จะให้ได้เพียงประโยชน์ระยะสั้น คนที่ค้นพบการเยียวยาระยะยาวจะพูดเป็นเสียงเดียวกันถึงการลดการพึ่งพาแหล่งช่วยภายนอก ชั้นเรียนความสามารถในการปรับอารมณ์ของศาสนจักรเป็นแหล่งช่วยทางหนึ่งที่ช่วยให้ผู้คนพัฒนาอิสรภาพที่เติบโตได้แบบนั้น17

การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ สร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่

ภาพ
young man praying

แน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อใดที่กล่าวมา จำเป็นต้องเกิดขึ้นทั้งหมดในคราวเดียว อเล็กซ์ คอร์บ นักประสาทวิทยาเขียนว่า “การเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อย” สามารถเปลี่ยนเส้นทางของภาวะซึมเศร้าได้โดยการสร้าง “กระแสที่หมุนวนขึ้นไป” ครั้งหนึ่งผมสนทนากับครอบครัวหนึ่งซึ่งมีวัยรุ่นซึมเศร้าที่รู้สึกไม่สามารถให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำอะไรได้นอกจากออกไปรับแสงแดดมากขึ้นเล็กน้อย สองสัปดาห์ผ่านไปด้วยการอยู่นอกบ้านนานขึ้นเพื่อเล่นกีฬากับคุณพ่อของเขา เยาวชนชายคนนี้รู้สึกมีพลังมากพอที่จะทดลองปรับอาหาร ซึ่งจุดชนวนของพัฒนาการด้านอื่นๆ และเป็นแรงผลักดันต่อเนื่องของการเยียวยาทีละน้อย เรื่องนี้สะท้อนให้เห็น “ยอดรวมของผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างละเล็กละน้อย” ที่เอ็ลเดอร์ไมเคิล เอ. ดันน์แห่งสาวกเจ็ดสิบเน้นไว้ 18

พี่น้องชายอีกคนหนึ่งเล่าถึงวิธีที่การปรับเปลี่ยนสิ่งที่นำเข้าสู่ความคิดของตนก่อให้เกิดประโยชน์อย่างต่อเนื่องต่อด้านอื่นๆ ของชีวิต “ผมเริ่มจากการเลือกสรร (สื่อ) ที่จะดู และคนที่ผมจะออกไปข้างนอกด้วยเพราะผมรู้สึกชัดเจนจริงๆ ว่าเรื่องนี้มีผลกระทบต่อผม และการทำเช่นนั้นมีผลกระทบต่อวงจรการนอนหลับของผม ผมเริ่มพักผ่อนมากขึ้น และตระหนักว่าตนเองรู้สึกดีจริงๆ เมื่อได้ออกกำลังกาย และผมสังเกตว่าอาหารแบบไหนที่ทำให้รู้สึกดีและแบบไหนทำให้รู้สึกแย่” เขาบรรยายการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ว่าเป็น “โดมิโนเอฟเฟค … ซึ่งส่งผลต่อเนื่องเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีอื่นๆ”19

ดร. คอร์บอธิบายว่า: “ในระบบที่ซับซ้อนอย่างสมอง แม้การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็สามารถเปลี่ยนผลกระทบทั้งระบบได้ ตัวอย่างเช่น การออกกำลังกายเปลี่ยนกิจกรรมที่เกี่ยวกับไฟฟ้าในสมองของคุณขณะนอนหลับ ซึ่งจากนั้นจะไปลดความวิตกกังวล ปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น และให้พลังงานที่คุณจะออกกำลังกายมากขึ้น (รวมทั้งการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ) ในทำนองเดียวกัน การแสดงออกซึ่งความสำนึกคุณจะกระตุ้นการผลิดเซอโรโทนิน ซึ่งปรับอารมณ์ของคุณให้ดีขึ้นและช่วยให้คุณเอาชนะนิสัยไม่ดีต่างๆ ทำให้คุณมีเรื่องที่ต้องสำนึกคุณมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยทุกอย่างอาจเป็นเพียงแรงกระตุ้นให้สมองของคุณจำเป็นต้องเริ่มการหมุนวนขึ้น”20

ดังที่คุณได้เห็น การเยียวยาที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไม่ใช่เรื่องของความพยายามเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่ง ในลักษณะที่เห็นอย่างชัดเจน การทำเช่นนั้นจะทำให้ท้อใจแม้ในภาวะปกติ อย่าว่าแต่จะทำขณะรู้สึกมีภาระหนักทางอารมณ์ แม้การปรับเปลี่ยนเพียงเรื่องเดียวก็สามารถทำให้เกิดความแตกต่างที่แท้จริงและเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ได้ ดังนั้นจงอย่ายอมแพ้!

การได้เห็นวิธีที่การเปลี่ยนแปลงทีละน้อยเป็นศูนย์กลางของการเยียวยาที่ยั่งยืนทำให้ผมซาบซึ้งยิ่งขึ้นกับการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนพระกิตติคุณที่อุทิศตนให้กับการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องและความก้าวหน้านิรันดร์

ข่าวดีคือโอกาสของการเจริญเติบโตเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราสามารถให้ความสำคัญในชีวิตและบ้านของเราเองได้ ศาสดาพยากรณ์ชี้นำหลายครั้ง ย้ำให้เราสนใจมองย้อนไปดูศักยภาพที่ยังไม่เปิดใช้งานภายในครอบครัวเราเอง—ด้วยการที่ประธานเนลสันกระตุ้นเตือนเราเมื่อไม่กี่ปีที่เพิ่งผ่านไปให้ “เปลี่ยนบ้านของ [เรา] เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งศรัทธา”21 ด้วยการดลใจของพระวิญญาณ ผมเชื่อว่าเราสามารถทำให้บ้านของเราเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งการเยียวยาได้ด้วย

พระเจ้าของเราทรงรู้ถึงความทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดทางวิญญาณที่รุนแรงและทรงรู้ว่าสิ่งใดสามารถช่วยให้เราพบกับการบรรเทาทุกข์ที่ลึกซึ้งขึ้นได้ ไม่ว่าความเจ็บป่วยทางจิตน่าสับสนเพียงใดสำหรับเราทุกคน ผมเป็นพยานว่าพระเจ้าไม่ทรงสับสน พระองค์ทรงรู้ชัดว่าสิ่งใดสามารถช่วยให้เราพบการเยียวยาทางวิญญาณที่ยั่งยืนกว่าได้

อ้างอิง

  1. ดูแรงบันดาลใจสำหรับโครงการนี้ของผม Kelly Turner, Radical Remission: Surviving Cancer Against All Odds (2015).

  2. Stephen S. Ilardi, The Depression Cure: The 6-Step Program to Beat Depression without Drugs (2009), viii.

  3. Nyla Verity, Survivor: A Courageous True Account of Personal Transformation from Victim to Survivor (2017), 10.

  4. เอริค ดับเบิลยู. โคพิชกา, “สนทนาปัญหาสุขภาพจิต,” เลียโฮนา, พ.ย. 2021, 38.

  5. Daniel Fisher, in Kate Mulligan, “Psychiatrist Turns Illness into Empowerment Tool,” Psychiatric News, June 1, 2001, psychnews.psychiatryonline.org.

  6. Crystal Jeske, From Darkness to Light: Understand and Overcome Depression in Yourself and Others (2021), 60.

  7. Witold Kozlowski, Depression Blueprint: The Physiological Way through Depression and Out of All That Pain (2017), 37.

  8. ดู Felice N. Jacka and others, “A Randomised Controlled Trial of Dietary Improvement for Adults with Major Depression,” BMC Med, vol. 15, no. 23 (2017).

  9. Felice N. Jacka, in Anahad O’Connor, “How Food May Improve Your Mood,” New York Times, May 6, 2021, nytimes.com.

  10. Iyas Daghlas and others, “Genetically Proxied Diurnal Preference, Sleep Timing, and Risk of Major Depressive Disorder,” JAMA Psychiatry (2021), E1.

  11. Thomas McConkie, interview in Mindweather 101, mindweather.org.

  12. รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “จัดสรรเวลาให้พระเจ้า,” เลียโฮนา, พ.ย. 2021, 120.

  13. ดู Eleanor Longden, “The Voices in My Head” (TED talk), Feb. 2013, ted.com.

  14. Aaron Kim, “Jesus Healed Me of Panic Attacks, Depression, Anxiety, Insomnia, Fearful/Suicidal Thoughts, Testimony,” Dec. 21, 2018, youtube.com.

  15. เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์, “เหมือนภาชนะแตก,” เลียโฮนา, พ.ย. 2013, 41

  16. Grant Smith, personal communication, Apr. 2019.

  17. ดู Finding Strength in the Lord: Emotional Resilience (self-reliance course, 2021), ChurchofJesusChrist.org.

  18. ไมเคิล เอ. ดันน์, “ดีขึ้นหนึ่งเปอร์เซ็นต์,” เลียโฮนา, พ.ย. 2021, 106.

  19. McConkie, mindweather.org.

  20. Alex Korb, The Upward Spiral: Using Neuroscience to Reverse the Course of Depression, One Small Change at a Time (2021), 5.

  21. รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “การเป็นวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่เป็นแบบอย่าง,” เลียโฮนา, พ.ย. 2018, 113.

พิมพ์