ดิจิทัลเท่านั้น
ความสว่าง ความจริง และการเดินกับพระเยซูคริสต์
พิจารณาสามวิธีที่จะช่วยท่านเดินในความสว่างและแยกแยะความจริงโดยไม่ถูกหลอก
ค้นหาความสว่าง
เนื้อเพลงที่ได้รับการดลใจของเพลงไพเราะชื่อ “เดินกับพระเยซู” เป็นคำเชื้อเชิญให้ไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง:
เยซูเดินด้วยปัญญา เติบใหญ่ในความจริง
ในวัยเยาว์ทรงรักพระผู้เป็นเจ้าและมนุษย์
เยซูต้องการนำฉัน ชี้ทางให้ฉันเดิน
ทรงเรียกฉันมาเดินกับพระองค์ทุกวัน
ฉันจะต้องพยายาม เติบใหญ่เหมือนเยซู—
สัญญาจะเดินทางนั้น จะอยู่ที่นั่น
จะยืนข้างพระผู้ช่วย ปลอดภัยในพระองค์
ฉันจะตามทุกย่างก้าว แบ่งปันรักความรัก
ฉันจะวางใจเยซู ฉันจะรับการเรียก
พระองค์จะไม่ทอดทิ้ง เมื่อฉันล้มลง
เยซูประทานพลัง หนุนนำปลอบโยนฉัน
ช่วยให้ฉันเติบโตชั่วนิรันดร
เมื่อฉันเดินกับเยซูถึงบ้านบนสวรรค์
พระองค์จะประทานพระวิญญาณ ทำให้ฉันเปี่ยมด้วยความรัก
เปลี่ยนใจฉันตลอดกาล ช่วยให้ฉันเห็นชัดเจน
ฉันจะเดินกับเยซู พระองค์จะเดินกับฉัน1
โดยแท้แล้วไม่มีความท้าทายใดที่ยิ่งใหญ่ น่าตื่นเต้น และยกระดับจิตวิญญาณมากไปกว่าการเรียนรู้วิธีเดินกับพระเจ้าและได้รับพรอันประเสริฐของการมีพระองค์เดินไปกับเรา
พึงพิจารณาศาสดาพยากรณ์เอโนค เมื่อเอโนคเติบโตในศรัทธาและความเข้าใจ เขาได้รับการสอนในวิถีทางทั้งปวงของพระผู้เป็นเจ้า ศรัทธาของเขายิ่งใหญ่และภาษาของเขามีพลังมากจนช่วยให้สมาชิกแต่ละคนในชุมชนกลับใจอีกทั้งประสบความสว่างและความจริงที่มาจากการเชื่อฟังพระบัญญัติด้วยตนเอง การเปลี่ยนแปลงและการเปลี่ยนใจเลื่อมใสของพวกเขายิ่งใหญ่มากจนพวกเขาเดินกับพระเจ้าและถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ในเวลาต่อมา เอโนคแสวงหาความสว่างและความจริงในชีวิต และพระเยซูทรงมีพระดำรัสเชิญให้เขาเดินกับพระองค์ (ดู โมเสส 6–7)
ลองพิจารณาว่าการค้นหาความสว่างและความจริงในชีวิตประจำวันช่วยให้เราเดินกับพระเยซูได้อย่างไร ตามพระคัมภีร์กล่าว ความสว่างคือ “พลังงาน พลัง หรืออิทธิพลจากสวรรค์ซึ่งมาจากพระผู้เป็นเจ้าผ่านพระคริสต์และให้ชีวิตและความสว่างแก่สรรพสิ่งทั้งปวง … อีกทั้งยังช่วย [บุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า] ให้เข้าใจความจริงของพระกิตติคุณและช่วยให้พวกเขาอยู่บนวิถีทางของพระกิตติคุณนั้นซึ่งนำไปสู่ความรอด”2 อบินาไดศาสดาพยากรณ์ในพระคัมภีร์มอรมอนอธิบายว่าพระเยซูคริสต์ “ทรงเป็นแสงสว่างและชีวิตของโลก; แท้จริงแล้ว, แสงสว่างอันหาได้สิ้นสุดไม่, ซึ่งจะไม่มีวันทำให้มืดได้เลย” (โมไซยาห์ 16:9) พระผู้ช่วยให้รอดทรงประกาศว่า “เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” (ยอห์น 8:12)
ดังนั้น เมื่อเราแสวงหาความสว่างในชีวิต เรากำลังแสวงหาพระคริสต์ เมื่อเราแสวงหาพระคริสต์และน้อมรับความสว่างของพระองค์ เราจะกลายเป็นลูกของพระองค์—“ลูกของความสว่าง” (1 เธสะโลนิกา 5:5) ลูกของความสว่างส่องแสงให้ผู้อื่นได้เห็นงานดีที่พวกเขาทำและสรรเสริญพระบิดาในสวรรค์ของเรา (ดู มัทธิว 5:16) การแสวงหานั้นนำเราให้ทำความดีในชีวิต และให้สัญญาว่าเรา “จะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” เมื่อเราเดินต่อไปในเส้นทางแห่งความสว่างอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซู เราจะเรียนรู้ เติบโต และได้รับความสว่างมากยิ่งขึ้น3 มีแบบแผนของการได้รับความสว่างเมื่อเราเดินกับพระเยซู และในทางกลับกัน พระเยซูทรงเดินกับเราแต่ละคนโดยประทานพรให้เรา “มีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับ [เรา] ตลอดเวลา” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 20:77) นี่คือคำสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับเอโนค: “เจ้าจะอยู่กับเรา, และเรากับเจ้า; ฉะนั้นจงเดินกับเรา” (โมเสส 6:34)
แสวงหาความจริง
ตอนนี้ให้เราหันความสนใจมาที่ความจริง พระเจ้าทรงเปิดเผยต่อโจเซฟ สมิธว่า “ความจริงคือความรู้ถึงสิ่งทั้งหลายดังที่เป็นอยู่, และดังที่เป็นมา, และดังที่จะเป็น” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 93:24) ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธเคยสอนว่า “ความรู้จำเป็นต่อชีวิตและความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า … ความรู้คือการเปิดเผย จงฟังเถิด พี่น้องทั้งหลาย กุญแจสำคัญคือความรู้เป็นพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าที่นำไปสู่ความรอด”4 พระเจ้าตรัสว่า:
“พระวิญญาณแห่งความจริงมาจากพระผู้เป็นเจ้า. เราคือพระวิญญาณแห่งความจริง, และยอห์นกล่าวคำพยานถึงเรา; โดยกล่าวว่า: พระองค์ทรงได้รับความสมบูรณ์แห่งความจริง, แท้จริงแล้ว, แม้แห่งความจริงทั้งมวล;
“และไม่มีมนุษย์คนใดได้รับความสมบูรณ์เว้นแต่เขารักษาพระบัญญัติของพระองค์” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 93:26–27)
พี่น้องทั้งหลาย ในบริบทนี้ ความจริงเกี่ยวข้องกับความสว่าง ความรู้ และการเปิดเผยจากสวรรค์ และสอดคล้องกับความคิด เจตจำนง ลักษณะนิสัย รัศมีภาพ และการดำรงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า5 มีพลังในความจริงเพราะ “สัจจะจะทำให้ [เรา] เป็นไท” (ยอห์น 8:32) ดังนั้น ความจริงทำให้เรามองเห็นได้อย่างชัดเจน เล็งเห็น และหลีกเลี่ยงการหลอกลวง รวมทั้งกำหนดเส้นทางผ่านความไม่แน่นอนในยุคสมัยของเรา อันที่จริง เราควรค้นหาความจริงในชีวิตอยู่เสมอไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ท่อนที่สองและสี่ของบทเพลง “บอกมา สัจจะคืออะไร” สอนอย่างละเอียดในการตีกรอบความสำคัญของการค้นหาความจริง:
สัจจะคืออะไรหรือ? โอ้คือรางวัล
สดใสสุดมนุษย์และพระเจ้าปอง
ไปหา ณ เบื้องล่างที่มันพร่างพราวแสงทอง
หรือขึ้นจ้องส่องหาในนภาลัยกว้างไกลสุด
นี้เป็นจุดปรารถนาสง่ายิ่ง …
สัจจะคืออะไรหรือ? โอ้คือที่ต้น
ที่ปลายเพราะมันอยู่เหนือวันเวลา
แม้โลกแตกแหลกลง และสวรรค์หันลับตา
แต่สัจจาแหล่งรวมชีวังยังคงอยู่คู่กาล
เนิ่นนานชั่วนิจนิรันดร์มิผันแปร6
เราอยู่ในยุคที่น่าอัศจรรย์เมื่อโลกเต็มไปด้วยข้อมูลมากกว่าที่เคยมีมา แต่ก็ยังไม่ยากเกินกว่าจะเล็งเห็นความจริง เราอยู่ในโลกที่มีมุมมองต่างกัน มีความคิดเห็นเสียงดังและแตกแยก และมีปรัชญาแหลมคมซึ่งมักมาจากผู้ที่อ้างตนเป็นผู้เชี่ยวชาญและผู้มีอิทธิพล—พวกเขาหลายคนกำลังตะโกนจากซอกมืดของอินเทอร์เน็ต ในโลกออนไลน์มีการโจมตีที่ดูเหมือนไม่จบสิ้นซึ่งขัดแย้งกับความจริง
อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีชาวอเมริกันชอบมีส่วนร่วมกับผู้ฟังของเขา และมักจะใช้คำปริศนาและอารมณ์ขันตอนเขาพูด มีเรื่องหนึ่งที่เขาถามผู้ฟังว่าสุนัขจะมีกี่ขาถ้านับหางเป็นขา เมื่อผู้ฟังตอบว่า 5 เขาบอกว่าคำตอบคือ 4 เพราะการเรียกหางว่าขาไม่ได้ทำให้หางเป็นขา
มีความจริงเช่นนั้นอยู่จริงๆ ไม่ว่าจะมีกี่คนชอบและแบ่งปัน “ความจริง” ของตนหรือผู้มีอิทธิพลทางสังคมกี่คนยืนยันความจริงนั้น แต่ความจริงคือหางไม่ใช่ขาหรือจะเป็นขาไม่ได้ คำปริศนาของลินคอล์นบ่งบอกความแตกต่างระหว่าง “ความจริงของฉัน” กับความจริงสัมบูรณ์ ซาตานเป็นเจ้าแห่งการเอาความหมายออกจากคำพูด เปลี่ยนคำจำกัดความ และบิดเบือนความจริง ผู้คนมากมายในโลกออนไลน์ดูเหมือนจะหลีกหนีจากสิ่งต่างๆ โดยการเปลี่ยนคำนิยามของบางสิ่ง แต่การเปลี่ยนคำนิยามตามอำเภอใจจะไม่เปลี่ยนความเป็นจริงหรือสิ่งที่เป็นจริง
ในแง่หนึ่ง มาตรฐานความจริงของโลกเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ทำให้รู้สึกดี การตั้งคำถามใดๆ เกี่ยวกับ “ความจริงของตนเอง” ตามที่พวกเขานิยามให้ตนเองถูกถือว่าเป็นการโต้แย้งและโจมตีบุคคล ข้อมูลที่ไร้มาตรฐาน ขาดความสว่างและความจริงก่อให้เกิดความเป็นจริงเผื่อเลือก ตัวอย่างเช่น ลองพิจารณาสถานการณ์ที่ท่านถลำลึกลงไปเรื่อยๆ เนื่องจากชุดคำสั่งของอินเทอร์เน็ตได้แสดงเนื้อหาและข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ ตามที่ท่านคลิกและกดไลค์ ยิ่งท่านคลิกบางอย่าง ชุดคำสั่งของอินเทอร์เน็ตจะยิ่งแสดงเนื้อหาคล้ายคลึงกัน—ไม่ใช่เพื่อแสวงหาความจริง แต่เพื่อเพิ่มยอดโฆษณาและรายได้ ตัวอย่างเช่น หากท่านคลิกวิดีโอเกี่ยวกับสุนัข ไม่นานท่านจะคิดว่าทุกคนรักสุนัขและมีสุนัข และคิดว่าอินเทอร์เน็ตถูกสร้างโดยสุนัขสำหรับคนรักสุนัข อินเทอร์เน็ตจะแสดงภาพและโฆษณามากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ท่านอาจจะเริ่มคิดว่าท่านต้องการสุนัขจริงๆ
ในโลกปัจจุบัน ท่านอาจจะเดินไปกับเทคโนโลยีที่มีพลังอย่างเหลือเชื่อในกระเป๋าเสื้อหรือเป้สะพายหลัง แต่ท่านไม่สามารถขอความสว่างและความจริงจากเทคโนโลยีได้ การเดินกับเทคโนโลยี แม้จะมีความสามารถอันน่าทึ่ง แต่ไม่ควรสับสนกับการเดินกับพระเยซู การอาศัยการเดินไปกับเสียงทางโลกและแหล่งข้อมูลทางโลกจะทำให้เราอ่อนไหวตามปรัชญาเท็จและเรื่องเท็จ สิ่งเหล่านี้อาจดึงดูดใจเรา แต่ไม่ใช่ความจริง
ศาสดาพยากรณ์ผู้เป็นที่รักของเรา ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันเคยสอนไว้ว่า “ความจริงก็คือความจริง บางอย่างจริงจริงๆ ผู้ชี้ขาดความจริงคือพระผู้เป็นเจ้า—ไม่ใช่ฟีดข่าวโซเชียลมีเดียที่ท่านชื่นชอบ”7
และก่อนหน้าท่าน เมื่อหลายปีก่อน ประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ (1895–1985) ซึ่งเป็นศาสดาพยากรณ์ในสมัยที่ข้าพเจ้ายังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย สอนเช่นกันว่า “ความคิดเห็นของมนุษย์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง” ความจริงสัมบูรณ์ได้8 พี่น้องทั้งหลาย “ความจริงสัมบูรณ์มีอยู่จริงในโลกที่เหยียดหยามและไม่ใส่ใจความสัมบูรณ์มากขึ้นเรื่อยๆ”9
เดินกับพระเยซูคริสต์
การเสาะแสวงหาในชีวิตเราคือการแสวงหาความสว่างและความจริง การเดินกับพระผู้ช่วยให้รอดของเราและรับพรอันประเสริฐของการให้พระองค์ทรงเดินกับเราแม้จะมีความมืดอยู่ในโลกทุกวันนี้ก็ตาม ประธานเนลสันแนะนำว่า “ทีนี้โปรดฟังเมื่อข้าพเจ้าบอกว่า: อย่าหลงผิดตามคนที่มีความสงสัยรุนแรงขึ้นตามสิ่งที่ ท่านมองไม่เห็น ในชีวิตพวกเขา”10 ท่านเชื้อเชิญให้เรานำความสว่างและความจริงมาสู่ประจักษ์พยานของเราด้วย:
“ข้าพเจ้าวิงวอนให้ท่านรับผิดชอบประจักษ์พยานของท่าน พยายามให้ได้มา รับผิดชอบ ดูแล บำรุงเลี้ยงให้เติบโต ป้อนความจริงให้ อย่าให้ปนเปื้อนกับปรัชญาของชายหญิงที่ปราศจากความเชื่อ แล้วมาสงสัยว่าทำไมประจักษ์พยานของท่านลดลงเรื่อยๆ”11
คำแนะนำเหล่านี้เป็นคำเชื้อเชิญให้เดินกับพระเยซูเพื่อพระเยซูจะทรงเดินกับเราได้
เราจะเดินในความสว่าง เล็งเห็นความจริง และไม่ถูกความจริงสัมพัทธ์ที่คนเหินห่างจากความจริงสัมบูรณ์จากสวรรค์หลอกได้อย่างไร? ข้าพเจ้าขอเสนอกลยุทธ์บางอย่างที่ได้เรียนรู้จากคำสอนที่ได้รับการดลใจของศาสดาพยากรณ์และจากประสบการณ์ชีวิตของข้าพเจ้าเอง
ศึกษาพระคัมภีร์มอรมอนเป็นประจำ
หนึ่ง ทูลขอการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับวิธีสร้างสมดุลให้กับตารางงานที่ยุ่งเหยิงของท่านเพื่อท่านจะได้ใช้เวลาศึกษาพระคัมภีร์มอรมอนเป็นประจำ พระคัมภีร์มอรมอนสอนความจริงของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ได้ชัดเจนและทรงพลังที่สุด บันทึกพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้เป็นหลักไมล์สำคัญในการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในสมัยการประทานนี้ ต่อจากการเสด็จเยือนของพระผู้เป็นเจ้า พระบิดาและพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ต่อโจเซฟ สมิธ พระคัมภีร์มอรมอนเป็นพยานถึงรักแท้และรักที่สมบูรณ์แบบของพระผู้เป็นเจ้าต่อบุตรธิดาของพระองค์ การพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้อันศักดิ์สิทธิ์โดยไม่คำนึงถึงพระองค์เองของพระเยซูคริสต์ และการปฏิบัติศาสนกิจอันล้ำเลิศท่ามกลางชาวนีไฟหลังการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ไม่นาน (ดู 3 นีไฟ 11)
พระคัมภีร์มอรมอนมีคำตอบของคำถามที่น่าสนใจที่สุดในชีวิต และสอนหลักคำสอนของพระคริสต์ ดังที่ประธานเนลสันศาสดาพยากรณ์ผู้เป็นที่รักของเราสอน ความจริงที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ “มี พลัง เยียวยา ปลอบโยน ฟื้นฟู ช่วยเหลือ เสริมสร้าง ปลอบขวัญ และทำให้จิตวิญญาณเรารื่นเริง”12 ลองพิจารณาคำสัญญาของศาสดาพยากรณ์สำหรับคนที่ใช้เวลาศึกษาพระคัมภีร์อันน่าอัศจรรย์เล่มนี้:
“เมื่อท่านศึกษาพระคัมภีร์มอรมอนร่วมกับการสวดอ้อนวอน ทุกวัน ท่านจะตัดสินใจได้ดีขึ้น—ทุกวัน … เมื่อท่านไตร่ตรองสิ่งที่ศึกษา หน้าต่างฟ้าสวรรค์จะเปิด และท่านจะได้รับคำตอบสำหรับคำถามของท่านและการนำทางในชีวิตท่าน … เมื่อท่านใฝ่ใจศึกษาพระคัมภีร์มอรมอน ท่านจะมีภูมิคุ้มกันความชั่วของยุคสมัย”13
การใช้เวลาศึกษาพระคัมภีร์มอรมอนจะนำท่านไปหาพระเยซูคริสต์ เติมการดลใจและการเปิดเผยให้กับชีวิตท่าน จะเติมความสว่างให้กับจิตวิญญาณท่านและช่วยให้ท่านเล็งเห็นความจริง
ข้าพเจ้าอ่านพระคัมภีร์มอรมอนตั้งแต่ต้นจนจบครั้งแรกตอนเป็นนักเรียนเซมินารี ข้าพเจ้ายังจำความรู้สึกอบอุ่นที่พองโตในจิตวิญญาณ ทำให้ใจข้าพเจ้าอิ่มเอม ทำให้ความเข้าใจของข้าพเจ้ากระจ่าง และทำให้ข้าพเจ้าเบิกบานใจมากขึ้นเรื่อยๆ ตามที่แอลมาอธิบายไว้เมื่อท่านสั่งสอนพระคำของพระผู้เป็นเจ้ากับผู้คนของท่าน (ดู แอลมา 32) ความรู้สึกนั้น ความสว่างและความจริงเพิ่มเติมซึ่งพระเจ้าทรงเห็นควรประทานพรแก่ข้าพเจ้าสุดท้ายแล้วจะกลายเป็นความรู้ที่หยั่งรากในใจและกลายเป็นรากฐานของประจักษ์พยานข้าพเจ้า พระคัมภีร์มอรมอนเป็นศิลาหลักที่ค้ำจุนศรัทธาของข้าพเจ้าในพระเจ้าและประจักษ์พยานของข้าพเจ้าเกี่ยวกับหลักคำสอนของพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งในศิลามุมเอกที่เพิ่มพลังพยานของข้าพเจ้าถึงความจริงเกี่ยวกับการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้อันศักดิ์สิทธิ์ของพระคริสต์ เป็นโล่ป้องกันความพยายามของปฏิปักษ์ที่จะบั่นทอนศรัทธาของข้าพเจ้าและใส่ความไม่เชื่อกับความมืดเข้ามาในจิตใจข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้ากล้าประกาศประจักษ์พยานอย่างองอาจต่อโลกเกี่ยวกับความสว่างและความจริงของพระผู้ช่วยให้รอด ข้าพเจ้าสัญญาว่าเมื่อท่านศึกษาพระคัมภีร์มอรมอนอย่างสม่ำเสมอร่วมกับการสวดอ้อนวอน ท่านจะพบความสว่างและความจริงในชีวิต ท่านจะเข้าใกล้พระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์มากขึ้นและเรียนรู้วิธีเดินกับพระองค์
ใช้เวลามากขึ้นในพระวิหารของพระเจ้า
กลยุทธ์ที่สองคือการใช้เวลากับพระเจ้ามากขึ้นในพระวิหารของพระองค์ ตั้งแต่ประธานเนลสันกล่าวคำปราศรัยต่อทั้งศาสนจักรเป็นครั้งแรกในเดือนมกราคมปี 2018 ท่านเน้นคำสอนมากมายเกี่ยวกับบทบาทสำคัญที่พระวิหาร ศาสนพิธีศักดิ์สิทธิ์ และพันธสัญญาของพระวิหารมีต่อชีวิตเรา ต่อไปนี้คือสิ่งที่ท่านสอนในคราวนั้น:
“เป้าหมายที่จะให้เราแต่ละคนพยายามทำคือรับเอ็นดาวเม้นท์ด้วยพลังอำนาจในพระนิเวศน์ของพระเจ้า รับการผนึกเป็นครอบครัว ซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาที่ทำไว้ในพระวิหารเพื่อเราจะมีคุณสมบัติคู่ควรรับของประทานอันสำคัญที่สุดของพระผู้เป็นเจ้า—นั่นคือชีวิตนิรันดร์ … การนมัสการในพระวิหารและการรับใช้บรรพชนของท่านที่นั่นจะเป็นพรให้ท่านได้รับการเปิดเผยส่วนตัวและสันติสุขเพิ่มขึ้น ทั้งจะเสริมความตั้งใจมั่นให้ท่านอยู่บนเส้นทางพันธสัญญา”14
นี่มีความหมายต่อเราอย่างไร? ต่อไปนี้คือคำตอบของประธานเนลสันสำหรับคำถามนี้:
“ความจำเป็นที่เราต้องเข้าพระวิหารเป็นประจำนั้นสำคัญกว่าที่เคยเป็นมา ข้าพเจ้าขอให้ท่านพิจารณาร่วมกับการสวดอ้อนวอนว่าท่านใช้เวลาของท่านอย่างไร จงลงทุนเวลาไปกับอนาคตของท่านและครอบครัวท่าน ถ้าท่านมีสิทธิ์เข้าพระวิหารได้ ข้าพเจ้าขอให้ท่านหาวิธีทำนัดกับพระเจ้าเป็นประจำ—อยู่ในพระนิเวศน์ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์—แล้วไปให้ตรงตามนัดด้วยความปีติยินดี ข้าพเจ้าสัญญาว่าพระเจ้าจะทรงทำให้เกิดปาฏิหาริย์ที่ทรงรู้ว่าท่านต้องการเมื่อท่านทำการเสียสละเพื่อรับใช้และนมัสการในพระวิหารของพระองค์”15
พี่น้องทั้งหลาย คำตอบนี้เป็นคำเชื้อเชิญให้จัดลำดับความสำคัญใหม่ในชีวิตเราและให้พระวิหารเป็นหนึ่งในนั้น พระวิหารเป็นพระนิเวศน์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง และเมื่อเราอยู่ที่นั่น จดจ่ออยู่กับการนมัสการพระองค์และแสวงหาความสว่างและความจริงของพระองค์ เราจะรู้สึกได้ชัดเจนว่าเราทิ้งโลกไว้เบื้องหลัง และโลกที่หงอยเหงาเศร้าซึมจะอยู่ห่างจากจิตใจเรา เรารู้สึกมีภูมิต้านทานอิทธิพลชั่วร้ายของโลกอย่างเต็มเปี่ยม พระวิหารเป็นสถานที่แห่งการเปิดเผย การสั่งสอน และที่หลบภัยจากพายุทางวิญญาณที่เราพบเจอในยุคสมัยของเรา
ข้าพเจ้าขอให้ท่านพิจารณาวิธีจัดสรรเวลาให้พระเจ้าในพระวิหารของพระองค์ มาและวางภาระของท่านต่อพระพักตร์พระองค์ในพระนิเวศน์อันศักดิ์สิทธิ์ และข้าพเจ้าสัญญาว่าท่านจะเต็มไปด้วยวิญญาณใหม่และความมั่นใจในอนาคต พระเจ้าจะทรงอุ้มชู ประคองท่าน และนำท่านไปทีละก้าวตามเส้นทางเพื่อเดินกับพระองค์ ในพระวิหารเราเรียนรู้ความจริงของนิรันดรในพระวิหารและรับความสว่างมากขึ้นเมื่อเราเข้าใกล้พระเยซูมากขึ้นและเรียนรู้วิธีเดินกับพระองค์
ปฏิบัติตามถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิต
กลยุทธ์ที่สามที่ข้าพเจ้าเสนอคือปฏิบัติตามถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิต เพื่อนทั้งหลาย เราได้รับพรที่มีศาสดาพยากรณ์ผู้ได้รับการดลใจให้พูดแทนพระเจ้านำเรา พระองค์ทรงเรียกพวกท่านให้ประกาศพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าและพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระองค์ผ่านคำสอนของพวกท่าน เราวางใจศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตได้เสมอ คำสอนของพวกท่านสะท้อนพระประสงค์ของพระเจ้าผู้ทรงประกาศว่า “และเสียงเตือนจะมาถึงผู้คนทั้งปวง, โดยปากของสานุศิษย์เรา, ผู้ที่เราเลือกไว้ในวันเวลาสุดท้ายนี้” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 1:4; ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 1:38 ด้วย) ใน 2 พงศาวดารในพันธสัญญาเดิม เราอ่านว่า “จงวางใจในพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย แล้วท่านจะได้รับความมั่นคง จงเชื่อบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์ แล้วท่านจะได้รับความสำเร็จ” (2 พงศาวดาร 20:20)
การมีศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตในยุคสมัยของเราเป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรักบุตรธิดาของพระองค์ เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองเข้าถึงใจข้าพเจ้าเป็นพิเศษเวลาที่ข้าพเจ้าต้องการการปลอบโยนอย่างมาก หลังจากข้าพเจ้าได้รับการเรียกอันน่าหนักใจนี้ให้เป็นอัครสาวกของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ เอ็ลเดอร์ฮอลแลนด์เป็นคนแรกที่โทรหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจำเสียงปลายสายอันทรงพลังและชัดเจนของท่านได้ทันที และรู้สึกถึงความรักที่ท่านและพระผู้เป็นเจ้ามีต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจำได้ว่าเสียงของเอ็ลเดอร์ฮอลแลนด์เป็นเสียงของผู้รับใช้คนหนึ่งของพระผู้ช่วยให้รอด เสียงนั้นให้ความอบอุ่นใจและความมั่นใจอย่างมากข้าพเจ้าในช่วงน่าหนักใจนั้น
นั่นคือสิ่งที่ศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกทำ ท่านไม่จำเป็นต้องได้รับโทรศัพท์ส่วนตัวจากศาสดาพยากรณ์คนใดคนหนึ่งของพระเจ้าจึงจะรู้สึกถึงความรักที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมีต่อท่าน ท่านรู้สึกถึงความรักของพระผู้เป็นเจ้าได้โดยปฏิบัติตามคำสอนของพวกท่าน ข้าพเจ้าเชื้อเชิญท่าน เพื่อนรุ่นเยาว์ทั้งหลาย ให้จดจำและรู้จักเสียงของศาสดาพยากรณ์และปฏิบัติตามคำแนะนำที่ได้รับการดลใจของพวกท่านซึ่งจะนำท่านไปสู่ความสว่างและความจริง ศาสดาพยากรณ์ได้รับแต่งตั้งให้เปิดเผยพระดำริและพระทัยของพระเจ้า ความปลอดภัยสูงสุดของเราอยู่ในการปฏิบัติตามพระคำของพระเจ้าที่ประทานผ่านศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ โดยเฉพาะประธานศาสนจักรคนปัจจุบัน ข้าพเจ้าสัญญาว่าเมื่อท่านเดินกับศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกยุคสุดท้ายและฟัง ท่านจะพบตนเองเดินกับพระเยซูมากขึ้น
เหตุการณ์อันน่ายินดีอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่เกิดขึ้นในเมืองเบธเลเฮมแคว้นยูเดียคือการประสูติของพระผู้ช่วยให้รอดของเราพระเยซูคริสต์ การประสูติ พระชนม์ชีพ และการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระองค์นำความสว่างและความจริงมาสู่โลกอย่างแท้จริง พระองค์ทรงประกาศว่า:
“ดูเถิด, เราคือพระเยซูคริสต์, ผู้ที่ศาสดาพยากรณ์เป็นพยานว่าจะมาในโลก.
“และดูเถิด, เราเป็นแสงสว่างและเป็นชีวิตของโลก” (3 นีไฟ 11:10–11)
ข้าพเจ้าชอบคำแนะนำที่อัครสาวกเปาโลให้กับวิสุทธิชนชาวเธสะโลนิกา: “ท่านทุกคนเป็นลูกของความสว่าง และเป็นลูกของเวลากลางวัน เราไม่ได้เป็นของกลางคืนหรือของความมืด” (1 เธสะโลนิกา 5:5) ในฐานะสมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ท่านเป็นลูกของความสว่าง! ท่านมีความสว่างของพระคริสต์ และแสงนำทางที่มาจากของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ จงเดินในความสว่างนั้นเสมอ ซึ่งจะนำท่านไปสู่ความจริงและทำให้ท่านสามารถเดินกับพระเยซูคริสต์
เมื่อเราน้อมรับความสว่างและความจริงของพระผู้ช่วยให้รอด เราจะสามารถเดินตามรอยพระบาทของพระองค์ ฟังเสียงพระบาทที่สวมรองเท้าและเรียนรู้วิธีเดินกับพระองค์ ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้เราแต่ละคนสามารถประกาศด้วยความปีติยินดียิ่งว่า “ฉันจะเดินกับพระเยซู” แล้วพูดอย่างมั่นใจว่า “พระองค์จะทรงเดินกับฉัน”16 การเดินกับพระองค์เป็นถนนดีที่สุดให้เดินทาง
ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์และความรักอันบริบูรณ์ของพระองค์มีให้ทุกคนที่มาหาพระองค์ พระองค์ทรงอยู่ใกล้เสมอ ทรงอดทนรอเราเมื่อเราเหนื่อยระหว่างทาง และจะทรงเดินกับเราตลอดไปไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใด
จากการให้ข้อคิดทางวิญญาณ มหาวิทยาลัยบริคัมยังก์เมื่อ 12 ธันวาคมปี 2022