ดิจิทัลเท่านั้น
ได้รับความคุ้มครองระหว่างหินถล่ม
ผู้เขียนอาศัยอยู่ในวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา
เมื่อรถของเราเสียหลักกำลังจะพุ่งเข้าหารั้วกั้นหน้าผา พระวิญญาณประทานการกระตุ้นเตือนที่ผมคาดไม่ถึง
ผมไปอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนกับลูกสาวและครอบครัวเธอ เราใช้เวลาเที่ยวชมทั้งวัน วันนั้นฝนตกแต่เราไม่ปล่อยให้ฝนทำให้เราหมดสนุก ลูกสาวผมขับรถมาเกือบทั้งวัน ตกกลางคืนผมได้รับการกระตุ้นเตือนว่าผมควรเป็นคนขับรถพาเรากลับที่พัก
ไม่ชัดว่าทำไมผมต้องเป็นคนขับ แต่ผมพยายามทำตามการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์เสมอเมื่อผมรู้สึกแบบนี้ ตามที่โจเซฟ สมิธสอน “จงระวังและอย่าหันหลังให้สุรเสียงสงบแผ่วเบา เพราะสุรเสียงนั้นจะสอน [ท่าน] ว่าต้องทำอะไรและไปที่ไหน”1
ตอนนั้นมืดแล้วและฝนตกหนัก จู่ๆ ก็มีบางอย่างปรากฏอยู่หน้ารถ ผมไม่แน่ใจว่าคืออะไร แต่อยู่ใกล้มาก ผมรู้ว่าเรากำลังจะชน รู้เลยว่าส่วนหนึ่งของลาดเขาทลายตกลงมาทางเรา ผมพยายามหักหลบหินก้อนใหญ่อย่างรวดเร็ว แต่เราอยู่ใกล้มาก เราจึงชนหินก้อนนั้น
แรงเหวี่ยงของรถไถเราขึ้นไปบนหิน ทำให้รถเอียงและวิ่งสองล้อ ผมพยายามหยุดรถแต่คันเร่งค้าง รถวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเหมือนจรวดสองล้อพุ่งไปตามถนน ในตอนนั้นผมรู้เลยว่าเรากำลังจะพุ่งเข้าหารั้วกั้นริมผาที่พาลงไปสู่แม่น้ำเยลโลว์สโตน ผมคุมรถไม่อยู่และรู้ว่าอีกด้านของราวกั้นคืออะไรถ้ารถพุ่งข้ามราวกั้น
ในจังหวะนั้น ผมสวดอ้อนวอนในใจ “พระบิดา โปรดช่วยข้าพระองค์ช่วยให้ครอบครัวปลอดภัยด้วยเถิด!” ทันใดนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระตุ้นเตือนผมให้ดับเครื่อง ซึ่งผมต้องเอามือข้างหนึ่งออกจากพวงมาลัย แต่การบังคับรถต้องใช้สองมือ ผมคิดในใจ “ผมปล่อยพวงมาลัยไม่ได้” ผมรู้สึกถึงสุรเสียงกระซิบปลอบโยนจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า “ไม่เป็นไร เราจะช่วยเจ้า ดึงกุญแจออก” ผมเอื้อมไปที่รูเสียบกุญแจและดึงกุญแจออก เมื่อรถเริ่มช้าลง ผมบังคับรถได้อีกครั้งเราจึงยังอยู่บนถนน
ผมรู้ว่าการกระตุ้นเตือนจากพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเองที่นำผมให้ดับเครื่อง ราวกับเทพกำลังช่วยกันจับพวงมาลัยให้ผมได้เอามือข้างหนึ่งมาดับเครื่อง ผมรู้ว่าพระบิดาบนสวรรค์และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงช่วยผมในคืนนั้น ผมสำนึกคุณอย่างยิ่งต่อพระกิตติคุณในชีวิตที่ทำให้ผมพร้อมรับการกระตุ้นเตือนที่นำเราสู่ความปลอดภัย