2010–2019
“เราเลือกการอดอาหารอย่างนี้ไม่ใช่หรือ?”
เมษายน 2015


17:19

“เราเลือกการอดอาหารอย่างนี้ไม่ใช่หรือ?”

เงินบริจาคของท่านจะช่วยมากกว่าการป้อนอาหารและห่อหุ้มร่างกาย เงินบริจาคจะเยียวยาและเปลี่ยนแปลงสภาพจิตใจ

พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าปลื้มปีติที่ได้แสดงความรักต่อท่านทั้งหลายในการประชุมใหญ่ของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ปีติดังกล่าวมาจากพระวิญญาณที่เป็นพยานว่าความรักของพระผู้ช่วยให้รอดเอื้อมออกไปหาท่านแต่ละคนและบุตรธิดาทุกคนของพระบิดาบนสวรรค์ พระบิดาบนสวรรค์ของเราทรงปรารถนาจะอวยพรบุตรธิดาของพระองค์ทั้งทางวิญญาณและทางโลก พระองค์เข้าพระทัยความต้องการ ความเจ็บปวด และความหวังของพวกเขา

เมื่อเราให้ความช่วยเหลือใครก็ตาม พระผู้ช่วยให้รอดทรงรู้สึกประหนึ่งเราเอื้อมออกไปช่วยเหลือพระองค์

พระองค์ตรัสกับเราว่าสิ่งนั้นเป็นจริงเมื่อพระองค์ทรงพรรณนาถึงช่วงเวลาในอนาคตที่เราทุกคนจะมีเมื่อเราเห็นพระองค์หลังจากชีวิตในโลกของเราสิ้นสุด ภาพของวันนั้นในความคิดข้าพเจ้าชัดเจนมากขึ้นในวันที่ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนและอดอาหารเพื่อจะรู้ว่าเช้านี้จะพูดอะไร พระเจ้าประทานพระดำรัสอธิบายถึงการสัมภาษณ์ในอนาคตนั้นแก่สานุศิษย์ของพระองค์ และพระดำรัสอธิบายสิ่งที่เราปรารถนาสุดจิตสุดใจที่จะให้เกิดขึ้นจริงกับเราเช่นกัน

“ขณะนั้น พระมหากษัตริย์จะตรัสกับพวกผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ท่านทั้งหลายที่ได้รับพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก

“เพราะว่าเมื่อเราหิว พวกท่านก็จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้าพวกท่านก็ต้อนรับเรา

“เราเปลือยกายพวกท่านก็ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็มาดูแลเรา เมื่อเราอยู่ในคุก พวกท่านก็มาเยี่ยมเรา

“เวลานั้นบรรดาคนชอบธรรมจะกราบทูลว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า ที่พวกข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวและจัดให้เสวยหรือทรงกระหายน้ำ และจัดมาถวายนั้นตั้งแต่เมื่อไร?

“ที่พวกข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้าและได้ต้อนรับไว้ หรือเปลือยพระกายและสวมฉลองพระองค์ให้นั้นตั้งแต่เมื่อไร?

“ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือทรงถูกจำคุก และมาเฝ้าพระองค์นั้นตั้งแต่เมื่อไร?

“แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสตอบว่า เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ซึ่งพวกท่านได้ทำกับคนใดคนหนึ่งที่เล็กน้อยที่สุดในพี่น้องของเรานี้ ก็เหมือนทำกับเราด้วย”1

ท่านกับข้าพเจ้าต้องการการต้อนรับอันอบอุ่นเช่นนั้นจากพระผู้ช่วยให้รอด แต่ทำอย่างไรเราจึงจะคู่ควรแก่สิ่งนั้นได้ มีบุตรธิดาของพระบิดาบนสวรรค์ผู้หิวโหย ไร้ที่พักพิง และเดียวดายมากมายเกินกว่าเราจะเอื้อมถึงได้ และมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนไกลเกินเอื้อม

ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงประทานบางสิ่งที่เราแต่ละคนทำได้ เป็นพระบัญญัติที่เรียบง่ายแม้แต่เด็กเล็กก็เข้าใจได้ เป็นพระบัญญัติที่มีคำสัญญาอันแสนวิเศษสำหรับผู้ที่ขัดสนและสำหรับเรา

นั่นคือกฎแห่งการอดอาหาร ถ้อยคำในหนังสืออิสยาห์คือพระดำรัสอธิบายของพระเจ้าถึงพระบัญญัตินั้นและพรที่มีให้เราทั้งหลายในศาสนจักรของพระองค์

“เราเลือกการอดอาหารอย่างนี้ไม่ใช่หรือ? คือการแก้พันธนะอธรรม การแก้สายรัดของแอก การปลดปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ และการหักแอกทั้งหมดเสีย

“คือการแบ่งอาหารของเจ้ากับคนหิว การนำคนยากจนไร้บ้านเข้ามาในบ้านไม่ใช่หรือ? และเมื่อเห็นคนเปลือยกายก็คลุมกายเขาไว้ ทั้งไม่ซ่อนตัวเจ้าจากญาติของเจ้าไม่ใช่หรือ?

“และความสว่างจะพุ่งออกมาแก่เจ้าเหมือนรุ่งอรุณ และการรักษาแผลของเจ้าจะมีขึ้นอย่างรวดเร็ว ความชอบธรรมของเจ้าจะเดินนำหน้าเจ้า และพระสิริของพระยาห์เวห์จะระวังหลังเจ้า

“แล้วเมื่อเจ้าทูล พระยาห์เวห์จะทรงตอบ เมื่อเจ้าร้องทูล พระองค์จะตรัสว่า เราอยู่นี่ ถ้าเจ้าจะเอาแอกออกไปจากท่ามกลางเจ้า รวมทั้งการชี้หน้าและคำพูดอธรรม

“และถ้าเจ้าทุ่มเทชีวิตของเจ้าแก่ผู้หิวโหย และทำให้ผู้ถูกข่มใจได้อิ่มเอิบ แล้วความสว่างจะโผล่ขึ้นแก่เจ้าในความมืด และความมืดคลุ้มของเจ้าจะเป็นเหมือนเที่ยงวัน

“และพระยาห์เวห์จะทรงนำเจ้าอย่างต่อเนื่อง และทำให้ตัวเจ้าอิ่มเอิบในที่แห้งแล้ง และทำให้กระดูกของเจ้าแข็งแรง และเจ้าจะเป็นเหมือนสวนมีน้ำชุ่ม เหมือนน้ำพุที่น้ำของมันจะไม่ขาด”2

ดังนั้นพระเจ้าจึงประทานพระบัญญัติอันเรียบง่ายที่มีคำสัญญาอันน่าอัศจรรย์ใจแก่เรา ในศาสนจักรทุกวันนี้ เรามีโอกาสอดอาหารเดือนละหนึ่งครั้งและบริจาคเงินอดอาหารอย่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผ่านอธิการหรือประธานสาขาของเราเพื่อประโยชน์ของผู้ยากไร้และผู้ขัดสน เงินบางส่วนที่ท่านให้มาจะนำไปช่วยผู้คนรอบข้างท่าน บางทีอาจเป็นคนในครอบครัวของท่านเอง ผู้รับใช้ของพระเจ้าจะสวดอ้อนวอนและอดอาหารทูลขอการเปิดเผยเพื่อให้ทราบว่าจะต้องช่วยเหลือใครและช่วยเหลืออย่างไร เงินส่วนที่ไม่ได้นำไปช่วยผู้คนในหน่วยศาสนจักรในท้องที่ของท่านจะกลายเป็นพรให้สมาชิกศาสนจักรคนอื่นๆ ทั่วโลกที่ต้องการความช่วยเหลือ

พระบัญญัติที่ให้อดอาหารเพื่อคนยากจนมีพรมากมายติดมาด้วย ประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์เรียกการล้มเหลวที่จะรักษากฎนั้นว่าเป็นบาปของการละเลยที่มีโทษสูง ท่านเขียนว่า “พระเจ้าทรงทำสัญญาไว้มากมายกับผู้ที่อดอาหารและช่วยเหลือผู้ขัดสน … การดลใจและการนำทางทางวิญญาณจะเกิดขึ้นเนื่องจากความชอบธรรมและความใกล้ชิดพระบิดาบนสวรรค์ของเรา การละเลยกฎอันชอบธรรมแห่งการอดอาหารนี้จะลิดรอนสิทธิ์ของเราจากพรดังกล่าว”3

ข้าพเจ้าได้รับพรเหล่านั้นอย่างหนึ่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี้ เนื่องจากการประชุมใหญ่ตรงกับวันสุดสัปดาห์ซึ่งปกติจะเป็นการประชุมอดอาหารและประจักษ์พยาน ข้าพเจ้าอดอาหารและสวดอ้อนวอนเพื่อให้รู้ว่าข้าพเจ้าจะยังคงเชื่อฟังพระบัญญัติที่ให้ดูแลคนขัดสนได้อย่างไร

ในวันเสาร์โดยที่ยังอดอาหารอยู่ ข้าพเจ้าตื่นนอน 6 โมงเช้าและสวดอ้อนวอนอีกครั้ง ข้าพเจ้าได้รับการกระตุ้นให้ดูข่าว ข้าพเจ้าอ่านข่าวนี้

พายุไซโคลนเขตร้อนแพมทำลายบ้านเรือนหลายหลังเมื่อมุ่งเข้าสู่เมืองพอร์ตวิลา เมืองหลวงของวานูอาตู มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยหกคนในวานูอาตู นี่เป็นรายงานผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันในเบื้องต้นจากพายุที่รุนแรงที่สุดที่เคยขึ้นฝั่ง

“ยากยิ่งที่จะมีต้นไม้ต้นใดตั้งตรงได้ [เมื่อพายุไซโคลนลูกนี้] คำรามกึกก้องทั่ว” ประเทศของเกาะแปซิฟิก4

ทีมงานประเมินภาวะฉุกเฉินของมูลนิธิศุภนิมิตวางแผนประเมินความเสียหายหลังจากพายุสงบลง

พวกเขาแนะนำประชาชนให้หาที่หลบภัยในอาคารที่แข็งแรงเช่นมหาวิทยาลัยและโรงเรียน

และจากนั้นพวกเขาบอกว่า “‘อาคารแข็งแรงที่สุดที่พวกเขามีคือโบสถ์ซีเมนต์’ อิงกา มีแฟม [จาก] องค์การแคร์นานาชาติกล่าว … ‘พวกเขาบางคนไม่มีอาคารแบบนั้น ยากมากที่จะหาอาคารที่คุณคิดว่าจะต้านทาน (พายุ) ระดับ 5 ได้’”5

เมื่อข้าพเจ้าอ่านข่าวนั้น ข้าพเจ้านึกถึงเมื่อคราวไปเยี่ยมบ้านเรือนเล็กๆ ที่วานูอาตู ข้าพเจ้าวาดมโนภาพเห็นผู้คนเกาะกลุ่มกันในบ้านขณะพายุพัดกระหน่ำทำลายบ้านเรือน จากนั้นข้าพเจ้านึกถึงการต้อนรับอันอบอุ่นที่ผู้คนของวานูอาตูมอบให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคิดถึงพวกเขาและเพื่อนบ้านที่หนีมาหลบภัยในอาคารซีเมนต์ของเรา

จากนั้นข้าพเจ้านึกภาพอธิการและประธานสมาคมสงเคราะห์เดินอยู่ท่ามกลางพวกเขา กล่าวคำปลอบโยน แจกผ้าห่ม อาหาร และน้ำดื่ม ข้าพเจ้าเห็นภาพเด็กๆ ที่หวาดกลัวเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกัน

พวกเขาอยู่ห่างไกลมากจากบ้านที่ข้าพเจ้าอ่านข่าวนั้น กระนั้นข้าพเจ้าทราบว่าพระเจ้าจะทรงทำสิ่งใดผ่านผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพเจ้าทราบว่าสิ่งที่พวกเขาจะทำได้เพื่อช่วยเหลือบุตรธิดาเหล่านั้นของพระบิดาบนสวรรค์คือเงินบริจาคอดอาหาร ซึ่งสานุศิษย์ของพระเจ้าผู้อยู่ห่างไกลพวกเขาแต่ใกล้ชิดพระเจ้าได้บริจาคให้

ข้าพเจ้าจึงไม่รอให้ถึงวันอาทิตย์ ข้าพเจ้านำเงินบริจาคอดอาหารไปให้อธิการเช้าวันนั้น ข้าพเจ้าทราบว่าอธิการและประธานสมาคมสงเคราะห์อาจใช้เงินบริจาคของข้าพเจ้าเพื่อช่วยเหลือใครสักคนในละแวกบ้านข้าพเจ้า เงินบริจาคเล็กน้อยของข้าพเจ้าอาจไม่ได้ใช้ในละแวกที่ข้าพเจ้ากับครอบครัวอาศัยอยู่ แต่เงินบริจาคที่เหลือในท้องที่อาจไปไกลถึงวานูอาตู

พายุและเหตุการณ์ร้ายแรงอื่นๆ จะเกิดขึ้นทั่วโลกกับผู้คนที่พระเจ้าทรงรักและทรงสัมผัสถึงความเศร้าโศกของพวกเขา ส่วนหนึ่งของเงินบริจาคอดอาหารของท่านกับข้าพเจ้าเดือนนี้จะนำไปใช้เพื่อช่วยเหลือใครสักคน ที่ไหนสักแห่ง ผู้ที่พระเจ้าจะทรงสัมผัสถึงการบรรเทาทุกข์ของพวกเขาประหนึ่งว่าเป็นของพระองค์เอง

เงินบริจาคของท่านจะช่วยมากกว่าการป้อนอาหารและห่อหุ้มร่างกาย เงินบริจาคจะเยียวยาและเปลี่ยนแปลงสภาพจิตใจ การให้ด้วยความเต็มใจอาจส่งผลเป็นความปรารถนาในใจของผู้รับที่จะเอื้อมออกไปหาผู้อื่นที่ต้องการความช่วยเหลือ สิ่งนั้นเกิดขึ้นทั่วโลก

สิ่งนี้เกิดขึ้นในชีวิตของซิสเตอร์อาบี ทูเรย์ผู้อาศัยอยู่ในเซียร์ราลีโอน สงครามกลางเมืองเริ่มขึ้นในปี 1991 ทำลายประเทศชาติตลอดหลายปี เซียร์ราลีโอนเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกอยู่แล้ว “ในช่วงสงคราม บอกไม่ได้ว่าใครเป็นคน [ปกครอง] ประเทศ ธนาคาร… และสถานที่ราชการปิดหมด กำลังตำรวจ [ไม่มีประสิทธิภาพในการสู้กับฝ่ายกบฏ]… และเกิดความโกลาหล เข่นฆ่ากันและความเศร้าโศก มีผู้เสียชีวิตหลายหมื่นคนและประชาชนมากกว่าสองล้านคนจำใจต้องออกจากบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกสังหาร”6

แม้ในเวลาเช่นนั้น ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเติบโต

หนึ่งในสาขาแรกๆ จัดตั้งขึ้นในเมืองที่ซิสเตอร์ทูเรย์อาศัยอยู่ สามีเธอเป็นประธานสาขาคนแรก เขารับใช้เป็นประธานท้องถิ่นในช่วงสงครามกลางเมือง

“[ปัจจุบัน] เมื่อมีแขกมาเยี่ยมบ้านซิสเตอร์ทูเรย์ เธอชอบนำ [สมบัติล้ำค่า] จากสงครามมาให้พวกเขาดู คือเสื้อเชิ้ตแถบฟ้าสลับขาวที่ [เธอ] ได้มาจากกองผ้าใช้แล้ว [ที่สมาชิกศาสนจักรบริจาค] กับผ้าห่มที่ปัจจุบันนี้เนื้อผ้าหลุดลุ่ยมีรูพรุนทั้งผืน”7

เธอบอกว่า “เสื้อตัวนี้คือเสื้อผ้า… ชิ้นแรกที่ดิฉัน [ได้รับ] … ดิฉันเคยใส่ไปทำงาน—เป็นเสื้อที่ดีมาก [ทำให้ดิฉันรู้สึกสวยงาม] ดิฉันไม่มีเสื้อผ้าอื่นอีก

“ในช่วงสงคราม ผ้าห่มผืนนี้ช่วยให้ดิฉันกับลูกๆ อบอุ่น เมื่อฝ่ายกบฏ [จะ] โจมตีเรา นี่เป็นสิ่งเดียวที่ดิฉันคว้ามาได้ [ขณะที่เราวิ่งหนีเข้าไปซ่อนในดงไม้] เราจึงเอาผ้าห่มไปกับเราด้วย ผ้าห่มช่วยให้เราอบอุ่นและกันยุงได้ด้วย”8

“ซิสเตอร์ทูเรย์พูดถึงความสำนึกคุณที่เธอมีต่อประธานคณะเผยแผ่ซึ่งเดินทางเข้ามาในประเทศที่กำลังเดือดร้อนเพราะสงครามครั้งนี้พร้อมด้วย [เงิน] ในกระเป๋า” เงินทุนเหล่านั้นมาจากเงินบริจาคอดอาหารของผู้คนอย่างพวกท่าน ซึ่งช่วยให้วิสุทธิชนได้ซื้ออาหารซึ่งชาวเซียร์ราลีโอนส่วนใหญ่ไม่มีเงินมากพอจะซื้อ9

ซิสเตอร์ทูเรย์พูดถึงคนเหล่านั้นที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่พอจะบริจาคให้พวกเขารอดชีวิต เธอบอกว่า “เมื่อดิฉันนึกถึงผู้คนที่ทำสิ่งนี้ … ดิฉันรู้สึกว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงส่ง [พวกเขา] มา เพราะมนุษย์ปุถุชนแสดงความเมตตาต่อ [เรา]”10

เมื่อไม่นานมานี้มีแขกผู้หนึ่งจากสหรัฐมาเยี่ยมอาบี ในช่วงที่เขาพักอยู่กับเธอ เขาเห็น “พระคัมภีร์ชุดหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ” เขาบอกได้ว่าพระคัมภีร์ชุดนี้เป็นสมบัติล้ำค่า “มีข้อความเขียนประกอบไว้มากมายตามขอบ หน้ากระดาษ [หลุดลุ่ย] บ้างก็ฉีกขาด หน้าปกหลุดออกจากเล่ม”

เขาถือพระคัมภีร์ไว้ใน “มือและค่อยๆ พลิกหน้าหนังสือ ขณะ [ทำเช่นนั้น เขาพบ] สำเนาสีเหลืองของใบบริจาคส่วนสิบ [เขา] เห็นได้ว่า ในประเทศที่ [เงินหนึ่งดอลลาร์มีค่าเท่ากับ] น้ำหนักทองคำ อาบี ทูเรย์จ่ายส่วนสิบหนึ่งดอลลาร์ บริจาคกองทุนผู้สอนศาสนาหนึ่งดอลลาร์ และอีกหนึ่งดอลลาร์เป็นเงินบริจาคอดอาหารสำหรับผู้ที่เธอบอกว่า ‘ยากจนอย่างแท้จริง’”

แขกผู้นั้นปิดพระคัมภีร์ของซิสเตอร์ทูเรย์และคิดว่า ขณะที่เขายืนอยู่กับมารดาชาวแอฟริกาผู้ซื่อสัตย์คนนี้ เขากำลังยืนอยู่บนที่ศักดิ์สิทธิ์11

การรับพรจากเงินบริจาคอดอาหารของท่านและของข้าพเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพจิตใจได้ฉันใด การอดอาหารเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นก็สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพจิตใจได้ฉันนั้น แม้แต่เด็กเล็กก็สัมผัสได้

เด็กๆ หลายคน และผู้ใหญ่บางคน ด้วยเหตุผลส่วนตัวอาจพบว่าการอดอาหาร 24 ชั่วโมงเป็นเรื่องยาก ตามถ้อยคำของอิสยาห์ การอดอาหารอาจเป็นสิ่งที่ “ข่มใจ [พวกเขา]” พ่อแม่ที่ฉลาดตระหนักถึงความเป็นไปได้นั้น จึงรอบคอบที่จะทำตามคำแนะนำของประธานโจเซฟ เอฟ. สมิธที่ว่า “เป็นการดีกว่าที่จะสอนหลักธรรม และให้พวกเขาทำตามเมื่อพวกเขาโตพอที่จะเลือกอย่างฉลาด”12

ข้าพเจ้ามองเห็นพรในคำแนะนำนั้นเมื่อไม่นานมานี้ หลานคนหนึ่งของข้าพเจ้าพบว่าการอดอาหาร 24 ชั่วโมงนั้นเกินพลังความสามารถที่เขาจะทนได้ แต่พ่อแม่ที่ฉลาดยังคงปลูกฝังหลักธรรมนั้นไว้ในใจเขา ไม่นานมานี้เพื่อนที่โรงเรียนของเขาคนหนึ่งสูญเสียลูกพี่ลูกน้องจากอุบัติเหตุ หลานชายข้าพเจ้าถามคุณแม่ของเขาในวันอดอาหาร ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขารู้สึกอยู่เสมอว่ายากเกินไปที่จะอดอาหารต่อไปได้อีก ว่าเพื่อนที่โศกเศร้าของเขาจะรู้สึกดีขึ้นไหมถ้าเขาอดอาหารต่อไป

คำถามของเขาเป็นการยืนยันคำแนะนำของประธานโจเซฟ เอฟ. สมิธ หลานชายข้าพเจ้ามาถึงจุดที่เขาไม่เพียงเข้าใจหลักธรรมแห่งการอดอาหารเท่านั้น แต่ได้ฝังลึกลงในใจเขาด้วย เขารู้สึกว่าการอดอาหารและการสวดอ้อนวอนจะนำไปสู่พรจากพระผู้เป็นเจ้าสำหรับคนที่ต้องการ ถ้าเขาดำเนินชีวิตตามหลักธรรมนี้บ่อยมากพอ จะส่งผลอันดีงามในชีวิตของเขาเองตามที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ เขาจะมีพรทางวิญญาณของพลังที่จะรับการดลใจและมีสมรรถภาพมากขึ้นที่จะต้านทานการล่อลวง

เราไม่ทราบเหตุผลทั้งหมดว่าเหตุใดพระเยซูคริสต์จึงเสด็จไปในแดนทุรกันดารเพื่ออดอาหารและสวดอ้อนวอน แต่อย่างน้อยเราก็ทราบถึงผลอย่างหนึ่ง คือพระผู้ช่วยให้รอดทรงต้านทานการล่อลวงทั้งหมดของซาตานที่จะให้พระองค์ทรงใช้พลังแห่งสวรรค์ในทางที่ผิด

ช่วงเวลาสั้นๆ ที่เราอดอาหารทุกเดือนและเงินจำนวนน้อยที่เราบริจาคให้คนยากจนอาจเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยของการเปลี่ยนแปลงนิสัยของเราที่จะไม่มีความปรารถนาจะทำความชั่วอีกต่อไป แต่มีสัญญาที่ยิ่งใหญ่ แม้เมื่อเราทำทุกอย่างที่เราสามารถทำได้เพื่อสวดอ้อนวอน อดอาหาร และบริจาคให้แก่ผู้ที่ขัดสน

“และความสว่างจะพุ่งออกมาแก่เจ้าเหมือนรุ่งอรุณ และการรักษาแผลของเจ้าจะมีขึ้นอย่างรวดเร็ว ความชอบธรรมของเจ้าจะเดินนำหน้าเจ้า และพระสิริของพระยาห์เวห์จะระวังหลังเจ้า

“แล้วเมื่อเจ้าทูล พระยาห์เวห์จะทรงตอบ เมื่อเจ้าร้องทูล พระองค์จะตรัสว่า เราอยู่นี่”13

ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนว่าเราจะได้รับพรอันยิ่งใหญ่เหล่านั้นเพื่อตัวเราเองและเพื่อครอบครัวของเรา

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูคือพระคริสต์ ในศาสนจักรของพระองค์เราได้รับการเชื้อเชิญให้ช่วยพระองค์ขณะที่พระองค์ทรงดูแลคนยากไร้ในวิธีของพระองค์ และทรงสัญญาว่าพรอันเป็นนิจจะมาจากการที่เราช่วยเหลือพระองค์ ในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. มัทธิว 25:34–40.

  2. อิสยาห์ 58:6–11.

  3. Spencer W. Kimball, The Miracle of Forgiveness (1969), 98.

  4. ดู Steve Almasy, Ben Brumfield, and Laura Smith-Spark, “Cleanup Begins in Vanuatu after Cyclone Batters Islands,” Mar. 14, 2015, edition.cnn.com.

  5. ดู Sean Morris, Steve Almasy, and Laura Smith-Spark, “‘Unbelievable Destruction’ Reported in Tropical Cyclone Pam’s Wake,” Mar.  14, 2015, edition.cnn.com.

  6. Peter F. Evans, “Sister Abie Turay’s Story,” ต้นฉบับซึ่งไม่ได้ตีพิมพ์.

  7. Peter F. Evans, “Sister Abie Turay’s Story.”

  8. อาบี ทูเรย์, อ้างอิงคำพูดใน Peter F. Evans, “Sister Abie Turay’s Story.”

  9. Peter F. Evans, “Sister Abie Turay’s Story.”

  10. อาบี ทูเรย์, อ้างอิงคำพูดใน Peter F. Evans, “Sister Abie Turay’s Story.”

  11. Peter F. Evans, “Sister Abie Turay’s Story”; วีดิทัศน์เกี่ยวกับซิสเตอร์ทูเรย์, “We Did Not Stand Alone,” มีให้ชมที่ lds.org/media-library.

  12. Joseph F. Smith, “Editor’s Table,” Improvement Era, Dec. 1903, 149.

  13. อิสยาห์ 58:8–9.