2010–2019
วิสุทธิชนยุคสุดท้ายพยายามต่อไป
เมษายน 2015


10:29

วิสุทธิชนยุคสุดท้ายพยายามต่อไป

เมื่อเราพยายามมานะบากบั่นและช่วยผู้อื่นทำแบบเดียวกัน เราก็เป็นวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่แท้จริง

พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า ในเดือนธันวาคม ปี 2013 โลกเศร้าสลดในมรณกรรมของเนลสัน แมนเดลา หลังจาก 27 ปีที่ถูกจองจำเพราะบทบาทการต่อสู้เรื่องเหยียดผิว แมนเดลาเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยของแอฟริกาใต้ การให้อภัยผู้ที่จับกุมคุมขังเขาเป็นเรื่องยอดเยี่ยม เขาได้รับคำสรรเสริญและเกียรติยศอย่างแพร่หลาย1 แมนเดลามักจะปฏิเสธคำสรรเสริญนั้นโดยกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่นักบุญ—นอกจากท่านจะคิดว่านักบุญคือคนบาปที่กำลังพยายามต่อไป”2

ข้อความนี้—“นักบุญคือคนบาปที่กำลังพยายามต่อไป”—น่าจะเป็นขวัญและกำลังใจแก่สมาชิกของศาสนจักร แม้เราจะได้ชื่อว่าเป็น “วิสุทธิชนยุคสุดท้าย”ก็ตาม แต่บางครั้งเรารู้สึกอึดอัดที่เรียกเราเช่นนี้ คำว่า นักบุญ (หรือวิสุทธิชน)โดยทั่วไปใช้อธิบายถึงผู้ที่บรรลุระดับของความบริสุทธิ์ขั้นสูงหรือแม้ระดับของความดีพร้อม และเรารู้อย่างแน่นอนว่าเรายังไม่ดีพร้อม

ในหลักศาสนศาสตร์ของเราสอนเราว่า เราอาจจะดีพร้อมได้โดย “ดำเนินชีวิตตาม” หลักคำสอนของพระคริสต์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใช้ศรัทธาในพระองค์ กลับใจ รับส่วนศีลระลึกเพื่อต่อพันธสัญญาและพรของบัพติศมา และรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเพื่อนที่ยั่งยืนมากขึ้น เมื่อเราทำดังนั้น เราจะเป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้นและสามารถอดทนจนกว่าชีวิตจะหาไม่ รวมจนถึงทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง3อย่างน้อยก็ในความหมายที่ว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงห่วงใยว่าเราเป็นใครและเราจะเป็นใคร มากกว่าที่เราเคยเป็นใครมาก่อน4 พระองค์ทรงห่วงใยว่าเรากำลังพยายามต่อไป

ละครชวนหัวเรื่อง As You Like It (ตามใจท่าน) ซึ่งประพันธ์โดย วิลเลียม เชกสเปียร์ นักเขียนบทละครชาวอังกฤษ ได้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตตัวละครตัวหนึ่ง พี่ชายพยายามจะเอาชีวิตน้องชาย แม้จะรู้เรื่องนี้ แต่น้องชายก็ยังช่วยชีวิตพี่ชายผู้ชั่วร้ายจากการถูกสังหาร เมื่อพี่ชายรู้เรื่องความการุณย์ที่เขาไม่คู่ควรจะได้รับนี้ เขาจึงเปลี่ยนแปลงตลอดกาลและเขาเรียกสิ่งนี้ว่า “การเปลี่ยนชีวิต” ต่อมามีสตรีหลายคนเข้ามาถามพี่ชายคนนี้ว่า “ท่านใช่ไหมที่ได้พยายามฆ่า [น้องชายของท่าน] อยู่บ่อยๆ”

พี่ชายตอบว่า “ใช่ฉันเอง แต่นั่นไม่ใช่ฉันในวันนี้ ฉันไม่อายที่จะบอกท่านว่าฉันเคยเป็นอย่างไร เพราะการเปลี่ยนชีวิตของฉันหวานจับใจ ทำให้ฉันเป็นได้อย่างทุกวันนี้”5

สำหรับเรา เนื่องด้วยพระเมตตาของพระผู้เป็นเจ้าและการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่ใช่แค่บทประพันธ์วรรณกรรม พระเจ้าทรงอธิบายผ่านเอเสเคียลว่า

“ส่วนความอธรรมของคนอธรรมนั้น จะไม่ทำให้เขาล้มลงเมื่อเขาหันกลับจากความอธรรมของเขา …

“… ถ้าเขาหันกลับจากบาปของเขา มาทำความยุติธรรมและความชอบธรรม

“… ยอมคืนของประกัน และชดใช้สิ่งที่เขาขโมยไป และดำเนินตามกฏเกณฑ์แห่งชีวิต ทั้งไม่ทำบาปเลย เขาจะมีชีวิตอยู่แน่ …

“บาปทั้งหมดซึ่งเขาได้ทำมาแล้ว จะไม่ถูกจดจำไว้กล่าวโทษเขา เขาได้ทำความยุติธรรมและความชอบธรรมแล้ว”6

ในพระเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงสัญญาที่จะให้อภัยเมื่อเรากลับใจและหันไปจากความชั่วร้าย —มากจนบาปของเราไม่ถูกนำมาเอ่ยอ้างอีก สำหรับเรา เพราะการชดใช้ของพระคริสต์และการกลับใจของเรา เราสามารถมองดูการกระทำในอดีตของเราและกล่าวว่า “ใช่ฉันเอง แต่นั่นไม่ใช่ฉันในวันนี้” ไม่ว่าเราจะชั่วร้ายเพียงใดก็ตาม เราพูดได้ว่า “นั่นคือคนที่ฉันเคยเป็น แต่ตัวตนที่ชั่วร้ายในอดีตไม่ใช่ฉันอีกต่อไป”7

ประธานโธมัส เอส. มอนสันสอนว่า “ของประทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งที่พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่เราคือปีติของความพยายามอีกครั้ง เพราะไม่มีความล้มเหลวใดเป็นความล้มเหลวครั้งสุดท้าย”8 ถึงแม้เราจะจงใจทำบาปทั้งที่ยังมีสติสัมปชัญญะ หรือเผชิญความล้มเหลวและความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ในชั่วขณะที่เราตัดสินใจพยายามอีกครั้ง การชดใช้ของพระคริสต์ช่วยเราได้ และเราต้องจดจำว่าไม่ใช่พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่บอกเราว่าเรามาไกลเกินกว่าจะพยายามอีกครั้ง

ความปรารถนาของพระผู้เป็นเจ้าที่จะให้วิสุทธิชนยุคสุดท้ายพยายามต่อไปอยู่เหนือการเอาชนะบาปเช่นกัน ไม่ว่าเราจะทุกข์ใจเพราะความสัมพันธ์อันมีปัญหายุ่งยาก ความท้าทายทางเศรษฐกิจ ความเจ็บป่วย หรือเป็นผลจากบาปของผู้อื่น การชดใช้อันไม่มีขอบเขตของพระผู้ช่วยให้รอดสามารถรักษาได้—โดยเฉพาะผู้ที่ทนทุกข์โดยไม่มีความผิด พระองค์ทรงเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการทนทุกข์โดยไม่มีความผิดอันเป็นผลจากการล่วงละเมิดของผู้อื่นนั้นเป็นอย่างไร ดังที่พยากรณ์ไว้ พระผู้ช่วยให้รอดจะทรง “ปลอบโยนคนชอกช้ำใจ … ให้มงกุฎแทนขี้เถ้า … น้ำมันแห่งความยินดีแทนการไว้ทุกข์ [และ] เสื้อคลุมแห่งการสรรเสริญแทนจิตวิญญาณที่ท้อแท้”9 ไม่ว่าอะไรก็ตาม ด้วยความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงคาดหวังให้วิสุทธิชนยุคสุดท้ายพยายามต่อไป

เฉกเช่นพระผู้เป็นเจ้าทรงยินดีเมื่อเรามานะบากบั่น พระองค์จะทรงผิดหวังเมื่อเราไม่ตระหนักว่าผู้อื่นก็กำลังพยายามเช่นกัน โธบา เพื่อนรักของเรา แบ่งปันสิ่งที่เธอเรียนรู้เกี่ยวกับบทเรียนนี้จากจูเลียคุณแม่ของเธอ จูเลียและโธบาเป็นคนผิวสีที่เปลี่ยนใจเลื่อมใสรุ่นแรกๆในแอฟริกาใต้ เมื่อลัทธิเหยียดผิวสิ้นสุดลง สมาชิกผิวสีและผิวขาวของศาสนจักรได้รับอนุญาตให้เข้าโบสถ์ด้วยกัน อย่างไรก็ตาม ความเท่าเทียมกันของปฏิสัมพันธ์ระหว่างเผ่าพันธุ์ยังเป็นเรื่องใหม่และท้าทาย มีครั้งหนึ่งขณะที่จูเลียและโธบาเข้าโบสถ์ พวกเธอรู้สึกว่าสมาชิกผิวขาวบางคนปฏิบัติต่อพวกเธออย่างไร้น้ำใจ เมื่อออกจากโบสถ์ โธบาบ่นกับคุณแม่ด้วยความขมขื่น จูเลียฟังอย่างสงบจนโธบาระบายความคับข้องใจของเธอจนหมด แล้วจูเลียก็พูด “โอ โธบา ศาสนจักรก็เหมือนกับโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เราทุกคนต่างป่วยในวิถีทางของเราเอง เรามาโบสถ์เพื่อขอความช่วยเหลือ”

ความเห็นของจูเลียสะท้อนแรงบันดาลใจอันทรงคุณค่า เราไม่เพียงต้องอดกลั้นขณะที่คนอื่นๆ พยายามอย่างมากกับความเจ็บป่วยทางวิญญาณของตนเอง แต่เราต้องมีเมตตา อดทน สนับสนุน และเข้าใจด้วย ขณะที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกระตุ้นให้เราพยายามต่อไป พระองค์ทรงคาดหวังว่าเราจะให้โอกาสผู้อื่นทำอย่างเดียวกันโดยวิธีของตนเองเช่นกัน การชดใช้จะเข้ามาสู่ชีวิตเราเกินจะประมาณได้ จากนั้นเราจะตระหนักในการไม่รับรู้ความแตกต่างที่ชัดเจนนั้น เราทุกคนต้องการการชดใช้อันไม่มีขอบเขตนี้เช่นเดียวกัน

หลายปีมาแล้วมีเด็กหนุ่มที่ดีมากคนหนึ่งชื่อเคอร์ติสได้รับเรียกให้รับใช้งานเผยแผ่ เขาเป็นผู้สอนศาสนาในแบบที่ประธานคณะเผยแผ่ทุกคนสวดอ้อนวอนขอ เขาเป็นคนมุ่งมั่นและทำงานหนัก แต่มีช่วงหนึ่งเขาได้รับมอบหมายให้คู่กับผู้สอนศาสนาที่ไม่มีวุฒิภาวะ ไม่ชอบสังคม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่กระตือรือร้นที่จะทำงานให้สำเร็จ

วันหนึ่งขณะพวกเขากำลังขี่จักรยาน เคอร์ติสเหลียวหลังไปมองคู่ของเขา และเห็นว่าเขาลงจากจักรยานและกำลังเดินอย่างไม่มีเหตุผล เคอร์ติสระบายความท้อแท้กับพระผู้เป็นเจ้าอยู่ในใจ ยากลำบากอะไรเช่นนี้ที่มีคู่ผู้สอนศาสนาที่ต้องออกแรงกระตุ้นอย่างหนักเพื่อให้งานสำเร็จ ไม่กี่วินาทีต่อมา เคอร์ติสรู้สึกถึงความประทับใจอย่างลึกซึ้ง ประหนึ่งพระผู้เป็นเจ้ากำลังตรัสกับเขาว่า “เคอร์ติส ลูกรู้ใช่ไหม ว่าสำหรับพ่อแล้วลูกทั้งสองไม่ได้แตกต่างกันเลย” เคอร์ติสเรียนรู้ว่าเขาต้องอดทนกับคู่ที่ยังไม่ดีพร้อม แต่ถึงอย่างไรคู่ของเขาก็กำลังพยายามในวิธีของเขาเอง

ข้าพเจ้าขอเชื้อเชิญให้เราทุกคนประเมินชีวิตของเรา กลับใจ และพยายามต่อไป หากเราไม่พยายาม เราก็เป็นแค่คนบาปยุคสุดท้าย หากเราไม่มานะบากบั่น เราก็เป็นคนเหลาะแหละยุคสุดท้าย และหากเราไม่ยอมให้คนอื่นพยายาม เราก็เป็นแค่คนหน้าซื่อใจคดยุคสุดท้าย10เมื่อเราพยายามมานะบากบั่นและช่วยผู้อื่นทำแบบเดียวกัน เราก็เป็นวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่แท้จริง เมื่อเราเปลี่ยน เราจะพบว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงห่วงใยเราอย่างแท้จริงว่าเราเป็นใครและเรากำลังจะเป็นใครมากยิ่งกว่าที่เราเคยเป็นใคร11

ข้าพเจ้าสำนึกคุณอย่างสุดซึ้งสำหรับพระผู้ช่วยให้รอด สำหรับการชดใช้อันไม่มีขอบเขตของพระองค์ และสำหรับศาสดาพยากรณ์ยุคสุดท้ายผู้กระตุ้นให้เราเป็นวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ให้พยายามต่อไป12 ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงความจริงของการทรงพระชนม์อยู่ของพระผู้ช่วยให้รอดในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. ดู Nelson Rolihlahla Mandela, Long Walk to Freedom (1994); “Biography of Nelson Mandela,” nelsonmandela.org/content/page/biography; และ President Barack Obama’s Dec. 10, 2013, eulogy for Nelson Mandela, ที่ whitehouse.gov/the-press-office/2013/12/10/remarks-president-obama-memorial-service-former-south-african-president-. รางวัลหลากหลายตามที่ระบุไว้ว่าแมนเดลาได้รับคือรางวัลโนเบิลไพรซ์สาขาสันติภาพ the United States Presidential Medal of Freedom, และ the Soviet Order of Lenin.

  2. ดู, ตัวอย่างเช่น, คำปราศรัยของเนลสัน แมนเดลาให้ไว้ที่ Rice University’s Baker Institute ณ วันที่ 26 ต.ค. ปี ค.ศ.1999, bakerinstitute.org/events/1221. ซึ่งเขานำข้อความโด่งดังนั้นของโรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสันมาใช้คือ : “นักบุญคือคนบาปที่กำลังพยายามต่อไป”หลายปีก่อนหน้านี้เคยมีคนกล่าวข้อความคล้ายๆกันนี้ ตัวอย่างเช่น วาทะอันน่าจดจำของขงจื๊อ “สง่าราศีอันรุ่งโรจน์ของเราไม่เคยมัวหมองแต่กลับรุ่งโรจน์ขึ้นทุกครั้งที่เรามัวหมอง.”

  3. ดู เช่น 2 นีไฟ 31:2–21; 3 นีไฟ 11:23–31; 27:13–21; โมโรไน 6:6; หลักคำสอนและพันธสัญญา 20:77, 79; 59:8–9; คู่มือเล่ม 2 : การบริหารงานศาสนจักร (2010), 2.1.2.

  4. คำกล่าวที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงห่วงใยว่าเราเป็นใครและเราจะเป็นใครมากกว่าเราเคยเป็นใคร ไม่ได้หมายความว่าพระผู้ช่วยให้รอดไม่ทรงใยดีผลของบาปที่บุคคลกระทำต่อผู้อื่น อันที่จริง พระผู้ช่วยให้รอดทรงห่วงใยอย่างหาที่สุดมิได้เกี่ยวกับคนที่ต้องรับทุกข์ เจ็บปวด และใจสลายอันเนื่องมาจากการล่วงละเมิดของผู้อื่น. พระผู้ช่วยให้รอด “จะทรงรับเอาความทุพพลภาพ [ของผู้คนของพระองค์], เพื่ออุทรของพระองค์จะเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา, … เพื่อพระองค์จะทรงรู้ตามเนื้อหนังว่าจะทรงช่วยผู้คนของพระองค์ตามความทุพพลภาพของพวกเขาได้อย่างไร” (แอลมา 7:12).

  5. William Shakespeare, As You Like It, act 4, scene 3, lines 134–37.

  6. เอเสเคียล 33:12, 14–16.

  7. สังเกตได้ว่ามีการใช้คำกริยาในรูปปัจจุบันในพระคัมภีร์หลายแห่งที่เชื่อมโยงกับการพิพากษาครั้งสุดท้าย. ดู, ตัวอย่างเช่น, 2 2 นีไฟ 9:16; มอรมอน 9:14; หลักคำสอนและพันธสัญญา 58:42–43.

  8. Thomas S. Monson, “The Will Within,” Ensign, May 1987, 68.

  9. อิสยาห์ 61:1–3; ดู ลูกา 4:16–21 ด้วย.

  10. หน้าซื่อใจคด ตามที่ใช้ในพันธสัญญาใหม่อาจแปลมาจากภาษากรีก คำว่า “คนเสแสร้ง” “ในภาษากรีกหมายถึง ‘นักเล่นละคร’ หรือ ‘คนที่มีมารยา แสดงบทบาทเหมือนละคร พูดเกินความจริง’” (มัทธิว 6:2). ถ้าเราไม่ให้โอกาสคนอื่นเปลี่ยนแปลงการก้าวเดินของเขา เราก็เสแสร้งที่จะเป็นวิสุทธิชนยุคสุดท้าย

  11. ดู อ้างอิง 4 ข้างบน

  12. ข่าวสารนี้ปรากฏอยู่หลายครั้งในโอวาทของฝ่ายประธานสูงสุดและโควรัมอัครสาวกสิบสอง ประธานดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟ พูดถึงประเด็นนี้เมื่อท่านกล่าวว่า “จากหลักธรรมทั้งหมดที่สอนโดยศาสดาพยากรณ์มาตลอดหลายศตวรรษ สิ่งหนึ่งที่เน้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าคือข่าวสารที่เปี่ยมด้วยความหวังและอุ่นใจที่มนุษย์สามารถกลับใจ เปลี่ยนเส้นทาง และกลับไปสู่เส้นทางแห่งความจริงของการเป็นสานุศิษย์” (“ท่านสามารถทำได้!” เลียโฮนา, พ.ย. 2013, 56).