พระเจ้าเป็นแสงฉัน
ความสามารถของเราที่จะยืนหยัด แน่วแน่ และทำตามพระผู้ช่วยให้รอดแม้ในความผันแปรของชีวิตจะได้รับพลังความเข้มแข็งจากครอบครัวที่ชอบธรรมตลอดจนความสามัคคีในวอร์ดและสาขาของเราโดยมีพระคริสต์เป็นศูนย์กลาง
ในเทศกาลอีสเตอร์นี้เราใคร่ครวญและชื่นชมยินดีในการไถ่ที่พระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเยซูคริสต์ทรงจัดเตรียมให้เรา1
เสียงที่ดังกึกก้องทั่วทั้งแผ่นดินโลกเนื่องจากความชั่วร้ายทางโลกสร้างความรู้สึกอ่อนแอ ด้วยการสื่อสารสมัยใหม่ ผลกระทบของความชั่วช้าสามานย์ ความเหลื่อมล้ำ และความอยุติธรรม ฝากความรู้สึกไว้กับผู้คนมากมายว่าชีวิตช่างไม่ยุติธรรมเสียจริง ไม่ว่าการทดลองเหล่านี้จะมีความสำคัญเพียงไร แต่สิ่งเหล่านี้จะต้องไม่เบี่ยงเบนความสนใจของเราไปจากการชื่นชมยินดีและสรรเสริญพระดำรัสอันศักดิ์สิทธิ์ของพระคริสต์ผู้ทรงวิงวอนแทนเรา พระผู้ช่วยให้รอด “ทรงมีชัยชนะเหนือความตาย” อย่างแท้จริง ด้วยพระเมตตาและความสงสาร พระองค์ทรงรับความชั่วช้าสามานย์และการล่วงละเมิดของเราไว้กับพระองค์ ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงไถ่เราและทรงสนองข้อเรียกร้องแห่งความยุติธรรมให้ทุกคนที่จะกลับใจและเชื่อในพระนามของพระองค์2
การพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้อันล้ำเลิศของพระองค์มีความสำคัญสูงสุดเหนือความเข้าใจของมนุษย์ พระราชกิจแห่งพระคุณนี้ก่อเกิดสันติสุขที่เกินความเข้าใจ3
เราจะรับมือกับความเป็นจริงอันโหดร้ายที่อยู่รอบข้างเราได้อย่างไร
แมรีย์ ภรรยาข้าพเจ้า ชอบดอกทานตะวัน เธอชื่นชมยินดีเมื่อจู่ๆ ก็มีดอกทานตะวันชูช่อขึ้นมาอย่างไม่คาดฝันบริเวณข้างทาง มีถนนลูกรังสายหนึ่งไปยังบ้านที่คุณปู่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ เมื่อเราขับไปตามถนนเส้นนั้น แมรีย์มักจะอุทานว่า “คุณคิดว่าวันนี้เราจะเห็นดอกทานตะวันสวยๆ พวกนั้นไหม” เราประหลาดใจที่ดอกทานตะวันบานสะพรั่งในดินที่อัดแน่นไปด้วยอุปกรณ์ในฟาร์มและเครื่องกวาดหิมะ รวมทั้งกองวัสดุต่างๆ ที่ไม่น่าจะเป็นดินให้ดอกไม้ป่างอกงามได้
ลักษณะที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของต้นอ่อนทานตะวันป่า นอกจากจะงอกงามในดินที่ขาดความอุดมสมบูรณ์แล้วก็คือดอกตูมจะหันไปตามดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า ที่เป็นอย่างนี้ก็เพื่อจะรับพลังงานค้ำจุนชีวิตก่อนจะผลิบานเป็นสีเหลืองสวยสะดุดตา
เฉกเช่นดอกตูมของทานตะวัน เมื่อเราทำตามพระผู้ช่วยให้รอดของโลก พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า เราผลิบานและสวยงามทั้งที่มีสภาวการณ์เลวร้ายมากมายอยู่รอบข้างเรา พระองค์ทรงเป็นแสงสว่างและชีวิตเราอย่างแท้จริง
ในอุปมาเรื่องข้าวสาลีกับข้าวละมาน พระผู้ช่วยให้รอดทรงประกาศแก่สานุศิษย์ของพระองค์ว่าผู้ที่ทำให้ขุ่นเคืองพระทัยและทำสิ่งชั่วช้าสามานย์จะถูกขับ ออก จากอาณาจักรของพระองค์4 แต่เมื่อพูดถึงผู้ที่ซื่อสัตย์ พระองค์ตรัสว่า “เวลานั้นคนชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในแผ่นดินพระบิดาของพวกเขา”5 ในฐานะบุคคลที่เป็นสานุศิษย์ของพระคริสต์และอาศัยอยู่ในโลกอันโหดร้ายโกลาหลอย่างแท้จริง เราสามารถเติบโตและเบ่งบานได้ถ้าเราหยั่งรากอยู่ในความรักที่เรามีต่อพระผู้ช่วยให้รอดและทำตามคำสอนของพระองค์อย่างนอบน้อม
ความสามารถของเราที่จะยืนหยัด แน่วแน่ และทำตามพระผู้ช่วยให้รอดแม้ในความผันแปรของชีวิตจะได้รับพลังความเข้มแข็งจากครอบครัวที่ชอบธรรมตลอดจนความสามัคคีในวอร์ดและสาขาของเราโดยมีพระคริสต์เป็นศูนย์กลาง6
เวลาที่บ้าน
บทบาทของครอบครัวในแผนของพระผู้เป็นเจ้าคือ “เพื่อให้เรามีความสุข ช่วยให้เราเรียนรู้หลักธรรมที่ถูกต้องในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรัก และเตรียมเราเพื่อรับชีวิตนิรันดร์”7 ประเพณีอันดีงามของการถือปฏิบัติศาสนาในบ้านจะต้องฝังลึกอยู่ในใจลูกหลานของเรา
วอห์น โรเบิร์ตส์ คิมบัลล์ คุณลุงของข้าพเจ้าเรียนหนังสือเก่ง ใฝ่ฝันจะเป็นนักเขียน และเป็นควอเตอร์แบคทีมฟุตบอลบีวายยู ในวันที่ 8 ธันวาคม ปี 1941 วันรุ่งขึ้นหลังจากการโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์ เขาสมัครประจำการกองทัพเรือสหรัฐ ขณะได้รับมอบหมายให้หาบุคลากรเพิ่มในออลบานี นิวยอร์ก เขาส่งบทความสั้นๆ ไปให้ สรรสาระ นิตยสารจ่ายให้เขา 200 เหรียญและตีพิมพ์บทความของเขา ชื่อ “เวลาที่บ้าน” ในฉบับเดือนพฤษภาคม ปี 1944
ผลงานของเขาใน สรรสาระ ซึ่งเขาเขียนจากมุมมองของทหารเรือ อ่านได้ว่า
“เวลาที่บ้าน”
“เย็นวันหนึ่งในออลบานี นิวยอร์ก ผมถามทหารเรือคนหนึ่งว่ากี่โมงแล้ว เขาดึงนาฬิกาเรือนใหญ่ออกมาและตอบว่า ‘7 โมง 20 นาที’ ผมรู้ว่าเวลาสายกว่านั้น ‘นาฬิกาคุณตายใช่ไหม’ ผมถาม
“‘เปล่า’ เขาพูด ‘ผมยังอยู่ในเวลามาตรฐานเขตภูเขา ผมมาจากยูทาห์ตอนใต้ เมื่อผมเข้าประจำการกองทัพเรือ คุณพ่อให้นาฬิกาเรือนนี้กับผม ท่านบอกว่านาฬิกาจะช่วยให้ผมระลึกถึงบ้าน
“‘เมื่อนาฬิกาบอกเวลาตี 5 ผมรู้ว่าคุณพ่อขับรถไปรีดนมวัว และทุกคืนเมื่อบอกเวลาทุ่มครึ่ง ผมรู้ว่าทั้งครอบครัวจะอยู่รอบโต๊ะอาหารที่มีอาหารอยู่เต็มโต๊ะ และคุณพ่อจะขอบพระทัยพระผู้เป็นเจ้าสำหรับอาหารบนโต๊ะและทูลขอให้พระองค์ทรงคุ้มครองผม...’ เขาทิ้งท้ายว่า ‘ผมสามารถรู้เวลาในที่ซึ่งผมอยู่ได้ง่าย แต่สิ่งที่ผมอยากรู้คือเป็นเวลากี่โมงในยูทาห์’”8
ไม่นานหลังจากส่งบทความ วอห์นได้รับมอบหมายหน้าที่ประจำการบนเรือในมหาสมุทรแปซิฟิก ในวันที่ 11 พฤษภาคม ปี 1945 ขณะที่เขาประจำการบนเรือ USS Bunker Hill ใกล้โอกินาวา เรือถูกอากาศยานพลีชีพสองลำพุ่งชน9 ลูกเรือเกือบ 400 นายเสียชีวิตรวมถึงคุณลุงวอห์นของผม
เอ็ลเดอร์สเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์แสดงความเสียใจต่อคุณพ่อของวอห์น กล่าวถึงค่าควรของวอห์นและการรับรองจากพระเจ้าว่า “คนเหล่านั้นที่ตายในเราจะไม่ลิ้มรสแห่งความตาย, เพราะมันจะหวานสำหรับพวกเขา”10 คุณพ่อของวอห์นกล่าวอย่างอ่อนโยนว่าแม้วอห์นจะถูกฝังในทะเล แต่พระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าจะนำวอห์นกลับไปบ้านบนสวรรค์11
ยี่สิบแปดปีต่อมา ประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์พูดถึงวอห์นในการประชุมใหญ่สามัญ ท่านกล่าวในตอนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้ารู้จักกับครอบครัวนี้เป็นอย่างดี … ข้าพเจ้าคุกเข่าสวดอ้อนวอนอย่างสุดกำลังกับ [พวกเขา ] …การอบรมในบ้านส่งผลให้ครอบครัวใหญ่นี้ได้รับพรชั่วนิรันดร์” ประธานคิมบัลล์ท้าทายทุกครอบครัว “ให้คุกเข่าลง…สวดอ้อนวอนเพื่อลูกชายและลูกสาวของพวกเขาสองครั้งต่อวัน”12
พี่น้องทั้งหลาย ถ้าเรามีการสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัว การศึกษาพระคัมภีร์ สังสรรค์ในครอบครัว พรฐานะปุโรหิต และการรักษาวันสะบาโตให้ศักดิ์สิทธิ์อย่างซื่อสัตย์ ลูกๆ ของเราจะรู้ว่าเป็นเวลากี่โมงที่บ้าน พวกเขาจะได้รับการเตรียมตัวสำหรับบ้านนิรันดร์ในสวรรค์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาในโลกที่ยากลำบาก สำคัญอย่างยิ่งที่บุตรธิดาของเราจะรู้ว่าพวกเขาจะเป็นที่รักและปลอดภัยเมื่ออยู่ที่บ้าน
สามีและภรรยาเป็นหุ้นส่วนเท่าๆ กัน13 พวกเขามีความแตกต่างแต่มีความรับผิดชอบที่สอดคล้องกัน ภรรยาจะให้กำเนิดบุตร ซึ่งเป็นพรแก่ทั้งครอบครัว สามีจะรับฐานะปุโรหิตซึ่งเป็นพรแก่ทั้งครอบครัว แต่ในสภาครอบครัว สามีภรรยา เป็นหุ้นส่วนเท่าๆ กัน ในการตัดสินใจเรื่องสำคัญที่สุด พวกเขาตัดสินใจว่าจะสอนและอบรมลูกอย่างไร จะใช้จ่ายเงินอย่างไร พวกเขาจะอยู่ที่ไหน และการตัดสินใจอื่น ๆ อีกมากมายเกี่ยวกับครอบครัว โดยทำสิ่งเหล่านี้ร่วมกันหลังจากแสวงหาการนำทางจากพระเจ้า เป้าหมายคือครอบครัวนิรันดร์
แสงสว่างของพระคริสต์ปลูกฝังอุปนิสัยนิรันดร์ของครอบครัวในใจของลูกๆ ทุกคนของพระผู้เป็นเจ้า นักประพันธ์ที่ข้าพเจ้าชื่นชอบคนหนึ่งซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกกล่าวไว้อย่างนี้ว่า “มีหลายอย่างในชีวิตเป็นเรื่องไม่จำเป็น [แต่] … ครอบครัวเป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องนิรันดร์ เป็นสิ่งที่ต้องดูแลเอาใจใส่และจงรักภักดี”14
ศาสนจักรช่วยให้เรามีใจจดจ่ออยู่ที่พระผู้ช่วยให้รอดในฐานะครอบครัวที่เป็นหนึ่งเดียวกัน
นอกจากครอบครัว บทบาทของศาสนจักรมีความสำคัญเช่นกัน “ศาสนจักรจัดเตรียมองค์การและวิธีสอนพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ให้แก่บุตรธิดาทุกคนของพระผู้เป็นเจ้า เตรียมสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตให้ปฏิบัติศาสนพิธีแห่งความรอดและความสูงส่งแก่ทุกคนที่มีค่าควรและเต็มใจยอมรับสิ่งเหล่านี้”15
ในโลกมีความขัดแย้งรุนแรง และความชั่วช้าสามานย์การเน้นหนักถึงวัฒนธรรมที่ผิดแผกแตกต่างและความไม่เท่าเทียมกัน ในศาสนจักร ยกเว้นหน่วยที่จัดตั้งเป็นภาษาต่างๆ วอร์ดและสาขาของเราแบ่งตามเขตภูมิศาสตร์ เราไม่แบ่งตามชนชั้นวรรณะ16 เราชื่นชมยินดีในข้อเท็จจริงที่ว่ามีการผสมผสานทุกเชื้อชาติและวัฒนธรรมในที่ประชุมอันชอบธรรม ครอบครัววอร์ดของเราสำคัญต่อความก้าวหน้า ความสุข และความพยายามส่วนตัวของเราที่จะเป็นเหมือนพระคริสต์
วัฒนธรรมมักจะแบ่งแยกผู้คนและบางครั้งเป็นที่มาของความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติ17 ในพระคัมภีร์มอรมอนมีบางแห่งที่ใช้ภาษาระคายหูที่สุดเพื่ออธิบายถึงประเพณีบรรพชนที่เลวร้ายซึ่งนำไปสู่ความรุนแรง สงคราม การกระทำที่ชั่วร้าย ความชั่วช้าสามานย์ แม้กระทั่งความพินาศของผู้คนและประชาชาติ18
ไม่มีจุดเริ่มต้นใดในพระคัมภีร์ดีไปกว่า 4 นีไฟสำหรับคำอธิบายวัฒนธรรมศาสนจักรที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับเราทุกคน ใน ข้อที่ 2 อ่านว่า “ผู้คนทั้งหมดได้รับการเปลี่ยนใจเลื่อมใสมาสู่พระเจ้า, ทั่วผืนแผ่นดิน, ทั้งชาวนีไฟและชาวเลมัน, และไม่มีความขัดแย้งและการโต้เถียงในบรรดาคนเหล่านั้น, และทุกคนปฏิบัติต่อกันอย่างเที่ยงธรรม.” ใน ข้อ 16 เราอ่านว่า “และแน่แท้แล้วไม่มีผู้คนใดมีความสุขยิ่งกว่านี้ได้ในบรรดาผู้คนทั้งปวงที่พระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าสร้างขึ้นมา.” ข้อเท็จจริงที่ว่าไม่มีความขัดแย้งนั้นถือว่าเป็นเพราะ “ความรักของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งสถิตอยู่ในใจผู้คน.”19 นี่คือวัฒนธรรมที่เราปรารถนาให้มี
ค่านิยมและความเชื่อทางวัฒนธรรมอันลึกซึ้งคือแก่นแท้ที่ว่าเราเป็นใคร ประเพณีของการเสียสละ ความกตัญญูรู้คุณ ศรัทธา และความชอบธรรมต้องยึดมั่นและพิทักษ์ไว้ ครอบครัวต้องชื่นชมและปกป้องประเพณีที่เสริมสร้างศรัทธา20
องค์ประกอบสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของวัฒนธรรมใดก็ตามคือภาษา ในเขตแซนแฟรนซิสโก แคลิฟอร์เนีย ซึ่งข้าพเจ้าเคยอาศัยอยู่ มีหน่วยที่ไม่ใช้ภาษาถิ่นเจ็ดหน่วย หลักคำสอนของเราเกี่ยวกับภาษามีอธิบายอยู่ในภาคที่ 90 ข้อ 11 ของหลักคำสอนและพันธสัญญา “เพราะเหตุการณ์จะบังเกิดขึ้นในวันนั้น, คือมนุษย์ทุกคนจะได้ยินความสมบูรณ์แห่งพระกิตติคุณในคำพูดของเขาเอง, และในภาษาของเขาเอง”
เมื่อบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าสวดอ้อนวอนพระองค์ในภาษาถิ่นของพวกเขา นั่นคือภาษาใจของพวกเขา เห็นได้อย่างชัดเจนว่าภาษาใจมีค่าต่อทุกคน
โจเซฟ พี่ชายข้าพเจ้า เป็นแพทย์และประกอบวิชาชีพเป็นเวลาหลายปีในเขตอ่าวแซนแฟรนซิสโก สมาชิกศาสนจักรชาวซามัวสูงวัยคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนไข้ใหม่ เข้ามาในสำนักงานของพี่ชาย เขามีอาการเจ็บปวดและอ่อนเพลียมาก จากการวินิจฉัยพบว่าเขามีก้อนนิ่วในไตและได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม สมาชิกที่ซื่อสัตย์ผู้นี้กล่าวว่าเป้าหมายในตอนแรกของเขาคือต้องการเข้าใจว่ามีอะไรผิดปกติเพื่อเขาจะได้สวดอ้อนวอนพระบิดาบนสวรรค์เป็นภาษาซามัวเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพของเขา
เป็นสิ่งสำคัญสำหรับสมาชิกที่จะเข้าใจพระกิตติคุณในภาษาใจเพื่อพวกเขาจะสวดอ้อนวอนและทำตามหลักธรรมพระกิตติคุณได้21
ถึงแม้จะมีความแตกต่างทางภาษาและขนบประเพณีอันงดงามเชิดชูใจ แต่เราต้องมีใจผูกพันในความรักและความเป็นหนึ่งเดียวกัน22 พระเจ้าทรงเน้นย้ำในเรื่องนี้ว่า “ให้มนุษย์ทุกคนนับถือพี่น้องของเขาเสมือนหนึ่งนับถือตนเอง. … จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน; และหากเจ้าไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเจ้าก็มิใช่ของเรา.”23 ขณะที่เราเห็นคุณค่าของความแตกต่างทางวัฒนธรรมอันเหมาะสม เป้าหมายของเราคือเป็นหนึ่งเดียวกันในวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และประเพณีแห่งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในทุกๆ ด้าน
ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายไม่เคยเข้มแข็งเท่านี้มาก่อน
เราตระหนักว่าสมาชิกบางคนมีคำถามและข้อกังวลขณะที่พวกเขาพยายามเสริมสร้างศรัทธาและประจักษ์พยานของตนเอง เราควรระมัดระวังที่จะไม่ตัดสินหรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้คนเหล่านั้นที่มีข้อกังวล—ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กน้อย ในเวลาเดียวกัน ผู้ที่มีข้อกังวลควรทำทุกอย่างเพื่อสร้างศรัทธาและประจักษ์พยานของตนเอง การศึกษา ไตร่ตรอง สวดอ้อนวอน ดำเนินชีวิตตามหลักธรรมพระกิตติคุณอย่างอดทนและนอบน้อม พร้อมกับปรึกษาผู้นำที่เหมาะสมเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหาคำตอบหรือแก้ไขข้อกังวล
บางคนคาดว่ามีสมาชิกมากขึ้นที่ละทิ้งศาสนจักรในปัจจุบันและมีข้อสงสัยกับความไม่เชื่อมากกว่าในอดีต เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายไม่เคยเข้มแข็งเท่านี้มาก่อน จำนวนสมาชิกที่ขอลบชื่อตนเองออกจากบันทึกของศาสนจักรมีจำนวนน้อยมากและในไม่กี่ปีที่ผ่านมามีจำนวนน้อยกว่าในอดีตมาก24 มีตัวเลขที่แสดงเห็นว่าในหลายๆ ด้าน เช่นสมาชิกที่รับเอ็นดาวเม้นท์แล้วถือใบรับรองพระวิหารที่เป็นปัจจุบัน ผู้ใหญ่ที่จ่ายส่วนสิบเต็ม และผู้ที่รับใช้งานเผยแผ่ มีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก ข้าพเจ้าขอกล่าวอีกครั้งว่าศาสนจักรไม่เคยเข้มแข็งเท่านี้มาก่อน แต่ “จำไว้ว่าค่าของจิตวิญญาณยิ่งใหญ่ในสายพระเนตรของพระผู้เป็นเจ้า”25 เราเข้าถึงทุกคน
ถ้าความเป็นจริงอันโหดร้ายที่ท่านกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ดูเหมือนจะมืดมน หนักหน่วง และแทบจะรับไม่ไหว จงจำไว้ว่าในความมืดที่บีบคั้นจิตวิญญาณของเกทเสมนีและความทรมานกับความเจ็บปวดที่ไม่อาจเข้าใจได้ของคัลวารี พระผู้ช่วยให้รอดทรงบรรลุผลสำเร็จในการชดใช้ ซึ่งแก้ไขภาระอันหนักหนาสาหัสที่สามารถเกิดขึ้นในชีวิตนี้ พระองค์ทรงทำเพื่อท่าน และเพื่อข้าพเจ้า พระองค์ทรงทำเพราะพระองค์ทรงรักเรา พระองค์ทรงเชื่อฟังและทรงรักพระบิดา เราจะได้รับความช่วยเหลือจากความตาย—แม้จากความลึกของทะเล
ความคุ้มครองของเราในชีวิตนี้และสำหรับนิรันดรจะอยู่ในความชอบธรรมส่วนตัวและของครอบครัว ศาสนพิธีของศาสนจักร และการติดตามพระผู้ช่วยให้รอด นี่คือที่หลบภัยจากพายุ สำหรับผู้ที่รู้สึกว่าพวกเขาอยู่ตามลำพัง ท่านสามารถยืนหยัดอย่างกล้าหาญในความชอบธรรมโดยที่รู้ว่าการชดใช้จะคุ้มครองและเป็นพรแก่ท่านเกินกว่าความสามารถที่ท่านจะเข้าใจได้หมด
เราควรระลึกถึงพระผู้ช่วยให้รอด รักษาพันธสัญญาของเรา และทำตามพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าเหมือนดอกตูมของทานตะวันที่หันไปตามแสงอาทิตย์ การทำตามแสงสว่างและแบบอย่างของพระองค์นำปีติ ความสุข และสันติสุขมาสู่เรา ดังที่สดุดี 27 และเพลงสวดที่ชื่นชอบประกาศว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นความสว่างและความรอดของข้าพเจ้า”26
ในสุดสัปดาห์อีสเตอร์นี้ ในฐานะอัครสาวกคนหนึ่งของพระผู้ช่วยให้รอด ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานอันศักดิ์สิทธิ์ถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าทราบว่าพระองค์ทรงพระชนม์ ข้าพเจ้ารู้จักสุรเสียงของพระองค์ ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงความเป็นพระผู้เป็นเจ้าของพระองค์ ความเป็นจริงของการชดใช้ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน