2010–2019
เราจะขึ้นไปด้วยกัน
เมษายน 2015


11:16

เราจะขึ้นไปด้วยกัน

ในฐานะหญิงชายที่รักษาพันธสัญญา เราจำเป็นต้องให้กำลังใจและช่วยเหลือกัน ให้เป็นผู้คนที่พระเจ้าทรงอยากให้เราเป็น

นอกจากคำปราศรัย ดนตรี และคำสวดอ้อนวอนที่มักสัมผัสใจเราระหว่างการประชุมใหญ่สามัญแล้ว สตรีจำนวนมากบอกดิฉันว่าสิ่งที่พวกเธอชื่นชมที่สุดคือการเห็นฝ่ายประธานสูงสุดและโควรัมอัครสาวกสิบสองขณะที่พวกท่านเดินออกจากยกพื้นนี้กับคู่นิรันดร์ของพวกท่าน และเราทั้งหลายไม่ปลื้มปีติหรือที่รับฟังพวกท่านแสดงความรักอย่างอ่อนโยนกับพวกเธอ

President Boyd K. Packer and his wife, Donna, at the Brigham City Utah Temple cornerstone ceremony, 23 September 2012.

ประธานบอยด์ เค. แพคเกอร์พูดถึงดอนนา ภรรยาของท่านว่า “เนื่องด้วยตำแหน่งที่ข้าพเจ้าดำรงอยู่ ข้าพเจ้ามีความรับผิดชอบอันศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องพูดความจริง: เธอดีพร้อมทุกด้าน”1

President Dieter F. Uchtdorf and his wife.

“เธอคือแสงตะวันของชีวิตข้าพเจ้า”2ประธานดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟกล่าวถึงแฮเรียต ภรรยาของท่าน

President Henry B. Eyring and Sister Eyring at their wedding.

ประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์ กล่าววถึงแคธลีน ภรรยาของท่านว่า “เธอ [เป็น] คนที่ทำให้ข้าพเจ้าเป็นคนที่ดีที่สุดเสมอเท่าที่ข้าพเจ้าสามารถเป็นได้”3

LDS Church President Thomas S. Monson gives his wife, Frances, a kiss at their 60th anniversary celebration, 10/6/2008, at the Lion House. The two met in 1944 and were married in the Salt Lake Temple on Oct. 7, 1948.

และประธานโธมัส เอส. มอนสัน กล่าวถึงฟรานซิส ภรรยาอันเป็นที่รักของท่าน ว่า “เธอเป็นสุดที่รักในชีวิตข้าพเจ้า เพื่อนที่วางใจได้ และเพื่อนสนิทที่สุดของข้าพเจ้า การพูดว่าข้าพเจ้าคิดถึงเธอไม่เพียงพอแม้แต่จะเริ่มสื่อถึงความรู้สึกอันลึกซึ้งของข้าพเจ้า”4

ดิฉันอยากแสดงความรักต่อเครก คู่อันเป็นที่รักของดิฉันด้วย เขาคือของขวัญล้ำค่าสำหรับดิฉัน! เมื่อเอ่ยถึงสามีของดิฉัน วลีที่น่าชื่นชมและศักดิ์สิทธิ์ในคำสัญญาปิตุพรของดิฉันกล่าวว่าชีวิตของดิฉันและชีวิตของลูกๆ จะ “ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากเขา” ซึ่งชัดเจนกับดิฉันว่าเครกเป็นส่วนเติมเต็มของคำสัญญานั้น อ้างอิงจากคำพูดของ มาร์ค ทเวน ดิฉันกล่าวว่า “ชีวิตที่ปราศจาก [เครก] จะไม่เป็นชีวิต”5 ดิฉันรักเขา ทั้งใจและจิตวิญญาณ!

หน้าที่และความรับผิดชอบอันศักดิ์สิทธิ์

วันนี้ดิฉันปรารถนาจะยกย่องสามี บิดา พี่น้องชาย บุตรชาย ลุงและอาผู้ชายทั้งหลาย ท่านรู้ว่าท่านเป็นผู้ใดและท่านกำลังทำดีที่สุดเพื่อบรรลุหน้าที่ที่พระเจ้าประทานให้ท่านซึ่งบัญญัติในถ้อยแถลงต่อครอบครัว รวมถึงการปกครองโดยชอบธรรมและจัดหาและปกป้องครอบครัวของพวกเขา โปรดรู้ว่าดิฉันตระหนักด้วยความเจ็บปวดว่าหัวข้อความเป็นบิดา มารดา และการแต่งงานสามารถเป็นข้อกังวลสำหรับคนส่วนมาก ดิฉันทราบว่าสมาชิกศาสนจักรบางคนรู้สึกว่าครอบครัวของพวกเขาไม่มีทางไปถึงสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นอุดมคติ หลายคนเจ็บปวดเนื่องจากการถูกทอดทิ้ง การทารุณกรรม การเสพติด ประเพณีและวัฒนธรรมที่ไม่ถูกต้อง ดิฉันไม่อาจให้อภัยการกระทำของชายหญิงที่กระทำโดยเจตนาหรือแม้แต่รู้เท่าไม่ถึงการณ์อันเป็นเหตุของความทุกข์ ปวดร้าว และความสิ้นหวังในครอบครัวของพวกเขา แต่วันนี้ดิฉันจะพูดสิ่งอื่น

ดิฉันเชื่อมั่นว่าไม่มีสิ่งใดทำให้สามีมีเสน่ห์ต่อภรรยามากเท่ากับเมื่อเขารับใช้ในบทบาทที่พระเจ้าประทานแก่เขาในฐานะผู้ดำรงฐานะปุโรหิตที่มีค่าควร—สำคัญที่สุดเมื่อรับใช้ในครอบครัว ดิฉันรักและเชื่อคำพูดเหล่านี้จากประธานแพคเกอร์ต่อสามีและบิดาที่มีค่าควรว่า “ท่านมีพลังอำนาจของฐานะปุโรหิตโดยตรงจากพระผู้เป็นเจ้าที่จะคุ้มครองบ้านท่าน จะมีช่วงเวลาซึ่งมีเพียงอำนาจนี้เท่านั้นที่ยืนเป็นเกราะกำบังระหว่างครอบครัวท่านและอันตรายจากปฏิปักษ์”6

ผู้นำทางวิญญาณและครูในบ้าน

เมื่อต้นปีนี้ดิฉันเข้าร่วมพิธีศพของชายธรรมดาที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่ง—ลุงดอนของสามีดิฉัน หนึ่งในบรรดาลูกชายของลุงดอนเล่าประสบการณ์ครั้งเมื่อเขาเป็นเด็กหลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ของเขาเพิ่งซื้อบ้านหลังแรก เนื่องจากมีลูกเล็กๆ ห้าคนที่ต้องเลี้ยงดูจึงไม่มีเงินพอที่จะทำรั้วรอบสนามหญ้า โดยจริงจังต่อหนึ่งในบทบาทศักดิ์สิทธิ์ในฐานะผู้ปกป้องครอบครัว ลุงดอนนำเสาไม้เล็กๆ มาจำนวนหนึ่งฝังลงในดิน นำเชือกผูกจากเสาต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งรอบสนามหญ้า และท่านเรียกลูกๆ มา ให้พวกเขาดูเสารั้วและเชือกและอธิบายว่าถ้าพวกเขาอยู่ด้านในรั้วชั่วคราวนั้น พวกเขาจะปลอดภัย

วันหนึ่งผู้เยี่ยมสอนมองอย่างไม่เชื่อสายตาตนเองขณะพวกเขาเข้าใกล้บ้านและเห็นเด็กเล็กๆ ห้าคนยืนอยู่ด้านในขอบรั้วอย่างเชื่อฟัง ชะเง้อไปยังลูกบอลที่กระเด้งออกไปที่ถนน เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งวิ่งไปเรียกพ่อของพวกเขา ท่านมาและวิ่งไปเก็บลูกบอลให้

ต่อมาที่พิธีศพ ลูกชายคนโตกล่าวทั้งน้ำตาว่าทุกสิ่งที่เขาหวังในชีวิตนี้คือเป็นเหมือนอย่างบิดาอันเป็นที่รักของเขา

Sister Burton's son and grandson reading together.

ประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสันกล่าวว่า

“โอ้ บรรดาสามีและบิดาแห่งอิสราเอล ท่านทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อความรอดและความสูงส่งของครอบครัวท่าน! …

“จงจดจำการเรียกอันศักดิ์สิทธิ์คือการเป็นบิดาในอิสราเอล—การเรียกที่สำคัญที่สุดในกาลเวลาและนิรันดร—การเรียกที่ท่านไม่มีวันได้รับการปลด”

Sister Burton's son and grandson on a bed together.

“ท่านต้องช่วยสร้างบ้านที่พระวิญญาณของพระเจ้าสามารถสถิตอยู่ได้”7

คำพยากรณ์เหล่านั้นช่างประยุกต์ใช้ได้ดีจนถึงทุกวันนี้

เป็นเรื่องยากที่ชายในพันธสัญญาต้องดำเนินชีวิตในโลกที่ไม่เพียงลดคุณค่าบทบาทและหน้าที่รับผิดชอบอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาแต่ยังส่งข่าวสารเท็จเกี่ยวกับความหมายของการเป็น “ลูกผู้ชาย” ข่าวสารเท็จอย่างหนึ่งคือ “ผมสำคัญที่สุด” อีกด้านคือข่าวสารที่ทำให้ด้อยค่าและเย้ยหยันว่าสามีและบิดาไม่จำเป็นอีกต่อไป ดิฉันร้องขอพวกท่านว่าอย่าฟังคำมดเท็จของซาตาน! เขาสูญเสียสิทธิพิเศษอันศักดิ์สิทธิ์นั้นของการเป็นสามีหรือบิดา เพราะเขาอิจฉาบรรดาผู้มีหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ เขาจะไม่มีวันพอ เขามุ่งมาดต่อการทำให้ “มนุษย์ทั้งปวง…เศร้าหมองเหมือนตัวเขา”!8

ให้กำลังใจและช่วยเหลือในหน้าที่ของกันและกัน

พี่น้องชายและหญิง เราต้องการกันและกัน! ในฐานะหญิงชายที่รักษาพันธสัญญา เราจำเป็นต้องให้กำลังใจและช่วยเหลือกัน ให้เป็นผู้คนที่พระเจ้าทรงอยากให้เราเป็น และเราจำเป็นต้องทำงานด้วยกันเพื่อให้กำลังใจคนรุ่นต่อไปและช่วยให้พวกเขาบรรลุศักยภาพอันศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก เราสามารถทำดังเช่นเอ็ลเดอร์โรเบิร์ต ดี. เฮลส์และแมรีภรรยาของท่านทำตามคำสุภาษิต “ท่านให้กำลังใจข้าพเจ้า ข้าพเจ้าให้กำลังใจท่าน แล้วเราจะขึ้นไปด้วยกัน”9

เราทราบจากพระคำภีร์ว่า “ไม่ดี … ที่ชายจะอยู่แต่ลำพัง” เป็นเหตุผลว่าทำไมพระบิดาบนสวรรค์ของเราทรงสร้าง “คู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขา”10 วลี คู่อุปถัมภ์ หมายถึง “ผู้ช่วยที่เหมาะสม มีค่าควร หรือเข้ากันได้”11 ยกตัวอย่างเช่น มือของเราทั้งสองข้างคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน อันที่จริงทั้งสองข้างตรงกันข้าม แต่ช่วยเสริมกันอย่างเหมาะสม เมื่อทำงานด้วยกัน มือทั้งสองข้างแข็งแรงยิ่งขึ้น12

บทเรียนที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว คู่มือของศาสนจักรมีข้อความนี้ “ธรรมชาติของวิญญาณชายและหญิงมีลักษณะเพื่อเติมเต็มซึ่งกันและกัน”13 โปรดสังเกตว่าข้อความไม่ได้บอกว่า “แข่งขันซึ่งกันและกัน” แต่เป็น “เติมเต็มซึ่งกันและกัน”! เราอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเหลือ ให้กำลังใจ และชื่นชมซึ่งกันและกันขณะที่เราพากเพียรที่จะเป็นคนที่ดีที่สุด ซิสเตอร์บาร์บาราห์ บี. สมิธ สอนเราอย่างฉลาดว่า “มีความสุขมากมายเหลือเกินที่จะได้รับเมื่อเราสามารถชื่นชมยินดีกับความสำเร็จของคนอื่นและไม่ใช่แต่ของเราเอง”14 เมื่อเราแสวงหาเพื่อ “เติมเต็ม” แทน “การแข่งขัน” จะง่ายขึ้นมากที่จะให้กำลังใจกัน!

สมัยดิฉันเป็นมารดาที่อายุยังน้อยมีลูกเล็กๆ หลายคน เมื่อเสร็จสิ้นงานในแต่ละวันที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนผ้าอ้อม ล้างจาน และควบคุมระเบียบวินัย ไม่มีใครร้องเพลงปฐมวัยอย่างกระตือรือร้นเท่านี้อีกแล้ว “ฉันดีใจเมื่อคุณพ่อกลับบ้าน”15 อย่างไรก็ตาม ดิฉันเสียใจที่ต้องยอมรับว่าดิฉันไม่ร่าเริงเสมอไปเมื่อเครกดูเหมือนจะเดินเข้าบ้านอย่างเบิกบานใจหลังจากทำงานหนักทั้งวัน เขาทักทายเราแต่ละคนด้วยการกอดและจูบเสมอซึ่งเปลี่ยนวันที่แสนจะยุ่งยากและบางครั้งหนักหน่วงให้เป็นวันที่น่าปีติยินดีของคุณพ่อ ดิฉันคิดว่าดิฉันน่าจะหมกมุ่นให้น้อยลงกับสิ่งที่ต้องทำให้เสร็จและมุ่งเน้นความสนใจอย่างฉลาด เหมือนที่เขาได้ทำ กับสิ่งที่สำคัญมากที่สุด ดิฉันอาจจะหยุดบ่อยขึ้น และชื่นชมเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ของครอบครัวและขอบคุณเขามากขึ้นสำหรับพรในชีวิตของพวกเรา!

ให้เราพร่ำคำชมเชยเอ่ยสรรเสริญกัน

เมื่อไม่นานมานี้ สตรีซื่อสัตย์คนหนึ่งในศาสนจักรเล่าข้อกังวลกับดิฉันในสิ่งที่เธอสวดอ้อนวอนมาระยะหนึ่งแล้ว ข้อกังวลของเธอเกี่ยวกับสมาชิกสตรีบางคนในวอร์ดของเธอ เธอบอกดิฉันว่าสิ่งนั้นทำให้เธอปวดร้าวใจที่สังเกตว่าบางครั้งพวกเขาพูดกับสามีและพูดถึงสามีอย่างไม่ให้เกียรติ แม้ต่อหน้าลูกๆ จากนั้นเธอบอกดิฉันเมื่อเธอเป็นเด็กสาวเธอมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าและสวดอ้อนวอนเพื่อเสาะหาและแต่งงานกับผู้ดำรงอำนาจฐานะปุโรหิตที่มีค่าควรและสร้างครอบครัวที่มีความสุขกับเขา เธอเติบโตในครอบครัวที่คุณแม่ของเธอ “เป็นใหญ่ในบ้าน” และคุณพ่อของเธอต้องคล้อยตามความต้องการของคุณแม่เพื่อรักษาความสงบในบ้าน เธอรู้สึกว่ามีวิธีที่ดีกว่านั้น เธอไม่เคยเห็นรูปแบบนั้นในบ้านที่เธอได้รับการเลี้ยงดู แต่เมื่อเธอสวดอ้อนวอนอย่างแรงกล้าเพื่อการนำทาง พระเจ้าอวยพรเธอให้รู้วิธีเสริมสร้างบ้านกับสามีของเธอซึ่งที่นั่นพระวิญญาณจะได้รับการเชิญอย่างอบอุ่น ดิฉันเคยไปที่บ้านหลังนั้นและยืนยันได้ว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์!

พี่น้องทั้งหลาย บ่อยเพียงใดที่เรา “เอ่ยคำชมเชยสรรเสริญกัน”16 อย่างตั้งใจ

เราต้องทดสอบตัวเราเองโดยถามสักสี่ห้าคำถาม ด้วยการปรับใช้นิดหน่อย คำถามเหล่านี้ใช้ได้กับเราส่วนมาก ไม่ว่าแต่งงานแล้วหรือเป็นโสด ไม่ว่าสถานการณ์ครอบครัวของเราเป็นเช่นไร

  1. ฉันชื่นชมคู่ของฉันครั้งสุดท้ายเมื่อใด ทั้งที่อยู่ตามลำพังหรือต่อหน้าลูกๆ

  2. ฉันแสดงความรัก ขอบคุณ หรือวิงวอนด้วยศรัทธาให้เขาหรือเธอในการสวดอ้อนวอนครั้งสุดท้ายเมื่อใด

  3. ฉันหยุดพูดบางสิ่งที่รู้ว่าจะทำให้เจ็บปวดครั้งสุดท้ายเมื่อใด

  4. ฉันขอโทษและขอการให้อภัยอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนครั้งสุดท้ายเมื่อใด—โดยไม่ต่อท้ายด้วยคำว่า “แต่ถ้าคุณทำอย่างนี้” หรือ “แต่ถ้าคุณไม่ทำอย่างนี้”

  5. ฉันเลือกมีความสุขมากกว่าเรียกร้องการเป็นคน “ถูกต้องเสมอ” ครั้งสุดท้ายเมื่อใด

ถ้าบางคำถามทำให้ท่านอึดอัดหรือรู้สึกผิดเล็กน้อย จงจำไว้ว่าเอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์ สอนเราว่า “ความรู้สึกผิดในวิญญาณคือความเจ็บปวดที่มีต่อร่างกาย—เป็นการเตือนถึงอันตรายและเป็นการป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม”17

ดิฉันเชื้อเชิญทุกท่านให้เอาใจใส่คำขอร้องที่จริงใจของเอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์ “พี่น้องทั้งหลาย ในการแสวงหาอันยาวนานนิรันดร์นี้เพื่อที่จะเป็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ขอให้เราพยายามเป็นบุรุษและสตรีที่ “ดีพร้อม” อย่างน้อยนี่เป็นวิธีหนึ่งตอนนี้—โดยไม่ทำให้ขุ่นเคืองในคำพูด หรือถ้าจะกล่าวอย่างสร้างสรรค์ โดยการพูดด้วยลิ้นใหม่ ลิ้นของเทพ”18

ขณะที่ดิฉันเตรียมสำหรับโอกาสวันนี้ พระวิญญาณสอนดิฉันและดิฉันมุ่งมั่นที่จะกล่าวคำพูดที่มีความเอื้ออาทรกับคู่อันเป็นที่รักของดิฉันและเกี่ยวกับเขามากขึ้น เพื่อให้กำลังใจบุรุษทุกคนในครอบครัวของดิฉันและแสดงความขอบคุณสำหรับวิธีต่างๆ ที่พวกเขาบรรลุบทบาทที่ศักดิ์สิทธิ์และส่งเสริมกันและกัน และดิฉันมุ่งมั่นที่จะทำตามคำสุภาษิต “ท่านให้กำลังใจข้าพเจ้า ข้าพเจ้าให้กำลังใจท่าน แล้วเราจะขึ้นไปด้วยกัน”

ท่านจะร่วมกับดิฉันแสวงหาการช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อสอนเราให้รู้ว่าจะให้กำลังใจซึ่งกันและกันให้ดีขึ้นในการทำหน้าที่บุตรและธิดาแห่งพันธสัญญาของบิดามารดาสวรรค์อันเป็นที่รักของเราหรือไม่

ดิฉันรู้โดยผ่านอำนาจที่เป็นไปได้แห่งการชดใช้ของพระเยซูคริสต์และศรัทธาในพระองค์ เราสามารถทำได้ ดิฉันสวดอ้อนวอนขอให้เราวางใจในพระองค์ที่จะช่วยเราให้ช่วยกันดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและนิรันดรขณะที่เราขึ้นไปด้วยกัน ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. บอยด์ เค. แพคเกอร์ ใน “Donna Smith Packer Receives Family History Certificate from BYU,” news.byu.edu/archive12-jun-packer.aspx.

  2. ดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟ ใน เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์ “เอ็ลเดอร์ดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟ: มุ่งไปหาขอบฟ้าใหม่, เลียโฮนา, มี.ค. 2005, 10.

  3. เฮนรีย์ บี. อายริงก์, ใน Gerald N. Lund, “เอ็ลเดอร์เฮนรีย์ บี. อายริงก์: Molded by ‘Defining Influences,’”Ensign, ก.ย. 1995, 14;เลียโฮนา, เม.ย. 1996, 31.

  4. โธมัส เอส. มอนสัน, “เราจะไม่ละเลยหรือทอดทิ้งเจ้า,” เลียโฮนา, พ.ย. 2013, 85.

  5. มาร์ค ทเวน, Eve’s Diary (1905), 107.

  6. บอยด์ เค. แพคเกอร์, “พลังอำนาจของฐานะปุโรหิต,” เลียโฮนา, พ.ค. 2010, 9.

  7. เอสรา แทฟท์ เบ็นสัน, “To the Fathers in Israel,” Ensign, พ.ย. 1987, 51.

  8. 2 นีไฟ 2:27.

  9. ดู โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “ดู การเสริมสร้างครอบครัว: หน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ของเรา,” Ensign,พ.ค. 1999, 34;เลียโฮนา, ก.ค. 1999, 40; ดู LaRene Gaunt, “เอ็ลเดอร์โรเบิร์ต ดี. เฮลส์: ‘Return with Honor,’” Ensign, ก.ค. 1994, 51;เลียโฮนา, เม.ย. 1995, 31 ด้วย.

  10. ปฐมกาล 2:18.

  11. ปฐมกาล 2:18, เชิงอรรถ ข.

  12. ดู Bruce K. Satterfield, “The Family under Siege: The Role of Man and Woman” (การนำเสนอให้ไว้ที่ Ricks College Education Week, 7 มิ.ย. 2001), 4; emp.byui.edu/SATTERFIELDB/PDF/RoleManWoman2.pdf.

  13. คู่มือเล่มสอง 2: การบริหารงานศาสนจักร (2010), 1.3.1.

  14. บาร์บาราห์ บี. สมิธ, “Hearts So Similar,” Ensign, พ.ค. 1982, 97.

  15. “คุณพ่อกลับบ้าน,” หนังสือเพลงสำหรับเด็ก, 110.

  16. “ให้เราพร่ำคำชมเชยเอ่ยสรรเสริญ,” เพลงสวด, หน้า 116.

  17. เดวิด เอ. เบดนาร์, “เราเชื่อในการเป็นคนบริสุทธิ์,” เลียโฮนา, พ.ค. 2013, 44.

  18. เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์, “ลิ้นของเทพ,” เลียโฮนา, พ.ค. 2007, 18.