พระผู้ปลอบโยน
ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์ทรงส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระผู้ปลอบโยนมายังคนเหล่านั้นที่วิงวอนเราให้ช่วยพระองค์ปลอบโยน
พี่น้องสตรีที่รักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีความปีติยินดีที่ได้อยู่กับพวกท่าน ข้าพเจ้านึกถึงคุณแม่ ภรรยา ลูกสาว ลูกสะใภ้ หลานสาวของข้าพเจ้า—ซึ่งบางคนก็อยู่ที่นี่ด้วย โปรแกรมอันแสนวิเศษนี้ช่วยให้ข้าพเจ้าสำนึกคุณต่อพวกเธอมากขึ้น ข้าพเจ้าตระหนักได้ว่าการมีครอบครัวและชีวิตครอบครัวแสนวิเศษเช่นนั้นมาจากการที่พวกเธอมีพระผู้ช่วยให้รอดเป็นศูนย์กลางในชีวิตพวกเธอแต่ละคน เราระลึกถึงพระองค์ค่ำคืนนี้ในบทเพลง ในคำสวดอ้อนวอน และโดยผ่านโอวาทที่ได้รับการดลใจ พระคุณลักษณะอย่างหนึ่งของพระผู้ช่วยให้รอดที่เราซาบซึ้งที่สุดคือความสงสารอันไม่มีขอบเขตของพระองค์
ค่ำคืนนี้ท่านสัมผัสได้ว่าพระองค์ทรงรู้จักท่านและรักท่าน ท่านสัมผัสถึงความรักของพระองค์ต่อคนที่นั่งอยู่รายรอบท่าน พวกเธอคือพี่น้องสตรีของท่าน ธิดาทางวิญญาณของพระบิดาบนสวรรค์ พระองค์ทรงห่วงใยพวกเธอดังที่พระองค์ทรงห่วงใยท่าน พระองค์เข้าพระทัยความเศร้าโศกทุกอย่างของพวกเธอ พระองค์ทรงต้องการช่วยเหลือพวกเธอ
ข่าวสารของข้าพเจ้าสำหรับพวกท่านค่ำคืนนี้คือท่านสามารถและต้องเป็นส่วนสำคัญในการให้การปลอบโยนของพระองค์ต่อผู้ที่ต้องการการปลอบโยน ท่านทำบทบาทของท่านได้ดีที่สุดหากท่านรู้มากขึ้นว่าพระองค์ทรงตอบคำสวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลืออย่างไร
หลายคนกำลังสวดอ้อนวอนพระบิดาบนสวรรค์เพื่อบรรเทาความทุกข์ เพื่อช่วยแบกรับภาระของความโศกเศร้า ความว้าเหว่ และความกลัวของพวกเธอ พระบิดาบนสวรรค์ทรงได้ยินคำสวดอ้อนวอนเหล่านั้นและเข้าพระทัยถึงความต้องการของพวกเธอ พระองค์และพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระองค์ พระเยซูคริสต์ผู้ฟื้นคืนพระชนม์ทรงสัญญาที่จะช่วย
พระเยซูคริสต์ประทานคำสัญญาที่ชื่นใจนี้:
“บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก
“จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก
“ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะและภาระของเราก็เบา”1
การชดใช้ของพระองค์ทำให้ภาระที่ผู้รับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์ต้องแบกรับเบาลง สามารถนำภาระแห่งบาปออกไปได้ แต่การทดลองในชีวิตมรรตัยสำหรับคนดียังคงเป็นภาระหนัก
ท่านได้เห็นการทดสอบเช่นนั้นเกิดขึ้นกับชีวิตของคนดีๆที่ท่านรัก ท่านปรารถนาจะช่วยพวกเขา มีเหตุผลที่ท่านรู้สึกสงสารคนเหล่านั้น
ท่านเป็นสมาชิกแห่งพันธสัญญาของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ การเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงเริ่มเกิดขึ้นในใจท่านเมื่อท่านเข้ามาในศาสนจักร ท่านทำพันธสัญญา และท่านได้รับคำสัญญาที่เริ่มเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแท้จริงของท่าน
แอลมาอธิบายด้วยถ้อยคำของท่านที่ผืนน้ำแห่งมอรมอน ถึงสิ่งที่ท่านสัญญาไว้ในเวลาที่ท่านรับบัพติศมาและสิ่งนี้จะมีความหมายอย่างไรต่อท่านและทุกคนที่อยู่รอบข้างท่าน—โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัวของท่าน เขากำลังพูดกับคนที่กำลังจะทำพันธสัญญาที่ท่านทำมาแล้ว และพวกเขาก็ได้รับคำสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับท่านเช่นกัน
“ดูเถิด, นี่คือผืนน้ำแห่งมอรมอน (เพราะคนเรียกมันเช่นนั้น) และบัดนี้, เมื่อท่านปรารถนาจะเข้ามาสู่คอกของพระผู้เป็นเจ้า, และเรียกว่าเป็นผู้คนของพระองค์, และเต็มใจจะแบบภาระของกันและกัน, เพื่อมันจะได้เบา;
“แท้จริงแล้ว, และเต็มใจที่จะโศกเศร้ากับคนที่โศกเศร้า; แท้จริงแล้ว, และปลอบโยนคนที่ต้องการการปลอบโยน, และยืนเป็นพยานเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าทุกเวลาและในทุกสิ่ง, และในทุกแห่งที่ท่านอยู่, แม้จนถึงความตาย, เพื่อท่านจะได้รับการไถ่จากพระผู้เป็นเจ้า, และนับอยู่กับบรรดาคนของการฟื้นคืนชีวิตครั้งแรก, เพื่อท่านจะมีชีวิตนิรันดร์”2
นั่นคือเหตุผลที่ว่าเหตุใดท่านจึงรู้สึกต้องการช่วยบุคคลหนึ่งที่กำลังดิ้นรนเพื่อมุ่งหน้าต่อไปภายใต้ภาระของความโศกเศร้าและความยากลำบาก ท่านสัญญาว่าท่านจะช่วยพระเจ้าทำให้ภาระของพวกเขาเบาลงและได้รับการปลอบโยน ท่านได้รับพลังอำนาจที่จะช่วยแบ่งเบาภาระเหล่านั้นเมื่อท่านได้รับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
เมื่อพระองค์กำลังจะถูกตรึงกางเขน พระผู้ช่วยให้รอดทรงอธิบายวิธีที่พระองค์ทรงช่วยแบ่งเบาภาระหนักและเสริมกำลังเพื่อแบกภาระเหล่านั้น พระองค์ทรงทราบว่าบรรดาสานุศิษย์จะโศกเศร้า พระองค์ทรงทราบว่าพวกเขาจะกลัวอนาคตของพวกเขา พระองค์ทรงทราบว่าพวกเขาจะไม่แน่ใจในความสามารถที่จะมุ่งหน้าต่อไป
ดังนั้นพระองค์จึงประทานสัญญาแก่พวกเขาเหมือนที่ทรงทำสัญญากับเราและกับสานุศิษย์แท้จริงทุกคนของพระองค์ว่า:
“เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป
“คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะมองไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ พวกท่านรู้จักพระองค์เพราะพระองค์สถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ท่ามกลางท่าน”3
จากนั้นพระองค์ทรงสัญญาดังนี้
“แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้นจะทรงสอนพวกท่านทุกสิ่ง และจะทำให้ระลึกถึงทุกสิ่งที่เรากล่าวกับท่านแล้ว
“เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน สันติสุขของเราที่ให้กับท่านนั้น เราไม่ได้ให้อย่างที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ อย่ากลัวเลย”4
สองสามสัปดาห์ที่แล้ว ข้าพเจ้าเพิ่งเห็นคำสัญญานั้นของการส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มีสัมฤทธิผลในชีวิตบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าผู้ที่กำลังวิงวอนด้วยการสวดอ้อนวอนให้ภาระของเขาเบาลง ปาฏิหาริย์ของการแบ่งเบาภาระเกิดขึ้นในวิธีที่พระเจ้าทรงสัญญา นั่นคือ พระองค์และพระบิดาบนสวรรค์ทรงส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ในฐานะพระผู้ปลอบโยนมาให้สานุศิษย์ของพระองค์เพื่อช่วยเหลือ
ไม่นานมานี้ครอบครัวสามรุ่นกำลังเศร้าโศกกับการเสียชีวิตของเด็กชายอายุห้าขวบ เขาเสียชีวิตในอุบัติเหตุขณะที่ไปพักผ่อนกับครอบครัว ข้าพเจ้าได้รับโอกาสที่จะเฝ้าดูอีกครั้งว่าพระเจ้าประทานพรแก่ผู้ที่ซื่อสัตย์ด้วยความบรรเทาทุกข์และความเข้มแข็งที่จะอดทนอย่างไร
ข้าพเจ้าเฝ้าดูวิธีที่พระเจ้าทรงทำให้ภาระของพวกเขาเบาลง ข้าพเจ้าอยู่กับพวกเขาในฐานะผู้รับใช้แห่งพันธสัญญาของพระเจ้า—ดังที่เกิดขึ้นบ่อยๆในชีวิตท่าน—“ที่จะโศกเศร้ากับคนที่โศกเศร้า … และปลอบโยนคนที่ต้องการการปลอบโยน”5
เพราะข้าพเจ้ารู้ว่านั่นเป็นความจริง ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีและสงบสุขเมื่อปู่ย่าตายายเชิญข้าพเจ้าให้พบกับพวกเขาและพ่อแม่ของเด็กน้อยก่อนพิธีศพ
ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนเพื่อจะทราบว่าจะช่วยพระเจ้าปลอบโยนพวกเขาอย่างไร พวกเขานั่งลงกับข้าพเจ้าในห้องนั่งเล่น ข้าพเจ้าจุดฟืนในเตาผิงเพื่อให้เกิดความอบอุ่นในคืนที่หนาวเย็น
ข้าพเจ้ารู้สึกว่าต้องบอกเขาว่าข้าพเจ้ารักพวกเขา ข้าพเจ้าบอกพวกเขาว่าข้าพเจ้าสัมผัสได้ถึงความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเขา ด้วยคำพูดไม่กี่คำ ข้าพเจ้าพยายามบอกพวกเขาว่าข้าพเจ้าโศกเศร้ากับพวกเขาแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบและรู้สึกอย่างเดียวกันทุกอย่างถึงความเจ็บปวดและความโศกเศร้าของพวกเขา
หลังจากกล่าวถ้อยคำเพียงไม่กี่คำเหล่านั้น ข้าพเจ้ารู้สึกว่าต้องรับฟังด้วยความรักขณะที่พวกเขาพูดถึงความรู้สึกของตน
ในช่วงเวลาที่เรานั่งอยู่ด้วยกัน พวกเขาพูดมากกว่าที่ข้าพเจ้าพูด ข้าพเจ้าสัมผัสได้จากน้ำเสียงและแววตาของพวกเขาว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังสัมผัสพวกเขา ในถ้อยคำประจักษ์พยานเรียบง่าย พวกเขาพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและความรู้สึกที่พวกเขามี พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ประทานสันติสุขแก่พวกเขาแล้วซึ่งมาพร้อมกับความหวังในชีวิตนิรันดร์ เมื่อลูกชาย ผู้สิ้นชีวิตโดยปราศจากบาป จะเป็นของพวกเขาได้ตลอดกาล
เมื่อข้าพเจ้าให้พรฐานะปุโรหิตแก่แต่ละคน ข้าพเจ้าน้อมขอบพระทัยสำหรับอิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งอยู่ที่นั่น พระผู้ปลอบโยนเสด็จมาพร้อมกับนำความหวัง ความกล้าหาญ และความเข้มแข็งมาให้เราทุกคน
คืนนั้น ข้าพเจ้าได้เห็นวิธิที่พระเจ้าทรงทำงานกับเราในการแบ่งเบาภาระผู้คนของพระองค์ ท่านคงนึกถึงเรื่องราวในพระคัมภีร์มอรมอนเมื่อผู้คนของพระองค์เกือบถูกบดขยี้ด้วยภาระหนักบนหลังของพวกเขา โดยนายทาสที่โหดเหี้ยม
ผู้คนเหล่านั้นวิงวอนขอการบรรเทาทุกข์ ดังเช่นหลายคนที่เรารักและรับใช้ทำ นี่คือบันทึกซึ่งข้าพเจ้าทราบว่าเป็นความจริง
“และเราจะให้สัมภาระซึ่งวางอยู่บนบ่าเจ้าเบาลงด้วย, แม้จนเจ้าหารู้สึกไม่ว่ามันอยู่บนหลังเจ้า, แม้ขณะที่เจ้าอยู่ในความเป็นทาส; และการนี้เราจะทำเพื่อเจ้าจะยืนเป็นพยานให้เราต่อจากนี้ไป, เพื่อเจ้าจะรู้อย่างแน่นอนว่าเรา, พระเจ้าพระผู้เป็นเจ้า, มาเยือนผู้คนของเราในความทุกข์ของพวกเขา
“และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือพระเจ้าทรงทำให้สัมภาระซึ่งวางอยู่บนแอลมาและพี่น้องของท่านเบาลง; แท้จริงแล้ว, พระเจ้าทรงเพิ่มพละกำลังให้พวกเขาเพื่อพวกเขาจะทนแบกสัมภาระได้โดยง่าย, และพวกเขายอมรับอย่างชื่นบานและด้วยความอดทนต่อพระประสงค์ทั้งหมดของพระเจ้า”6
ข้าพเจ้าได้เห็นปาฏิหาริย์ดังกล่าวครั้งแล้วครั้งเล่า เราแบ่งเบาภาระของผู้อื่นได้ดีที่สุดเมื่อเราช่วยพระเจ้าเสริมสร้างความเข้มแข็งให้พวกเขา นั่นเป็นเหตุให้พระเจ้าทรงมอบหมายหน้าที่ให้เราปลอบโยนผู้อื่นและทรงรวมไว้ในพระบัญชาให้เราเป็นพยานถึงพระองค์ทุกเวลาและในทุกแห่ง
พ่อแม่ของเด็กน้อยผู้นี้แสดงประจักษ์พยานถึงพระผู้ช่วยให้รอดในเย็นวันนั้นในห้องนั่งเล่นของข้าพเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมา และเราทุกคนได้รับการปลอบโยน พ่อแม่ได้รับความเข้มแข็ง ภาระของความทุกข์ไม่ได้สูญสิ้นไป แต่พวกเขาสามารถแบกรับความเศร้าโศก ศรัทธาของพวกเขาเพิ่มขึ้น และความเข้มแข็งของพวกเขาจะเติบโตต่อไปเมื่อพวกเขาทูลขอและดำเนินชีวิตด้วยความเข้มแข็ง
พยานของพระวิญญาณถึงการชดใช้ ที่มาในค่ำคืนนั้น ได้เสริมสร้างความเข้มแข็งให้โยบในการแบกรับภาระของเขาเช่นกัน:
“แต่ข้าเองทราบว่า พระผู้ไถ่ของข้าทรงพระชนม์อยู่ และในที่สุดพระองค์จะทรงปรากฏบนแผ่นดินโลก
“และหลังจากผิวหนังของข้าถูกทำลายไปอย่างนี้ แล้วในเนื้อหนังของข้า ข้าจะเห็นพระเจ้า”7
พยานของพระวิญญาณนั่นเองที่เสริมสร้างความเข้มแข็งให้เขาอดทน เขาจะผ่านพ้นความระทมทุกข์และขาดการปลอบโยนจากคนรอบข้างเพื่อจะมองเห็นปีติที่จะเกิดขึ้นกับคนซื่อสัตย์หลังจากผ่านการทดลองอย่างเต็มไปด้วยศรัทธา
นี่คือเรื่องจริงสำหรับโยบ พรมาถึงเขาได้ในชีวิตนี้ เรื่องราวของโยบจบลงด้วยปาฏิหาริย์ดังนี้
“และพระยาห์เวห์ทรงอวยพรชีวิตตอนปลายของโยบมากยิ่งกว่าตอนต้นของท่าน. …
“ทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่มีหญิงใดงดงามเท่าบุตรสาวของโยบ และบิดาได้ให้มรดกแก่พวกเธอพร้อมกับพวกพี่ชายและน้องชาย
“ต่อจากนี้ไป โยบมีชีวิตอยู่อีก 140 ปี และได้เห็นบุตรชายของท่านกับหลานเหลนของท่านสี่ชั่วอายุ
“และโยบก็สิ้นชีวิตเป็นคนแก่หง่อมทีเดียว”8
เป็นเพราะพยานของพระวิญญาณถึงการชดใช้ที่จะมาถึงที่ช่วยโยบให้อดทนต่อการทดสอบที่เกิดขึ้นในชีวิตซึ่งพวกเราทุกคนต้องเผชิญ นั่นคือส่วนหนึ่งของแผนอันสำคัญยิ่งแห่งความสุขที่พระบิดาประทานแก่เรา พระองค์ทรงอนุญาตให้พระบุตร ซึ่งโดยการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระองค์ ให้ความหวังที่ปลอบโยนเราไม่ว่าหนทางที่จะกลับบ้านไปหาพระองค์จะยากลำบากเพียงใดก็ตาม
พระบิดาและพระบุตรทรงส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อปลอบโยนและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้สานุศิษย์ของพระอาจารย์ในการเดินทางของพวกเขา
ข้าพเจ้าเห็นปาฏิหาริย์ของการปลอบโยนนี้ขณะมาถึงด้านนอกโบสถ์ที่จัดงานศพให้เด็กน้อยคนนี้ สตรีสาวผู้น่ารักคนหนึ่งที่ข้าพเจ้าไม่รู้จักหยุดข้าพเจ้าไว้ เธอบอกว่าเธอกำลังมาที่พิธีศพเพื่อไว้อาลัยและให้การปลอบโยนหากเธอทำได้
เธอบอกว่าเธอเคยมาพิธีศพส่วนหนึ่งก็เพื่อความปลอยโยนสำหรับตัวเธอเอง เธอเล่าให้ฟังว่าลูกคนแรกของเธอเสียชีวิตไม่นานมานี้ เธอกำลังอุ้มเด็กหญิงน้อยๆ ผู้สวยงามในอ้อมแขนเธอ ข้าพเจ้าชะเง้อดูรอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กหญิง ข้าพเจ้าถามคุณแม่ของทารกว่า “เธอชื่ออะไรหรือครับ” เธอตอบอย่างรวดเร็วและชื่นใจว่า “เธอชื่อจอย จอยมักจะมาหลังความเศร้าเสมอค่ะ”
เธอกำลังเป็นพยานให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นได้ว่าสันติสุขและการปลอบโยนมาถึงเธอจากแหล่งที่มั่นใจได้เท่านั้น พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบจิตใจ และพระองค์เท่านั้นที่ตรัสความจริงได้ว่า “พ่อรู้ว่าเจ้ารู้สึกอย่างไร” ฉะนั้นข้าพเจ้าเพียงได้แค่จินตนาการถึงปีติและความเศร้าโศกของเธอซึ่งมาก่อนหน้านั้น แต่พระเจ้า ผู้ทรงรักเธอ ทรงรู้
ข้าพเจ้ารู้ได้แค่บางส่วนเท่านั้นว่าพระองค์ทรงรู้สึกปีติมากเพียงไรเมื่อท่าน ในฐานะสานุศิษย์ของพระองค์ ช่วยนำช่วงเวลาแห่งสันติสุขและปีติมาสู่บุตรธิดาของพระบิดาบนสวรรค์
ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระเจ้าทรงขอให้เราแต่ละคนในฐานะสานุศิษย์ของพระองค์ ช่วยแบกภาระของกันและกัน เราสัญญาแล้วว่าจะทำสิ่งนี้ ข้าพเจ้าแสดงประจักษ์พยานว่าโดยผ่านการชดใช้และการฟื้นคืนพระชนม์ พระเจ้าทรงทำลายอำนาจแห่งความตาย ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์ทรงส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระผู้ปลอบโยน มายังคนเหล่านั้นที่วิงวอนเราให้ช่วยพระองค์ปลอบโยน
พวกท่านทุกคนเป็นพยานเช่นเดียวกับข้าพเจ้า ถึงความจริงของข้อความที่จารึกไว้บนเข็มกลัดที่คุณแม่ข้าพเจ้าใส่มานานกว่า 20 ปีในฐานะสมาชิกของคณะกรรมการสมาคมสงเคราะห์สามัญ ข้อความนั้นเขียนไว้ว่า “จิตกุศลไม่มีวันสูญสิ้น”9 ข้าพเจ้ายังคงไม่ทราบความหมายทั้งหมดของถ้อยคำเหล่านั้น แต่ข้าพเจ้าพอจะทราบเมื่อได้เห็นคุณแม่เอื้อมออกไปหาผู้ที่ขัดสน พระคัมภีร์บอกเราถึงความจริงนี้ว่า “จิตกุศลคือความรักอันบริสุทธิ์ของพระคริสต์”10
ความรักของพระองค์ไม่มีวันสูญสิ้น และหัวใจเราจะไม่มีวันหยุดรู้สึกถึงแรงกระตุ้น “ที่จะโศกเศร้ากับคนที่โศกเศร้า … และปลอบโยนคนที่ต้องการการปลอบโยน”11 สันติสุขที่พระองค์ทรงสัญญาจะไม่มีวันจากเราไปเช่นกันเมื่อเรารับใช้ผู้อื่นเพื่อพระองค์
ในฐานะพยานของพระองค์ ข้าพเจ้าขอแสดงความขอบคุณในสิ่งที่ท่านทำได้ดีมากเพื่อช่วยพระเจ้า พระเยซูคริสต์ผู้ทรงพระชนม์และพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระผู้ปลอบโยน ให้กำลังเข่าที่อ่อนล้า และยกมือที่อ่อนแรง12 ข้าพเจ้าขอบพระทัยด้วยสุดใจข้าพเจ้า สำหรับบรรดาสตรีในชีวิตข้าพเจ้าผู้ช่วยเหลือและเป็นพรให้ข้าพเจ้าในฐานะสานุศิษย์ที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ อาเมน