2010–2019
ฐานะปุโรหิตและการสวดอ้อนวอนส่วนตัว
เมษายน 2015


16:59

ฐานะปุโรหิตและการสวดอ้อนวอนส่วนตัว

พระผู้เป็นเจ้าประทานพลังในฐานะปุโรหิตแก่เราได้ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาวการณ์ใด แต่เราต้องทูลขออย่างนอบน้อม

ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับความไว้วางใจให้พูดกับผู้ดำรงฐานะปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้าทั้งแผ่นดินโลก ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความรับผิดชอบของโอกาสนั้นเพราะข้าพเจ้าทราบถึงความไว้วางใจบางสิ่งที่พระเจ้าทรงวางไว้ในท่าน ด้วยการที่ท่านยอมรับฐานะปุโรหิต ท่านได้รับสิทธิ์ที่จะพูดและกระทำในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า

สิทธิ์นั้นจะเป็นจริงได้เฉพาะเมื่อท่านได้รับการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น นั่นคือกรณีเดียวที่ท่านสามารถพูดในพระนามของพระองค์ได้ และกรณีเดียวที่ท่านจะกระทำในพระนามของพระองค์ได้ ท่านอาจทำผิดที่คิดว่า “โอ นั่นไม่ยากเลย ฉันจะได้รับการดลใจถ้ามีคนขอให้เป็นผู้พูดหรือถ้าฉันจำเป็นต้องให้พรฐานะปุโรหิต” หรือมัคนายกหรือผู้สอนหนุ่มอาจปลอบใจตนเองโดยคิดว่า “เมื่อฉันโตขึ้นหรือเมื่อฉันได้รับเรียกเป็นผู้สอนศาสนา ฉันจะรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าจะตรัสและจะทรงทำอะไร”

แต่คิดถึงวันที่ท่านต้องรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าจะตรัสและจะทรงทำอะไร วันนั้นมาถึงเราทุกคนแล้ว—ไม่ว่าท่านมีการเรียกใดในฐานะปุโรหิต ข้าพเจ้าเติบโตในสนามเผยแผ่ในฝั่งตะวันออกของสหรัฐระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 สมาชิกศาสนจักรอาศัยอยู่ห่างกันไกลและมีการปันส่วนน้ำมันอย่างเข้มงวด ข้าพเจ้าเป็นเพียงมัคนายกในสาขา สมาชิกมอบซองใส่เงินบริจาคอดอาหารแก่ประธานสาขาเมื่อพวกเขามาประชุมอดอาหารและแสดงประจักษ์พยานในบ้านเรา

เมื่อข้าพเจ้าอายุ 13 ปี เราย้ายมายูทาห์เพื่ออาศัยในวอร์ดใหญ่ ข้าพเจ้าจำได้ถึงงานมอบหมายแรกที่ให้เดินไปตามบ้านเพื่อรวบรวมเงินอดอาหาร ข้าพเจ้าดูชื่อบนซองหนึ่งที่ได้รับมาและสังเกตเห็นว่านามสกุลนั้นเหมือนนามสกุลของหนึ่งในพยานสามคนของพระคัมภีร์มอรมอน ข้าพเจ้าจึงเคาะประตูด้วยความมั่นใจ ชายคนนั้นเปิดประตู มองข้าพเจ้า ถลึงตาใส่ แล้วตะคอกไล่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเดินคอตกออกมา

นั่นเป็นเรื่องเมื่อ 70 ปีก่อน แต่ข้าพเจ้ายังจำได้ถึงความรู้สึกที่ได้รับวันนั้นที่หน้าประตูบ้านซึ่งมีบางสิ่งที่ข้าพเจ้าควรจะพูดและทำ ถ้าเพียงแต่วันนั้นข้าพเจ้าจะสวดอ้อนวอนในศรัทธาขณะออกไป ข้าพเจ้าอาจได้รับการดลใจให้ยืนที่หน้าประตูนั้นให้นานสักนิด ยิ้ม และพูดอะไรบางอย่างเช่นว่า “ผมรู้สึกดีที่ได้พบท่าน ขอบคุณสำหรับสิ่งที่ท่านและครอบครัวให้ไว้ในอดีต ผมตั้งตารอที่จะพบท่านอีกเดือนหน้า”

ถ้าข้าพเจ้าพูดและทำเช่นนั้น เขาอาจจะเคือง—และก้าวร้าวยิ่งขึ้นอีก แต่ตอนนี้ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าข้าพเจ้าจะรู้สึกอย่างไร แทนที่จะรู้สึกเศร้าหรือล้มเหลวขณะเดินออกมา ข้าพเจ้าอาจรู้สึกถึงคำชมที่นุ่มนวลในความนึกคิดและใจว่า “ทำดีแล้ว”

เราทุกคนต้องพูดและกระทำในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าในชั่วขณะเมื่อการตัดสินใจที่ไม่มีตัวช่วยจะไม่เพียงพอหากไม่มีการดลใจ ชั่วขณะเหล่านั้นอาจมาสู่เราเมื่อไม่มีเวลาเตรียมตัว สิ่งนี้เกิดกับข้าพเจ้าบ่อยๆ เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนในโรงพยาบาลเมื่อพ่อคนหนี่งบอกข้าพเจ้ากับคู่ว่าหมอบอกว่าลูกสาววัยสามขวบที่ได้รับบาดเจ็บขั้นวิกฤตกำลังจะตายในไม่กี่นาทีนี้ ขณะข้าพเจ้าวางมือลงบนศีรษะส่วนที่ไม่มีผ้าพันแผลของเธอ ในฐานะผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าต้องรู้ว่า พระองค์จะทรงทำและตรัสอะไร

พระวจนะมาสู่ความคิดและปากข้าพเจ้าว่าเธอจะรอด หมอที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ข้าพเจ้าทำจมูกฟึดฟัดอย่างดูแคลนและบอกให้หลีกทาง ข้าพเจ้าเดินออกมาจากห้องคนไข้ด้วยความรู้สึกสงบและรัก เด็กหญิงตัวน้อยยังอยู่และเดินมาตามทางระหว่างที่นั่งในการประชุมศีลระลึกของวันสุดท้ายที่ข้าพเจ้าอยู่ในเมืองนั้น ข้าพเจ้าจำได้ถึงความปีติและความพอใจที่ได้รับจากสิ่งที่พูดและทำในการรับใช้ของพระเจ้าเพื่อเด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นและครอบครัวของเธอ

ความแตกต่างของความรู้สึกที่โรงพยาบาล กับความรู้สึกเศร้าเมื่อเดินจากประตูบ้านหลังนั้นขณะเป็นมัคนายกมาจากสิ่งที่ข้าพเจ้าเรียนรู้เกี่ยวกับการเชื่อมโยงของการสวดอ้อนวอนกับอำนาจฐานะปุโรหิต ในฐานะมัคนายก ข้าพเจ้ายังไม่ได้เรียนรู้ว่าอำนาจที่จะพูดและกระทำในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าต้องมีการเปิดเผยและว่าจะมีการเปิดเผยที่จำเป็นได้ต้องมีการสวดอ้อนวอนและการทำงานในศรัทธาเพื่อการเป็นเพื่อนกับพระวิญญาณบริสุทธิ์

ตอนค่ำก่อนที่ข้าพเจ้าจะออกไปที่ประตูบ้านนั้นเพื่อรับเงินบริจาคอดอาหาร ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนก่อนนอน แต่เป็นเวลาหลายสัปดาห์และหลายเดือนก่อนมีโทรศัพท์ตามให้ไปที่โรงพยาบาลนั้น ข้าพเจ้าได้ทำตามรูปแบบการสวดอ้อนวอนและพยายามทำตามที่ประธานโจเซฟ เอฟ. สมิธสอนว่าจะทำให้พระผู้เป็นเจ้าประทานการดลใจที่จำเป็นเพื่อที่เราจะมีอำนาจในฐานะปุโรหิต ท่านสอนไว้ง่ายๆ ว่า

“เราไม่ต้องเรียกหาพระองค์ด้วยถ้อยคำมากมาย เราไม่ต้องสร้างความเบื่อหน่ายให้กับพระองค์ด้วยคำสวดอ้อนวอนที่ยืดยาว สิ่งที่เราต้องการจริงๆ และสิ่งที่เราควรทำในฐานะวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเพื่อความดีของเรา คือไปอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์บ่อยๆ ไปเป็นพยานต่อพระองค์ว่า เราระลึกถึงพระองค์และเต็มใจรับพระนามของพระองค์ไว้กับเรา รักษาพระบัญญัติของพระองค์ ทำงานด้วยความชอบธรรม และปรารถนาพระวิญญาณของพระองค์ให้ทรงช่วยเหลือเรา”1

แล้วประธานสมิธสอนเราถึงสิ่งที่ควรสวดอ้อนวอนขอ ในฐานะผู้รับใช้ที่สัญญาว่าจะพูดและกระทำเพื่อพระผู้เป็นเจ้า ท่านกล่าวว่า “ท่านสวดอ้อนวอนเพื่อทูลขออะไร ท่านสวดอ้อนวอนขอให้พระผู้เป็นเจ้าทรงจดจำท่านได้ ขอให้ทรงได้ยินคำสวดอ้อนวอนของท่าน ขอพระองค์ประทานพรท่านด้วยพระวิญญาณของพระองค์”2

ถ้อยคำที่ท่านใช้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ต้องการความอดทนบ้าง นี่คือการเข้าหาพระบิดาบนสวรรค์ของท่านด้วยเจตนาที่ให้พระองค์ทรงจดจำท่านได้เป็นส่วนตัว พระองค์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าเหนือทุกสิ่ง พระบิดาของทุกคน และแม้กระนั้นยังทรงเต็มพระทัยประทานความเอาใจใส่ต่อลูกคนหนึ่งของพระองค์โดยไม่มีการแบ่งแยก นั่นอาจเป็นเหตุผลที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงใช้ถ้อยคำดังนี้ “ข้า‌แต่​พระ‌บิดา ขอ​ให้​พระ‌นาม​ของ​พระ‌องค์​เป็น​ที่​เคารพ​สัก‍การะ”3

สิ่งนี้ง่ายขึ้นที่จะมีความรู้สึกคารวะอย่างถูกต้องหากท่านคุกเข่าหรือก้มศีรษะ แต่เป็นไปได้ที่จะรู้สึกว่าท่านกำลังเข้าใกล้พระบิดาบนสวรรค์ของท่านอย่างไม่ค่อยเป็นทางการ และแม้แต่ในการสวดอ้อนวอนเงียบๆ ดังที่ท่านต้องทำอยู่บ่อยๆ ในงานรับใช้ด้วยฐานะปุโรหิตของท่าน ส่วนใหญ่จะมีเสียงรบกวนและผู้คนอยู่รอบตัวท่าน พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินการสวดอ้อนวอนเงียบๆ ของท่าน แต่ท่านอาจต้องเรียนรู้ที่จะปิดตัวเองจากสิ่งรบกวนเพราะช่วงเวลาที่ท่านต้องติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้ามักไม่มาในช่วงเวลาที่เงียบสงบ

ประธานสมิธแนะนำว่าท่านจะต้องสวดอ้อนวอนให้พระผู้เป็นเจ้าทรงรับรู้การเรียกให้รับใช้พระองค์ พระองค์ทรงรู้เกี่ยวกับการเรียกของท่านโดยละเอียด พระองค์ทรงเรียกท่าน และด้วยการสวดอ้อนวอนถึงพระองค์เกี่ยวกับการเรียกของท่าน พระองค์จะทรงเปิดเผยให้ท่านรู้มากขึ้น4

ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้สอนประจำบ้านอาจทำขณะสวดอ้อนวอน ท่านอาจรู้แล้วว่าท่านต้อง:

“เยี่ยมบ้านสมาชิกแต่ละคน, แนะนำพวกเขาให้สวดอ้อนวอนโดยออกเสียงและในที่ลับตา และปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่างในครอบครัว …

“…ดูแลศาสนจักรเสมอ, และอยู่กับพวกเขาและทำให้พวกเขาเข้มแข็งขึ้น;

“และดูว่าไม่มีความชั่วช้าสามานย์ ในศาสนจักร, ทั้งไม่โกรธเคืองกัน, ทั้งไม่พูดเท็จ, ลอบกัด, หรือพูดให้ร้าย;

“และดูว่าศาสนจักรประชุมกันบ่อย ๆ, และดูด้วยว่าสมาชิกทุกคนทำหน้าที่ของพวกเขา.”5

คราวนี้ แม้สำหรับผู้สอนประจำบ้านผู้มากประสบการณ์และคู่รุ่นน้องผู้ไม่อาจทำอะไรได้เลยโดยปราศจากการช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้คิดถึงครอบครัวหรือแม้แต่บุคคลที่ท่านได้รับเรียกให้รับใช้ การพิจารณาและเจตนารมณ์ที่ดีของมนุษย์จะไม่เพียงพอ

ดังนั้นท่านจะสวดอ้อนวอนขอวิธีที่จะรู้ใจพวกเขา รู้สิ่งที่ขาดไปในชีวิตเหล่านั้นและใจของผู้คนที่ท่านไม่รู้จักดีนักและผู้ที่ไม่กระตือรือร้นที่จะให้ท่านรู้จัก ท่านจำเป็นต้องรู้สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าประสงค์ให้ท่านทำเพื่อช่วยพวกเขาและทำทุกสิ่งให้ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะทำได้ รู้สึกถึงความรักของพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงมีต่อพวกเขา

เพราะท่านมีการเรียกฐานะปุโรหิตที่สำคัญและยากลำบากถึงเพียงนั้นประธานสมิธจึงแนะนำว่าเมื่อท่านสวดอ้อนวอนท่านต้องวิงวอนให้พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรท่านด้วยพระวิญญาณของพระองค์เสมอ ท่านจำเป็นต้องมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่ครั้งเดียวแต่มากที่สุดเท่าที่พระผู้เป็นเจ้าจะประทานให้ท่านได้สำหรับการเป็นเพื่อนที่ยืนนาน นั่นคือเหตุที่เราต้องสวดอ้อนวอนอยู่เสมอให้ทรงนำเราในการรับใช้ลูกๆ ของพระองค์

เพราะว่าท่านไม่อาจไปถึงศักยภาพฐานะปุโรหิตของท่านโดยปราศจากพระวิญญาณ ท่านคือเป้าหมายของศัตรูแห่งความสุขทั้งมวล ถ้าเขาล่อลวงท่านให้ทำบาปได้ เขาจะลดอำนาจของท่านที่จะได้รับการนำโดยพระวิญญาณและลดอำนาจในฐานะปุโรหิตของท่านด้วย นั่นคือเหตุที่ประธานสมิธกล่าวว่าท่านควรสวดอ้อนวอนเสมอให้พระผู้เป็นเจ้าทรงเตือนและปกป้องท่านจากสิ่งชั่วร้าย6

พระองค์ทรงเตือนเราหลายวิธี การเตือนเป็นส่วนหนึ่งของแผนแห่งความรอด ศาสดาพยากรณ์ อัครสาวก ประธานสเตค อธิการและผู้สอนศาสนา ต่างส่งเสียงเตือนให้หลีกหนีจากหายนะผ่านศรัทธาในพระเยซูคริสต์ การกลับใจ และทำและรักษาพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์

ในฐานะผู้ดำรงฐานะปุโรหิต ท่านต้องเป็นส่วนหนึ่งของสุรเสียงเตือนของพระเจ้า แต่ท่านจำเป็นต้องเอาใจใส่เองต่อการเตือน ท่านจะไม่รอดชีวิตทางวิญญาณด้วยตนเองโดยปราศจากการปกป้องจากการเป็นเพื่อนกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตประจำวัน

ท่านต้องสวดอ้อนวอนเพื่อสิ่งนี้และทำงานเพื่อมีสิ่งนี้ ท่านสามารถพบทางในทางคับแคบและแคบผ่านหมอกแห่งความชั่วร้ายไปได้ด้วยการนำทางดังกล่าวเท่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้นำทางท่านขณะพระองค์ทรงเปิดเผยความจริงเมื่อท่านศึกษาถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์

การรับการนำทางดังกล่าวต้องการมากกว่าการฟังและอ่านไปเรื่อยๆ ท่านจำเป็นต้องสวดอ้อนวอนและทำงานในศรัทธาเพื่อให้ถ้อยคำแห่งความจริงเข้าสู่ใจ ท่านต้องสวดอ้อนวอนให้พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรด้วยพระวิญญาณของพระองค์ ให้พระองค์ทรงนำท่านเข้าสู่ความจริงทั้งมวลและให้ท่านเห็นทางที่ถูกต้อง นั่นคือวิธีที่จะทรงเตือนและนำทางท่านเข้าสู่วิถีทางที่ถูกต้องในชีวิตและในการรับใช้ด้วยฐานะปุโรหิตของท่าน

การประชุมใหญ่สามัญเป็นโอกาสอันประเสริฐที่พระเจ้าจะทรงทำให้พลังของท่านที่จะรับใช้ในฐานะปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้าเข้มแข็งขึ้น ท่านอาจเตรียมพร้อมด้วยการสวดอ้อนวอน ซึ่งข้าพเจ้ามั่นใจว่าท่านได้ทำสำหรับการกระชุมใหญ่นี้ ท่านอาจรวมศรัทธาของท่านกับผู้ที่จะสวดอ้อนวอนในการประชุมใหญ่ พวกเขาจะสวดอ้อนวอนเพื่อพรมากมายแก่ผู้คนจำนวนมาก

พวกเขาจะสวดอ้อนวอนให้พระวิญญาณสถิตกับศาสดาพยากรณ์ในฐานะกระบอกเสียงของพระเจ้า พวกเขาจะสวดอ้อนวอนให้อัครสาวกและผู้รับใช้ทุกคนที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียก ซึ่งรวมท่านด้วย ตั้งแต่มัคนายกคนใหม่ล่าสุดจนถึงมหาปุโรหิตผู้ผ่านมาหลายฤดูกาล และผู้สูงวัยและเยาว์วัยบางคน ที่จะไปโลกวิญญาณในไม่ช้า ที่ซึ่งพวกเขาจะได้ยินคำว่า “ดี​แล้ว เจ้า​เป็น​บ่าว​ที่​ดี​และ​ซื่อ‌สัตย์”7

การอวยพรนั้นจะไปถึงบางคนซึ่งจะทำให้เขาประหลาดใจ พวกเขาอาจไม่เคยดำรงตำแหน่งอันสูงส่งในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก บางคนอาจรู้สึกว่าพวกเขาเห็นผลจากการลงแรงของพวกเขาน้อยมาก หรือว่าโอกาสในการรับใช้บางอย่างไม่เคยมาถึงเขาเลย คนอื่นๆ อาจรู้สึกว่าเวลาในการรับใช้ของพวกเขาในชีวิตนี้สั้นกว่าที่พวกเขาหวัง

สิ่งที่จะถ่วงน้ำหนักในตราชูของพระเจ้าไม่ใช่ตำแหน่งที่เคยดำรงหรือเวลาที่เคยรับใช้ เรารู้เรื่องนี้จากอุปมาของพระเจ้าเรื่องคนงานในสวนองุ่น ซึ่งได้รับค่าจ้างเท่ากันไม่ว่าพวกเขาจะทำงานนานเพียงใดหรือทำที่ไหน พวกเขาได้รับรางวัลตามวิธีที่พวกเขารับใช้8

ข้าพเจ้ารู้จักชายคนหนึ่ง สหายที่ข้าพเจ้ารัก ผู้ที่งานรับใช้แบบมรรตัยในสวนองุ่นได้สิ้นสุดลง ณ เวลาห้าทุ่มเมื่อคืน เขาได้รับการรักษาโรคมะเร็งอยู่หลายปี ในช่วงเวลาแห่งการบำบัดรักษาและความเจ็บปวดและความยากลำบากแสนสาหัสนั้น เขารับการเรียกให้จัดการประชุมและเขาต้องรับผิดชอบสมาชิกในวอร์ดที่ไม่มีลูกๆ อยู่ที่บ้าน บางคนเป็นหญิงม่าย การเรียกของเขาคือช่วยให้สมาชิกเหล่านี้ได้รับการปลอบโยนในการสังสรรค์สมาคมกันและในการเรียนรู้พระกิตติคุณ

เมื่อหมอบอกเขาเป็นครั้งสุดท้ายว่าเขาจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นานนั้น อธิการของเขาเดินทางไปทำธุรกิจ สองวันต่อมาเขาส่งข่าวผ่านหัวหน้ากลุ่มมหาปุโรหิตของเขาไปยังอธิการ เขากล่าวถึงงานมอบหมายของเขาว่า “ผมเข้าใจดีว่าอธิการไม่อยู่ ดังนั้นผมยังทำงาน ผมกำลังคิดถึงการประชุมกลุ่มของเราวันจันทร์หน้า สมาชิกสองคนจะนำเราไปเที่ยวชมศูนย์การประชุมใหญ่ เราอาจขอให้สมาชิกบางคนช่วยขับรถพาพวกเขาไปและให้ลูกเสือเข็นเก้าอี้เข็น โดยขึ้นอยู่กับการลงชื่อของพวกเขา เราอาจมีผู้สูงอายุมากพอที่จะทำเรื่องนี้ด้วยตัวเราเอง แต่จะดีไม่น้อยที่จะรู้ว่าเรามีแผนสำรองเมื่อจำเป็น อาจจะเป็นคืนครอบครัวที่ดีสำหรับผู้มาช่วยที่จะนำครอบครัวมาด้วย อย่างไรก็ตามช่วยบอกผมก่อนที่ผมจะติดประกาศแผนการประชุมนะครับ ขอบคุณ”

และจากนั้นอธิการประหลาดใจเมื่อเขาโทรศัพท์ไป โดยไม่ได้เอ่ยถึงสภาวะของตนเองหรืองานอันยอดเยี่ยมที่เขาทำ เขาถามว่า “อธิการครับ มีอะไรที่ผมจะทำให้ท่านได้อีกบ้าง” มีเพียงพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกถึงภาระของอธิการได้ในขณะที่ภาระของเขาเองก็หนักไม่น้อย และมีเพียงพระวิญญาณเท่านั้นที่สามารถทำให้เป็นไปได้สำหรับเขาที่จะวางแผนการรับใช้พี่น้องของเขาได้ด้วยความเที่ยงตรงเท่ากับที่เขาใช้ในการวางแผนกิจกรรมลูกเสือเมื่อครั้งยังหนุ่ม

การสวดอ้อนวอนแห่งศรัทธาทำให้พระผู้เป็นเจ้าประทานพลังในฐานะปุโรหิตแก่เราได้ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาวการณ์ใด แต่เราต้องทูลขออย่างนอบน้อมเพื่อพระวิญญาณซึ่งจะแสดงให้เรารู้สิ่งที่จะทรงให้เราพูดและทำ จงทำ และดำเนินชีวิตต่อไปอย่างมีค่าควรต่อของประทานนั้น

ข้าพเจ้าแสดงประจักษ์พยานว่าพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาทรงพระชนม์ ทรงรักเรา และทรงได้ยินคำสวดอ้อนวอนของเรา ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูคือพระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์ การชดใช้ของพระองค์ทำให้เราสะอาดบริสุทธิ์และมีค่าควรสำหรับการเป็นเพื่อนกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าด้วยศรัทธาและความพากเพียร วันหนึ่งเราจะได้ยินพระวจนะที่ให้เราปีติ “ดี​แล้ว เจ้า​เป็น​บ่าว​ที่​ดี​และ​ซื่อ‌สัตย์”9 ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนว่าเราจะได้รับคำอวยพรอันประเสริฐนั้นจากพระอาจารย์ที่เรารับใช้ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน