การประชุมใหญ่สามัญ
บำรุงเลี้ยงราก แล้วกิ่งก้านจะเติบโต
การประชุมใหญ่สามัญเดือนตุลาคม 2024


บำรุงเลี้ยงราก แล้วกิ่งก้านจะเติบโต

กิ่งก้านประจักษ์พยานของท่านจะดึงความเข้มแข็งมาจากศรัทธาอันลึกซึ้งที่ท่านมีในพระบิดาบนสวรรค์และพระบุตรที่รักของพระองค์

โบสถ์เก่าแก่หลังหนึ่งในซวิคเคา

ปี 2024 นี้ ถือเป็นปีสำคัญสำหรับข้าพเจ้า ครบรอบ 75 ปีนับตั้งแต่ข้าพเจ้ารับบัพติศมาและการยืนยันเป็นสมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายในซวิคเคา เยอรมนี

การเป็นสมาชิกในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์เป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับข้าพเจ้า การถูกนับอยู่ในบรรดาผู้คนแห่งพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าร่วมกับท่าน พี่น้องทั้งหลาย ถือเป็นเกียรติยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต

เมื่อนึกถึงการเดินทางส่วนตัวของการเป็นสานุศิษย์ ข้าพเจ้ามักหวนนึกถึงคฤหาสน์เก่าหลังหนึ่งในซวิคเคา ที่นั่นข้าพเจ้ามีความทรงจำอันมีค่าเกี่ยวกับการเข้าร่วมการประชุมศีลระลึกของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์สมัยยังเด็ก ต้นกล้าแห่งประจักษ์พยานของข้าพเจ้าได้รับการบำรุงเลี้ยงครั้งแรกที่นั่น

ที่โบสถ์แห่งนี้มีออร์แกนแบบเป่าลมเก่าๆ ตัวหนึ่ง ทุกวันอาทิตย์ เยาวชนชายคนหนึ่งจะได้รับมอบหมายให้ดันคันโยกแข็งแรงที่ควบคุมเครื่องสูบลมเพื่อให้ออร์แกนทำงาน บางครั้งข้าพเจ้าได้รับสิทธิพิเศษให้ช่วยงานสำคัญนี้

ขณะที่คนในที่ประชุมร้องเพลงสวดที่เรารัก ข้าพเจ้าก็โยกขึ้นลงสุดแรงเพื่อไม่ให้ออร์แกนขาดลม จากตรงที่นั่งคุมเครื่องสูบลม ข้าพเจ้ามองเห็นหน้าต่างกระจกสีงดงาม บานหนึ่งเป็นรูปพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์ และอีกบานเป็นรูปโจเซฟ สมิธในป่าศักดิ์สิทธิ์

ข้าพเจ้ายังจำความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ที่มีได้ เมื่อมองดูหน้าต่างเหล่านั้นมีแสงแดดส่องเข้ามาขณะฟังประจักษ์พยานของวิสุทธิชนและร้องเพลงสวดแห่งไซอัน

ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้น พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพยานต่อความคิดและจิตใจข้าพเจ้าว่านี่คือความจริง: พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก นี่คือศาสนจักรของพระองค์ ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธเห็นพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระเยซูคริสต์ และได้ยินสุรเสียงของทั้งสองพระองค์

เมื่อต้นปีนี้ ขณะทำงานมอบหมายในยุโรป ข้าพเจ้ามีโอกาสกลับมาที่ซวิคเคา น่าเศร้าที่โบสถ์เก่าแก่อันเป็นที่รักหลังนั้นไม่อยู่แล้ว โบสถ์ถูกรื้อถอนเมื่อหลายปีก่อนเพื่อสร้างอะพาร์ตเมนต์ขนาดใหญ่

สิ่งใดเป็นนิรันดร์ และสิ่งใดที่ไม่เป็น?

ข้าพเจ้ายอมรับว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าที่รู้ว่าอาคารอันเป็นที่รักในวัยเด็กตอนนี้เป็นเพียงความทรงจำเท่านั้น อาคารหลังนั้นศักดิ์สิทธิ์สำหรับข้าพเจ้า แต่ก็เป็นเพียงอาคาร

ตรงกันข้าม พยานทางวิญญาณที่ข้าพเจ้าได้รับจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เมื่อหลายปีก่อนยังไม่สูญหายไป อันที่จริง มันเข้มแข็งขึ้น สิ่งที่ข้าพเจ้าเรียนรู้ในวัยเยาว์เกี่ยวกับหลักธรรมพื้นฐานของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เป็นรากฐานมั่นคงให้ข้าพเจ้ามาตลอดชีวิต ความเชื่อมโยงทางพันธสัญญาที่ข้าพเจ้าหล่อหลอมกับพระบิดาบนสวรรค์และพระบุตรที่รักของพระองค์ยังอยู่กับข้าพเจ้า—นานหลังจากโบสถ์ซวิคเคาถูกรื้อถอนและหน้าต่างกระจกสีถูกทำลาย

“ฟ้าและดินจะล่วงไป” พระเยซูตรัส “แต่บรรดาถ้อยคำของเราจะไม่สูญหายไปเลย”

“ภูเขาทั้งหลายอาจถูกเคลื่อนย้ายไป และบรรดาเนินเขาอาจจะคลอนแคลน แต่ความรักมั่นคงของเราจะไม่เคลื่อนย้ายไปจากเจ้า และพันธสัญญาแห่งสวัสดิภาพของเราจะไม่คลอนแคลน พระยาห์เวห์ผู้ทรงสงสารเจ้าตรัสดังนี้”

เรื่องสำคัญที่สุดประการหนึ่งที่เราเรียนรู้ได้ในชีวิตนี้คือความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เป็นนิรันดร์และสิ่งที่ไม่เป็นนิรันดร์ เมื่อเราเข้าใจเรื่องนั้น ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ของเรา การเลือกที่เราทำ วิธีที่เราปฏิบัติต่อผู้คน

การรู้ว่าสิ่งใดเป็นนิรันดร์และสิ่งใดไม่เป็น คือกุญแจสำคัญในการเพิ่มพูนประจักษ์พยานเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์และศาสนจักรของพระองค์

อย่าเข้าใจผิดว่ากิ่งก้านเป็นราก

ดังที่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธสอน พระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์ “น้อมรับความจริงหมดทุกเรื่อง” แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าความจริงทั้งหมดมีค่าเท่ากัน ความจริงบางอย่างเป็นแก่นสำคัญอันขาดไม่ได้บนรากของศรัทธาเรา ความจริงอื่นๆ เป็นส่วนประกอบหรือกิ่งก้าน—มีคุณค่าก็ต่อเมื่อเชื่อมโยงกับรากฐานเท่านั้น

ศาสดาพยากรณ์โจเซฟกล่าวด้วยว่า “หลักธรรมพื้นฐานของศาสนาเราคือประจักษ์พยานของเหล่าอัครสาวกและศาสดาพยากรณ์เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ ทรงถูกฝัง ทรงคืนพระชนม์อีกครั้งในวันที่สาม และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ เรื่องอื่นทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเราล้วนเป็นเพียงส่วนประกอบของเรื่องดังกล่าว”

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเยซูคริสต์และการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระองค์เป็นรากของประจักษ์พยานของเรา เรื่องอื่นๆ ทั้งหมดเป็นกิ่งก้าน

แต่นี่ไม่ได้เป็นการบอกว่ากิ่งก้านนั้นไม่สำคัญ ต้นไม้ต้องการกิ่งก้าน แต่ดังที่พระผู้ช่วยให้รอดตรัสกับสานุศิษย์ว่า “แขนงจะออกผลเองไม่ได้นอกจากจะติดสนิทอยู่กับเถา” หากไม่มีความเชื่อมโยงกับพระผู้ช่วยให้รอด การบำรุงเลี้ยงที่พบในรากและกิ่งก้านจะเหี่ยวเฉาและตายไป

เมื่อพูดถึงการบำรุงเลี้ยงประจักษ์พยานของเราในพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าสงสัยว่าบางครั้งเราเข้าใจผิดคิดว่ากิ่งก้านเป็นรากหรือเปล่า นี่เป็นความเข้าใจผิดที่พระเยซูทรงสังเกตเห็นในพวกฟาริสีสมัยพระองค์ พวกเขาเอาใจใส่กับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในธรรมบัญญัติมากเกินไป จนจบลงด้วยการละเลยสิ่งที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงเรียกว่า “เรื่องที่สำคัญกว่า”—ซึ่งคือหลักธรรมพื้นฐาน เช่น “ความยุติธรรม ความเมตตา และความเชื่อ”

ถ้าท่านต้องการบำรุงเลี้ยงต้นไม้ ท่านจะไม่สาดน้ำไปบนกิ่งก้าน ท่านต้องรดน้ำที่ราก ในทำนองเดียวกัน หากต้องการให้กิ่งก้านประจักษ์พยานของท่านเติบโตและออกผล จงบำรุงเลี้ยงราก หากท่านไม่แน่ใจเกี่ยวกับหลักคำสอน หรือการปฏิบัติ หรือเค้ามูลประวัติศาสนจักรบางอย่าง จงแสวงหาความกระจ่างด้วยศรัทธาในพระเยซูคริสต์ แสวงหาที่จะเข้าใจการพลีบูชาที่ทรงทำเพื่อท่าน ความรักที่ทรงมีต่อท่าน พระประสงค์ที่ทรงมีสำหรับท่าน จงติดตามพระองค์ด้วยความถ่อมใจ กิ่งก้านประจักษ์พยานของท่านจะดึงความเข้มแข็งมาจากศรัทธาอันลึกซึ้งที่ท่านมีในพระบิดาบนสวรรค์และพระบุตรที่รักของพระองค์

ตัวอย่างเช่น หากท่านต้องการมีประจักษ์พยานที่เข้มแข็งขึ้นเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอน ให้มุ่งเน้นที่พยานในพระคัมภีร์เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ สังเกตว่าพระคัมภีร์มอรมอนเป็นพยานถึงพระองค์อย่างไร สอนอะไรเกี่ยวกับพระองค์ เชื้อเชิญและสร้างแรงบันดาลใจให้ท่านมาหาพระองค์อย่างไร

หากท่านกำลังแสวงหาประสบการณ์ที่มีความหมายมากขึ้นในการประชุมของศาสนจักรหรือในพระวิหาร ลองมองหาพระผู้ช่วยให้รอดในศาสนพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่เราได้รับที่นั่น ค้นหาพระเจ้าในพระนิเวศน์ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์

หากท่านรู้สึกเหนื่อยหน่ายหรือหนักใจกับการเรียกในศาสนจักร ให้ลองปรับโฟกัสการรับใช้ไปที่พระเยซูคริสต์ ทำให้การเรียกเป็นการแสดงออกถึงความรักที่ท่านมีต่อพระองค์

บำรุงเลี้ยงราก แล้วกิ่งก้านจะเติบโต และในที่สุดมันจะออกผล

หยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์

ศรัทธาอันแรงกล้าในพระเยซูคริสต์ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน ไม่เลย แต่เป็นขวากหนามแห่งความสงสัยที่เติบโตขึ้นเองตามธรรมชาติในโลกมรรตัยนี้ ต้นไม้แห่งศรัทธาที่แข็งแรงและออกผลต้องอาศัยความพยายามอย่างตั้งใจ และส่วนสำคัญของความพยายามนั้นคือต้องแน่ใจว่าเราหยั่งรากอย่างมั่นคงในพระคริสต์

ตัวอย่างเช่น: ในตอนแรก เราอาจสนใจพระกิตติคุณและศาสนจักรของพระผู้ช่วยให้รอดเพราะเราประทับใจกับสมาชิกที่เป็นมิตร อธิการผู้ใจดี หรือภาพที่ดูสะอาดตาของโบสถ์ สภาวะแวดล้อมเหล่านี้มีความสำคัญยิ่งต่อการเติบโตของศาสนจักร

แต่ทว่าหากรากประจักษ์พยานของเราไม่ลงลึกไปกว่านั้น จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราย้ายไปวอร์ดที่ประชุมในอาคารที่น่าประทับใจน้อยกว่า กับสมาชิกที่ไม่ค่อยเป็นมิตร และอธิการพูดบางอย่างที่ทำให้เราขุ่นเคืองใจ?

อีกตัวอย่างหนึ่ง: ก็ดูสมเหตุสมผลมิใช่หรือที่จะหวังว่าถ้าเรารักษาพระบัญญัติและผนึกในพระวิหาร เราจะได้รับพรให้มีครอบครัวใหญ่ที่มีความสุข มีลูกๆ ที่เชื่อฟังและฉลาด ทุกคนแข็งขันในศาสนจักร รับใช้งานเผยแผ่ ร้องเพลงในคณะนักร้องประสานเสียงวอร์ด และอาสาช่วยทำความสะอาดอาคารประชุมทุกเช้าวันเสาร์?

ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราทุกคนจะได้เห็นสิ่งนี้ในชีวิตเรา แต่ถ้าไม่เกิดขึ้นล่ะ? เราจะยังผูกมัดอยู่กับพระผู้ช่วยให้รอด—วางใจในพระองค์และในจังหวะเวลาของพระองค์หรือไม่ ไม่ว่าสภาวการณ์จะเป็นอย่างไร?

เราต้องถามตัวเองว่า: ประจักษ์พยานของฉันขึ้นอยู่กับสิ่งที่ฉันหวังว่าจะเกิดขึ้นในชีวิตหรือไม่? ขึ้นอยู่กับการกระทำหรือทัศนคติของผู้อื่นหรือไม่? หรือประจักษ์พยานของฉันตั้งมั่นอยู่บนพระเยซูคริสต์ “หยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์” แม้ว่าสภาวการณ์ของชีวิตจะเปลี่ยนไปหรือไม่?

ประเพณี นิสัย และความเชื่อ

พระคัมภีร์มอรมอนพูดถึงผู้คนที่ “เคร่งครัดในการยึดถือศาสนพิธีของพระผู้เป็นเจ้า” แต่แล้วผู้กังขานามว่าคอริฮอร์ก็เข้ามาเยาะเย้ยพระกิตติคุณของพระผู้ช่วยให้รอด โดยเรียกพระกิตติคุณนั้นว่าเป็นประเพณีที่ “โง่เขลา” และ“เหลวไหลของบรรพบุรุษตน” คอริฮอร์ชักนำ “ใจคนไปเป็นอันมาก, เป็นเหตุให้คนเหล่านั้นเชิดหน้าในความชั่วร้ายของตน” แต่เขาไม่สามารถหลอกลวงคนอื่นๆ ได้ เพราะสำหรับคนเหล่านั้นพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เป็นมากกว่าประเพณี

ศรัทธาจะเข้มแข็งเมื่อหยั่งรากลึกในประสบการณ์ส่วนตัว คำมั่นสัญญาส่วนตัวต่อพระเยซูคริสต์ โดยไม่ขึ้นอยู่กับประเพณีของเราหรือสิ่งที่ผู้อื่นอาจพูดหรือทำ

ประจักษ์พยานของเราจะถูกทดสอบและถูกทดลอง ศรัทธาจะไม่ใช่ศรัทธาหากไม่เคยถูกทดสอบ ศรัทธาจะไม่เข้มแข็งหากไม่เคยถูกต่อต้าน ดังนั้นอย่าสิ้นหวังหากท่านมีการทดลองศรัทธาหรือมีคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ

เราไม่ควรคาดหวังที่จะเข้าใจทุกสิ่งก่อนลงมือทำ นั่นไม่ใช่ศรัทธา ดังที่แอลมาสอน “ศรัทธาไม่ใช่การมีความรู้อันสมบูรณ์ของสิ่งต่างๆ” ถ้าเรารอจนกว่าจะได้รับคำตอบทั้งหมดแล้วจึงลงมือทำ เราย่อมจำกัดความดีที่เราสามารถทำได้ไปมากทีเดียว และเราจำกัดพลังแห่งศรัทธาของเรา

ศรัทธาเป็นสิ่งสวยงามเพราะยังคงอยู่แม้เมื่อพรไม่เป็นดังหวัง เราไม่สามารถมองเห็นอนาคต เราไม่รู้คำตอบทั้งหมด แต่เราวางใจพระเยซูคริสต์ได้เมื่อเราก้าวไปข้างหน้า เพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของเรา

ศรัทธาทนต่อการทดลองและความไม่แน่นอนของชีวิต เพราะมีรากยึดมั่นในพระคริสต์และหลักคำสอนของพระองค์ พระเยซูคริสต์และพระบิดาในสวรรค์ผู้ทรงส่งพระองค์มา ทั้งสองพระองค์รวมกันเป็นความวางใจหนึ่งเดียวของเราที่ไม่เบี่ยงเบนและเชื่อถือได้เต็มที่

ประจักษ์พยานไม่ใช่สิ่งที่ท่านสร้างขึ้นเพียงครั้งเดียวแล้วคงอยู่ตลอดไป แต่เป็นเหมือนต้นไม้ที่ต้องบำรุงเลี้ยงอยู่เสมอ การปลูกฝังพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าไว้ในใจเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น เมื่อประจักษ์พยานของท่านเริ่มเติบโต งานที่แท้จริงจึงจะเริ่มต้น! นั่นคือเมื่อท่าน “บำรุงเลี้ยงมันด้วยความใส่ใจอย่างยิ่ง เพื่อมันจะแตกราก เพื่อมันจะเติบโตขึ้น และออกผล” ต้องใช้ “ความขยันหมั่นเพียรยิ่ง” และ “ความอดทนต่อพระวจนะ” แต่คำสัญญาของพระเจ้านั้นแน่นอน: “ท่านจะเก็บเกี่ยวรางวัลแห่งศรัทธาของท่าน และความขยันหมั่นเพียรของท่าน และความอดทน และความอดกลั้น ขณะรอคอยให้ต้นไม้ออกผลให้ท่าน”

พี่น้องที่รักทั้งหลาย เพื่อนที่รักของข้าพเจ้า มีส่วนหนึ่งของข้าพเจ้าที่คิดถึงโบสถ์เก่าในซวิคเคาและหน้าต่างกระจกสีที่นั่น แต่ตลอด 75 ปีที่ผ่านมา พระเยซูคริสต์ทรงนำข้าพเจ้าเดินทางผ่านชีวิตที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าที่ข้าพเจ้าจะจินตนาการได้ พระองค์ทรงปลอบโยนข้าพเจ้าในความทุกข์ ช่วยให้ข้าพเจ้ารับรู้ถึงความอ่อนแอของตนเอง รักษาบาดแผลทางวิญญาณ และบำรุงเลี้ยงข้าพเจ้าขณะศรัทธาเติบโต

ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนและมอบพรอย่างจริงใจให้เราบำรุงเลี้ยงรากแห่งศรัทธาของเราในพระผู้ช่วยให้รอด ในหลักคำสอนของพระองค์ และในศาสนจักรของพระองค์อยู่เสมอ ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงสิ่งนี้ในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้ช่วยให้รอด พระผู้ไถ่ พระอาจารย์ของเรา—ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. ปี 2024 ครบรอบ 30 ปีนับตั้งแต่การเรียกให้ข้าพเจ้าเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่และครบรอบ 25 ปีนับตั้งแต่ครอบครัวเราต้องย้ายจากเยอรมนีมาสหรัฐเนื่องด้วยการเรียกนั้น และเกือบ 20 ปีที่แล้ว—เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 2004—ข้าพเจ้าได้รับการสนับสนุนเป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองและเป็นพยานพิเศษ “ถึงพระนามของพระคริสต์ในทั่วโลก” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 107:23)

  2. ในบางด้าน ความรู้สึกของข้าพเจ้าเกี่ยวกับอาคารหลังนั้นเหมือนกับสิ่งที่ผู้คนของแอลมารู้สึกเกี่ยวกับผืนน้ำแห่งมอรมอน—คือเป็นสถานที่สวยงามสำหรับพวกเขา เพราะพวกเขา “มาสู่ความรู้ถึงพระผู้ไถ่ของ [พวกเขา] ที่นั่น” (โมไซยาห์ 18:30)

  3. มัทธิว 24:35; ดู โจเซฟ สมิธ—มัทธิว 1:35 ด้วย

  4. อิสยาห์ 54:10; ดู 3 นีไฟ 22:10 ด้วย

  5. ประธานโธมัส เอส. มอนสันสอนความจริงเดียวกันนี้ด้วยถ้อยคำเหล่านี้: “ข้าพเจ้าเชื่อว่าในบรรดาบทเรียนสำคัญที่สุดที่เราต้องเรียนรู้ในการรอนแรมสั้นๆ บนแผ่นดินโลกคือบทเรียนที่ช่วยให้เราแยกแยะระหว่างสิ่งที่สำคัญและสิ่งที่ไม่มีสำคัญ ข้าพเจ้าวิงวอนท่าน ขอจงอย่าปล่อยให้สิ่งสำคัญที่สุดเหล่านั้นผ่านเลยไป” (“พบปีติในการเดินทาง,” เลียโฮนา, พ.ย. 2008) ในทำนองเดียวกัน เมื่อประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันกระตุ้นเราเมื่อเร็วๆ นี้ให้ “คิดแบบซีเลสเชียล” ท่านกล่าวว่า “ความเป็นมรรตัยเป็นหลักสูตรขั้นสูงในการฝึกเลือกสิ่งสำคัญที่สุดในนิรันดร” (“คิดแบบซีเลสเชียล!เลียโฮนา, พ.ย. 2023, 118)

  6. คำสอนของประธานศาสนาจักร: โจเซฟ สมิธ (2007), บทที่ 22, หัวข้อที่ 2, หัวข้อย่อยที่ 1; ดู คำสอนของประธานศาสนจักร: บริคัม ยังก์ (1997), 16–18 ด้วย.

  7. คำสอน: โจเซฟ สมิธ, บทที่ 3, หัวข้อที่ 2, หัวข้อย่อยที่ 2.

  8. ยอห์น 15:4

  9. มัทธิว 23:23

  10. เป็นเรื่องน่าสนใจไหมที่จะสังเกตเห็นความคล้ายคลึงกันทางโบราณคดีระหว่างวัฒนธรรมของชาวอเมริกันโบราณกับผู้คนในพระคัมภีร์มอรมอน? เป็นไปได้ มีประโยชน์ไหมที่จะเรียนรู้จากเรื่องราวของผู้จดคำแปลและคนอื่นๆ เกี่ยวกับรายละเอียดวิธีที่โจเซฟ สมิธแปลพระคัมภีร์มอรมอน? ใช่สำหรับบางคน แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สร้างประจักษ์พยานอันยั่งยืนว่าพระคัมภีร์มอรมอนคือพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ในเรื่องนั้น ท่านต้องค้นหาพระผู้ช่วยให้รอดในพระคัมภีร์มอรมอนเพื่อฟังสุรเสียงของพระองค์ที่ตรัสกับท่าน เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น จะไม่สำคัญกับท่านเลยว่าเมืองโบราณเซราเฮ็มลาตั้งอยู่ที่ไหน หรืออูริมกับทูมมิมมีหน้าตาอย่างไร สิ่งเหล่านั้นเป็นกิ่งก้านที่ตัดออกจากต้นไม้ได้ถ้าจำเป็น แต่ต้นไม้จะยังคงอยู่

  11. ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 84:19–20

  12. ดู จอย ดี. โจนส์, “เพื่อพระองค์,” เลียโฮนา, พ.ย. 2018, 50–52.

  13. ดู ปฐมกาล 3:18

  14. ประธานเนลสันเชื้อเชิญเราทุกคนให้ “รับผิดชอบประจักษ์พยาน [ของเรา] ในพระเยซูคริสต์และพระกิตติคุณของพระองค์ พยายามให้ได้มา บำรุงเลี้ยงให้เติบโต” (“ชนะโลกและหยุดพัก,” เลียโฮนา, พ.ย. 2022, 97)

  15. โคโลสี 2:7

  16. แอลมา 30:3

  17. ดู แอลมา 30:12–16, 31

  18. แอลมา 30:18

  19. ที่น่าสนใจคือข้อโต้แย้งของคอริฮอร์ไม่เป็นที่โน้มน้าวใจเลยแม้แต่น้อยในบรรดาชาวเลมันที่เพิ่งเปลี่ยนใจเลื่อมใสซึ่งเป็นผู้คนของแอมัน (ดู แอลมา 30:19–20) ผู้ติดตามพระคริสต์ที่ไม่ได้ทำไปเพราะประเพณีของบรรพบุรุษ

    ในทางตรงกันข้าม พระคัมภีร์มอรมอนเล่าถึงคนหนุ่มสาวรุ่นหนึ่งที่แยกตัวจากศาสนจักรของพระเจ้าเพราะ “พวกเขาไม่เชื่อประเพณีบรรพบุรุษของตน” (ดู โมไซยาห์ 26:1–4) เป็นการดีที่ครอบครัวจะสร้างประเพณีอันชอบธรรม แต่การที่ครอบครัวเข้าใจชัดเจนถึง เหตุผล ที่อยู่เบื้องหลังประเพณีเหล่านั้นก็สำคัญไม่แพ้กัน เหตุใดเราจึงสวดอ้อนวอนทุกเช้าค่ำ? เหตุใดเราจึงศึกษาพระคัมภีร์กับครอบครัว? เหตุใดเราจึงจัดกิจกรรมยามค่ำที่บ้าน กิจกรรมครอบครัว โครงการบำเพ็ญประโยชน์ และอื่นๆ ทุกสัปดาห์ ถ้าลูกๆ ของเราเข้าใจว่าประเพณีเหล่านี้ดึงเราเข้าใกล้พระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์มากขึ้นอย่างไร พวกเขาจะมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะสานต่อประเพณีเหล่านี้—และปรับปรุงให้ดีขึ้น—ในครอบครัวของตนเอง

  20. แอลมา 32:21 ศรัทธาทรงพลังไม่ใช่เพราะสิ่งที่ รู้ แต่เพราะสิ่งที่ ทำ

  21. ดู ฮีบรู 10:23

  22. แอลมา 32:37, 41–43

พิมพ์