พยานของพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์
ในช่วงเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ 54 ปีและเป็นอัครสาวก พยานพิเศษ “ถึงพระนามของพระคริสต์ในทั่วโลก” (คพ. 107:23) 45 ปี ประธานแพคเกอร์แสดงประจักษ์พยานอย่างนอบน้อม ไม่นานก่อนมรณกรรมของท่านในวันที่ 3 กรกฎาคม 2015 ประธานแพคเกอร์ได้ขอให้นำข้อความต่อไปนี้ที่คัดลอกมาจากการปฏิบัติศาสนกิจของท่านมาแบ่งปันในเลียโฮนา ในวิญญาณแห่งเทศกาลคริสต์มาส ข้อความเหล่านี้เน้นการเป็นพยานของท่านและความรักที่ท่านมีต่อพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์
ข้าพเจ้ารักพระเจ้า
“ข้าพเจ้ารักคริสต์มาส มีความรู้สึกพิเศษในช่วงคริสต์มาส ความรู้สึกนั้นลงมาบนโลก—ไม่เฉพาะกับสมาชิกของศาสนจักรเท่านั้นแต่ทั่วโลก—ประจักษ์พยานและพยานว่าพระเยซูคือพระคริสต์ … ในฐานะผู้รับใช้คนหนึ่งของพระเจ้า ในฐานะอัครสาวกสิบสองคนหนึ่ง ข้าพเจ้ารู้ว่าพระเยซูคือพระคริสต์ …
“ข้าพเจ้ารักพระเจ้า ข้าพเจ้ารักงานของพระองค์ ข้าพเจ้ารักศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายและกล่าวคำพยานถึงพระองค์ผู้ทรงเป็นพระอาจารย์และกัลยาณมิตรของเรา”1
ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงพระองค์
“มีบางอย่างศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าจะพูดถึง …
“ไม่ใช่เพราะเป็นความลับ แต่เพราะศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่พูดถึง แต่เก็บไว้ ปกป้องไว้ และพิจารณาด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้ง
“ข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่าศาสดาพยากรณ์แอลมาหมายถึงอะไร
“‘… ความรู้ในความลี้ลับของพระผู้เป็นเจ้าประทานไว้ให้หลายคน; กระนั้นก็ตามพวกเขาได้รับพระบัญชาอย่างเคร่งครัดว่าพวกเขาจะไม่ถ่ายทอดออกไปนอกจากตามพระวจนะส่วนที่พระองค์ประทานแก่ลูกหลานมนุษย์, ตามความใส่ใจและความขยันหมั่นเพียรที่พวกเขาถวายแด่พระองค์.
“‘และฉะนั้น, เขาที่ทำใจตนแข็งกระด้าง, ผู้เดียวกันนั้นย่อมได้รับพระวจนะน้อยลง; และแก่คนที่ไม่ทำใจตนแข็งกระด้าง, ก็จะประทานพระวจนะมากขึ้นเรื่อย ๆ, จนกว่าจะประทานให้เขารู้ความลี้ลับของพระผู้เป็นเจ้าจนเขารู้พระวจนะเหล่านั้นในความไพบูลย์.’ (แอลมา 12:9-10) …
“บัดนี้ ข้าพเจ้าสงสัยพร้อมกับท่านว่าเหตุใดคนเช่นข้าพเจ้าจึงควรได้รับเรียกสู่การเป็นอัครสาวกศักดิ์สิทธิ์ มีคุณสมบัติมากมายที่ข้าพเจ้าขาด มีมากมายในการพยายามรับใช้ที่ข้าพเจ้ายังขาดอยู่ ขณะไตร่ตรองเรื่องนี้ ข้าพเจ้านึกออกอยู่อย่างเดียว คุณสมบัติเดียวที่อาจเป็นสาเหตุ และนั่นคือข้าพเจ้ามีพยาน นั้น
“ข้าพเจ้าประกาศต่อท่านว่าข้าพเจ้ารู้ว่าพระเยซูคือพระคริสต์ ข้าพเจ้ารู้ว่าพระองค์ทรงพระชนม์ พระองค์ประสูติในความเรืองโรจน์แห่งเวลา พระองค์ทรงสอนพระกิตติคุณของพระองค์ ทรงถูกไต่สวน และทรงถูกตรึงกางเขน พระองค์ทรงลุกขึ้นในวันที่สาม พระองค์ทรงเป็นผลแรกของการฟื้นคืนชีวิต พระองค์ทรงมีพระวรกายเป็นเนื้อหนังและกระดูก ข้าพเจ้าแสดงประจักษ์พยานถึงสิ่งนี้ ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงพระองค์”2
พระองค์ทรงยอมรับโทษ
“ก่อนการตรึงกางเขนและหลังจากนั้น คนจำนวนมากยอมสละชีวิตในวีรกรรมอันไร้ความเห็นแก่ตัว แต่ไม่มีใครเผชิญสิ่งที่พระคริสต์ทรงอดทน พระองค์ทรงรับภาระแห่งการล่วงละเมิดทั้งหมดของมนุษย์ ความผิดทั้งสิ้นของมนุษย์ แต่ที่แขวนไว้บนเส้นด้ายคือการชดใช้ การกระทำด้วยความเต็มพระทัยของพระองค์สมานความเมตตากับความยุติธรรม ค้ำจุนกฎนิรันดร์ และไกล่เกลี่ยได้สำเร็จ ซึ่งหากปราศจากสิ่งนี้มนุษย์จะไม่ได้รับการไถ่
“พระองค์ทรงเลือกยอมรับโทษแทนมนุษยชาติทั้งมวลสำหรับความชั่วร้ายและความเสื่อมทรามรวมกันทั้งหมด สำหรับการกระทำอันป่าเถื่อน การผิดศีลธรรม การเดินทางชั่ว และความเหลวแหลก สำหรับความมัวเมา การทำลายชีวิต ความทรมาน และความสยดสยอง—สำหรับทั้งหมดที่เคยเป็นมาหรือทั้งหมดที่จะถูกกระทำบนโลกนี้ การเลือกเช่นนั้นส่งผลให้พระองค์ต้องทรงเผชิญกับอำนาจอันน่าเกรงขามของคนชั่วคนนั้น ผู้ไม่ถูกจำกัดในเนื้อหนัง ทั้งไม่ต้องเจ็บปวดเช่นมนุษย์ นั่นคือเกทเสมนี!
“การชดใช้สำเร็จลุล่วงอย่างไรเราไม่ทราบ ไม่มีมนุษย์คนใดจ้องมองขณะความชั่วถอยหนีหรือซ่อนตัวด้วยความอับอายเบื้องหน้าความสว่างของพระผู้บริสุทธิ์พระองค์นั้น ความชั่วร้ายทั้งหมดไม่สามารถดับความสว่างนั้นได้ เมื่อทุกอย่างสำเร็จลุล่วงแล้วก็คือลุล่วง การไถ่จะเกิดขึ้น ทั้งความตายและนรกไม่เรียกร้องจากคนที่กลับใจอีกเลย ในที่สุดมนุษย์เป็นอิสระ จิตวิญญาณทุกดวงที่เคยมีชีวิตจะเลือกสัมผัสความสว่างนั้นและได้รับการไถ่
“โดยการเสียสละอันไม่มีขอบเขตนี้ ‘ผ่านการชดใช้ [นี้] ของพระคริสต์, มนุษยชาติทั้งมวลจะรอดได้, โดยการเชื่อฟังกฎและศาสนพิธีทั้งหลายของพระกิตติคุณ’ (หลักแห่งความเชื่อ 1:3-3)”3
องค์ปรมาจารย์
“ในระหว่างที่ข้าพเจ้าพยายามสอนพระกิตติคุณของพระองค์ ข้าพเจ้าได้รู้จักพระองค์ พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดจากพระบิดา ข้าพเจ้ายืนด้วยความเคารพต่อพระพักตร์พระองค์ด้วยความนับถืออย่างสุดซึ้งต่อสิ่งที่พระองค์ทรงสอน และด้วยความนับถืออย่างสุดซึ้งต่อวิธีที่พระองค์ทรงสอน ใช่ว่าไม่เป็นสิ่งดีที่เราทุกคนปรารถนาจะสอนเฉกเช่นพระองค์ทรงสอน ใช่ว่าไม่เป็นสิ่งดีที่เราทุกคนปรารถนาจะเป็นเหมือนพระองค์ พระองค์ไม่เพียงเป็นครูเท่านั้น แต่พระองค์ทรงเป็นองค์ปรมาจารย์”4
ความจริงซึ่งคุ้มค่าที่สุดที่จะรู้
“มนุษย์อย่างเราอาจจะไม่ จริงๆ แล้วไม่สามารถเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงทำให้การพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้เกิดสัมฤทธิผล อย่างไร แต่สำหรับเวลานี้คำว่า อย่างไร ไม่สำคัญเท่า เพราะเหตุใด พระองค์ทรงทนทุกข์ เหตุใดพระองค์ทรงทนทุกข์เพื่อท่าน เพื่อข้าพเจ้า เพื่อมวลมนุษย์ พระองค์ทรงทำเช่นนั้นเพราะทรงรักพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและมนุษย์ทั้งปวง ‘ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการสละชีวิตเพื่อมิตรสหายของตน’ (ยอห์น 15:13)
“ในเกทเสมนี พระคริสต์ทรงแยกจากอัครสาวกเพื่อไปสวดอ้อนวอน สิ่งที่อุบัติขึ้นอยู่นอกเหนือความสามารถที่เราจะรู้ได้! แต่เรารู้ว่าพระองค์ทรงทำการชดใช้เสร็จสมบูรณ์ พระองค์เต็มพระทัยรับความผิดพลาด บาป ความรู้สึกผิด ความสงสัยและความหวาดกลัวของคนทั้งโลกไว้กับพระองค์ พระองค์ทรงทนทุกข์แทนเราเพื่อเราจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ คนจำนวนมากทนทุกข์ทรมานและสิ้นชีวิตในความตายที่เจ็บปวดและน่ากลัว แต่ความปวดร้าวของพระองค์เหนือกว่าพวกเขาทั้งหมด …
“ความทุกข์ทรมานของพระองค์ต่างจากความทุกข์ทรมานอื่นทั้งหมดก่อนหน้านั้นหรือนับแต่นั้นเพราะพระองค์ทรงรับโทษทั้งหมดที่เคยเกิดแก่ครอบครัวมนุษย์มาไว้กับพระองค์เอง ลองคิดดู! พระองค์ไม่มีหนี้ต้องชำระ พระองค์ไม่ได้ทำผิด กระนั้นก็ตาม ความรู้สึกผิดทั้งหมด ความเศร้าโศก โทมนัส ความเจ็บปวดความอัปยศอดสู ความทรมานทางใจ อารมณ์ และร่างกายทั้งหมดที่มนุษย์รู้จัก—พระองค์ประสบมาแล้วทั้งสิ้น มีพระองค์เดียวเท่านั้นในบันทึกประวัติศาสตร์มนุษย์ทั้งหมดที่ไร้บาป มีคุณสมบัติคู่ควรรับบาปตลอดจนการล่วงละเมิดของมนุษยชาติทั้งปวงและรอดพ้นความเจ็บปวดที่มากับการชดใช้ให้พวกเขา
“พระองค์ทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์และตรัสว่า ‘คือเราที่รับเอาบาปของโลกไว้’ (โมไซยาห์ 26:23) พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขน พระองค์สิ้นพระชนม์ พวกเขาไม่สามารถพรากชีวิตไปจากพระองค์ได้ พระองค์ทรงยอมสิ้นพระชนม์ …
“ถ้าท่านเคยสะดุดหรือหลงไปชั่วครู่ ถ้าท่านรู้สึกว่าเวลานี้ปฏิปักษ์จับท่านเป็นเชลย ท่านสามารถก้าวไปข้างหน้าด้วยศรัทธาและไม่เตร็ดเตร่ไปมาในโลกอีก มีคนที่พร้อมจะนำท่านกลับสู่สันติสุขและความมั่นคง แม้แต่พระคุณของพระผู้เป็นเจ้า ตามที่สัญญาไว้ในพระคัมภีร์ ก็มา ‘หลังจากเราทำทุกสิ่งจนสุดความสามารถแล้ว’ (2 นีไฟ 25:23) สำหรับข้าพเจ้า ความเป็นไปได้เช่นนี้คือความจริงอย่างหนึ่งที่สมควรรู้มากที่สุด
“ข้าพเจ้าสัญญาว่าเช้าอันสดใสของการให้อภัยจะมาถึง เมื่อนั้น ‘สันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ’ (ฟีลิปปี 4:7) จะเข้ามาในชีวิตท่านอีกครั้ง เหมือนรุ่งอรุณ ท่าน และพระองค์ ‘จะไม่จดจำบาป [ของท่าน] อีก’ (เยเรมีย์ 31:34) ท่านจะรู้ได้อย่างไร ท่านจะรู้! (ดู โมไซยาห์ 4:1-3)”5
พยานของข้าพเจ้า
“หลังจากหลายปีที่ข้าพเจ้าดำเนินชีวิต สอน และรับใช้ หลังจากหลายล้านกิโลเมตรที่ข้าพเจ้าได้เดินทางทั่วโลก ทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าประสบมานั้น มีความจริงอันสำคัญยิ่งประการหนึ่งที่ข้าพเจ้าจะแบ่งปัน นั่นคือพยานของข้าพเจ้าถึงพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์
“โจเซฟ สมิธและซิดนีย์ ริกดันบันทึกหลังจากประสบการณ์อันศักดิ์สิทธิ์
“‘และบัดนี้, หลังจากประจักษ์พยานจำนวนมากที่ให้ไว้ถึงพระองค์, นี่คือประจักษ์พยาน, สุดท้ายของทั้งหมด, ซึ่งเราให้ไว้ถึงพระองค์ : ว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่!
“‘เพราะเราเห็นพระองค์’ (คพ. 76:22-23)
“ถ้อยคำของพวกท่านคือถ้อยคำของข้าพเจ้า”6
“นับเป็นเกียรติอย่างสูงตลอดชีวิตข้าพเจ้าที่สามารถกล่าวคำพยานพิเศษว่าพระเยซูคือพระคริสต์ พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเป็นพยานด้วยความอ่อนน้อมทั้งหมด แต่ด้วยความจริงแท้แน่นอนว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดจากพระบิดา นี่คือศาสนจักรของพระองค์ พระองค์ทรงควบคุมและทรงกำกับดูแลงานของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ่ของเรา ข้าพเจ้าทราบว่าพระองค์ทรงพระชนม์ และข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงสิ่งนี้ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน”7