ศรัทธา ความยุติธรรม และ เสรีภาพทางศาสนา
จากคำปราศรัยให้ข้อคิดทางวิญญาณเรื่อง “เสรีภาพทางศาสนาและความยุติธรรมสำหรับคนทั้งปวง” ที่มหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์ เมื่อวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 2015 ดูบทความเต็มเป็นภาษาอังกฤษที่ speeches.byu.edu
เมื่อท่านทำตามคำเชื้อเชิญให้ยื่นมือช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความยุติธรรม ท่านจะรู้สึกมากขึ้นว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงรักท่านและบุตรธิดาทุกคนของพระบิดาบนสวรรค์
ข้าพเจ้าสงสัยว่าสำหรับพวกท่านบางคน วลี “เสรีภาพทางศาสนา” รู้สึกเหมือน “เสรีภาพในการเลือกปฏิบัติ” มากกว่า ข้าพเจ้าต้องการพูดกับท่านเกี่ยวกับทัศนะดังกล่าวและช่วยให้ท่านเข้าใจว่าศาสนจักรหมายถึงอะไรเมื่อพูดเรื่องเสรีภาพทางศาสนา เหตุใดจึงสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของท่านและต่อศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ข้าพเจ้าวางแผนจะพูดถึงความสงสัยและความเข้าใจผิดบางประการที่บางท่านอาจมีเมื่อพูดถึงเสรีภาพทางศาสนา
บางท่านอาจไม่เข้าใจบทบาทของศาสนาในปัญหาสังคม การเมือง และบ้านเมือง บางท่านอาจสงสัยว่าเหตุใดในกลุ่มศาสนาจึงเกี่ยวข้องกับการเมืองมาตั้งแต่ต้น และบ่อยครั้งท่านอาจสงสัยเจตนาของคนเคร่งศาสนาเมื่อพวกเขาเกี่ยวข้องกับการเมือง กลุ่มคนที่รู้สึกว่าศาสนาไม่ควรมีบทบาทในเรื่องการเมืองส่งเสียงดังมากขึ้นในช่วงปีหลังๆ
โอกาสเกี่ยวข้องกับกระบวนการเมืองเป็นสิทธิพิเศษที่ให้แก่ประชาชนในประเทศส่วนใหญ่ กฎหมายและบทบัญญัติมีบทบาทการสอนที่สำคัญในการหล่อหลอมวัฒนธรรมทางสังคมและศีลธรรม เราต้องให้ทุกคนในสังคมมีบทบาทอย่างกระตือรือร้นในการร่วมสนทนาปัญหาบ้านเมืองเพื่อช่วยร่างกฎหมายและบทบัญญัติให้เป็นธรรมกับทุกคน
เสรีภาพสำหรับคนทั้งปวง
เรากำลังพูดถึงอะไรเมื่อเรากล่าวถึงเสรีภาพทางศาสนา ข้าพเจ้าจะเล่าเรื่องคนสองคนให้ท่านฟัง ขณะเล่า ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านคิดว่าท่านจะรู้สึกอย่างไรถ้าท่านเป็นบุคคลในเรื่อง
เรื่องแรกเกี่ยวกับคนที่ข้าพเจ้าจะเรียกว่าอีธาน เขาเพิ่งเริ่มงานในอาชีพที่เขาใฝ่ฝัน และต้องการสร้างความประทับใจที่ดี เขามาทำงานแต่เช้าและอยู่จนดึก เขารับทำโครงการพิเศษและทำได้ดีเยี่ยม เขาเป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนร่วมงานจำนวนมากและมีความสุขกับงานของเขา วันหนึ่งขณะรับประทานอาหารกลางวันกับเพื่อนร่วมงานสองคน เขารู้สึกสะดวกใจที่จะบอกเพื่อนว่าเขาเป็นเกย์ ความเงียบชวนอึดอัดตามมาเพราะไม่มีใครรู้ว่าจะตอบสนองอย่างไร อีธานผิดหวังกับการตอบสนองด้วยความเย็นชาของเพื่อนร่วมงาน เขารู้สึกเจ็บปวดที่เพื่อนไม่ยอมรับ
หลังจากพบกันครั้งนั้น สถานการณ์ในที่ทำงานทำให้อีธานอึดอัดมากขึ้น เขาเริ่มรู้สึกด้อยโอกาสและด้อยค่า เขาพบว่าตัวเขาถูกตัดออกจากโครงการใหญ่ๆ และกิจกรรมทางสังคมหลังเลิกงาน ผลงานของเขาเริ่มตกเพราะเขารู้สึกว่าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งและไม่เป็นที่ต้องการ ไม่กี่เดือนหลังจากนั้นเขาถูกไล่ออกเพราะเจ้านายรู้สึกว่าเขาทำงานไม่ดีเหมือนเดิม แม้ทั้งหมดนั้นเป็นข้ออ้าง แต่อีธานรู้ว่าเขาถูกไล่ออกเพราะเป็นเกย์
ต่อไปข้าพเจ้าต้องการเล่าเรื่องซาแมนธาให้ท่านฟัง ซาแมนธาเพิ่งเริ่มทำงานในสำนักบริหารงานของมหาวิทยาลัยในท้องที่ เธอตื่นเต้นที่ได้ทำงานในสภาพแวดล้อมน่าเร้าใจเต็มไปด้วยความนึกคิด แนวคิด และภูมิหลังหลากหลาย วันหนึ่งที่ทำงาน เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเดินมาหาซาแมนธา พูดว่าเธอได้ยินมาว่าซาแมนธาเป็นมอรมอน และถามว่าจริงหรือ ซาแมนธาตอบอย่างร่าเริงว่าใช่ แต่คำถามที่ตามมาทำให้เธอประหลาดใจ
“ทำไมเธอเกลียดเกย์” เพื่อนร่วมงานถาม ซาแมนธาประหลาดใจกับคำถามแต่พยายามอธิบายความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าและแผนของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับบุตรธิดาของพระองค์ซึ่งเธอบอกว่ามีแนวทางเรื่องความประพฤติทางศีลธรรมและทางเพศรวมอยู่ด้วย เพื่อนร่วมงานพูดแย้งโดยบอกเธอว่าคนอื่นในสังคมล้ำหน้าไปหมดแล้ว ไม่มีใครเชื่อเรื่องแบบนั้น “นอกจากนี้” เธอกล่าว “ประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยคนที่ใช้คำสอนของศาสนาก่อสงครามและทำให้กลุ่มผู้ด้อยโอกาสหมดความสำคัญ”
ซาแมนธาย้ำความเชื่อมั่นของเธอ ความเข้าใจเรื่องความรักของพระผู้เป็นเจ้าต่อคนทั้งปวงและขอให้เพื่อนร่วมงานเคารพสิทธิ์ที่เธอจะเชื่อ เพื่อนร่วมงานรู้สึกว่าต้องบอกพนักงานคนอื่นๆ เกี่ยวกับการสนทนาของพวกเธอ ตลอดสองสามสัปดาห์ต่อจากนั้น ซาแมนธารู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นเมื่อเธอพบกับคำถามและการโจมตีจากเพื่อนร่วมงานมากขึ้นเรื่อยๆ
หัวหน้างานของซาแมนธาเห็นว่าในที่ทำงานมักจะมีการสนทนาเรื่องศาสนามากขึ้น จึงเตือนซาแมนธาว่าการเผยแผ่ศาสนาในที่ทำงานจะทำให้เธอเสี่ยงตกงาน งานของเธอเริ่มประสบปัญหาเหมือนงานของอีธาน แทนที่จะกลัวถูกไล่ออก ซาแมนธากลับเริ่มหางานใหม่
นี่เป็นเรื่องสมมติ แต่เปล่าเลย มีหลายคนตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับซาแมนธาและอีธาน ไม่ว่าเราจะเลือกดำเนินชีวิตอย่างไรและเราเลือกอะไร เราทุกคนล้วนมีความเป็นมนุษย์ เราปรารถนาความยุติธรรมและความเมตตาเหมือนกัน อีธานไม่ควรถูกไล่ออกเพราะเป็นเกย์ และซาแมนธาไม่ควรถูกข่มขู่เพราะเคร่งศาสนา ทั้งคู่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ถูกตัดสิน และถูกตอบโต้อย่างผิดๆ
ในสังคมทุกวันนี้ถือว่าเป็นความถูกต้องทางการเมืองที่จะเห็นใจสถานการณ์ของอีธานเแต่ไม่เห็นใจสถานการณ์ของซาแมนธา อีธานอาจพบว่ามีกลุ่มสนับสนุนกรณีของเขาแต่ก็ยังเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการเลือกปฏิบัติในเรื่องต่อต้านเกย์ จริงๆ แล้วเขาสมควรได้รับความคุ้มครอง
แต่ซาแมนธาเล่า ใครจะปกป้องสิทธิ์ของเธอต่อมโนธรรมด้านศาสนา แล้วสิทธิ์ที่เธอจะดำเนินชีวิตในฐานะผู้มีความเชื่อทางศาสนาเล่า โดยตั้งใจว่าจะรักและรับใช้ทุกคน แต่เธอก็มีสิทธิ์เลือกสิ่งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้องเธอมีสิทธิ์ดำเนินชีวิตตามนั้นเช่นกัน
ความยุติธรรมสำหรับคนทั้งปวง
สังคมของเรามืดบอดเพราะมัวแต่หาวิธีแก้ไขการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อบุคคลในชนชั้นหนึ่งจนเวลานี้เป็นอันตรายโดยสร้างให้คนอีกชนชั้นหนึ่งกลายเป็นเหยื่อ นั่นคือ ผู้มีความเชื่อทางศาสนาเช่นท่านและข้าพเจ้า
โรงเรียนศาสนาบางแห่งถูกตั้งคำถามเพราะเรียกร้องให้นักเรียนและคณาจารย์ยึดหลักจริยธรรมที่เรียกร้องความซื่อสัตย์สุจริตและความบริสุทธิ์ทางเพศ ซีอีโอของบริษัทใหญ่หลายแห่งหมดความสำคัญหรือถูกบีบให้ลาออกเพราะทัศนะส่วนตัวด้านศาสนาไม่เป็นที่ยอมรับทางการเมืองอีกต่อไป ธุรกิจบางแห่งถูกบีบให้ปิดกิจการเพราะเจ้าของพูดถึงความเชื่อของพวกเขา
ไม่ว่าท่านอาจได้ยินหรืออ่านอะไรมาตลอดหลายปี แต่ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายสนับสนุนเสรีภาพในการเลือกและความรู้สึกผิดชอบมาตลอด หลายปีมาแล้วศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ (1805–1844) เขียนว่า “เราเชื่อ … ว่ามนุษย์ทุกคนถูกสร้างมาเท่าเทียมกัน และทุกคนมีสิทธิ์คิดด้วยตนเองในทุกเรื่องตามความรู้สึกผิดชอบ”1
ท่านกล่าวต่อจากนั้นว่า “หาก … ข้าพเจ้ายอมตายเพื่อ ‘มอรมอน’ … ข้าพเจ้าพร้อมจะตายเพื่อปกป้องสิทธิ์ของเพรสไบทีเรียน แบปทิสต์ หรือคนดีในทุกนิกายเช่นเดียวกัน เพราะหลักธรรมเดียวกันกับที่เหยียบย่ำสิทธิ์ของวิสุทธิชนยุคสุดท้ายจะเหยียบย่ำสิทธิ์ของโรมันคาทอลิก หรือของนิกายอื่นซึ่งอาจไม่เป็นที่นิยมชมชอบและอ่อนแอเกินกว่าจะปกป้องตนเอง”2
ฉะนั้นอะไรคือจุดยืนของศาสนจักรเกี่ยวกับเสรีภาพทางศาสนา ข้าพเจ้าสามารถรับรองกับท่านได้ว่าอัครสาวกและศาสดาพยากรณ์ภายใต้การดลใจของสวรรค์ได้ให้ข้อคิดสำคัญที่พึงพิจารณาในเรื่องนี้ เราเชื่อในการทำตามพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งออกแบบไว้เพื่อให้เรามีความสุขนิรันดร์ แต่ “พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงบังคับมนุษย์ให้ไปสวรรค์”3 เราเชื่อเรื่องการมีพื้นที่ให้ทุกคนได้ดำเนินชีวิตตามความรู้สึกผิดชอบของตนโดยไม่ล่วงล้ำสิทธิ์และความปลอดภัยของผู้อื่น เมื่อสิทธิ์ของคนกลุ่มหนึ่งกระทบกับสิทธิ์ของคนอีกกลุ่มหนึ่ง เราต้องทำตามหลักของการให้ความยุติธรรมและละเอียดอ่อนต่อคนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ศาสนจักรเชื่อและสอนเรื่อง “ความยุติธรรมสำหรับคนทั้งปวง”4
การคุ้มครองมโนธรรมเป็นเรื่องของการปกป้องวิธีที่คนหนึ่งคิดและรู้สึก และปกป้องสิทธิ์ของบุคคลนั้นในการปฏิบัติตามความเชื่อเหล่านั้น ข้าพเจ้ากำลังพูดถึงคนที่บอกท่านว่าความนึกคิด ความรู้สึก และความเชื่อแบบท่านไม่มีใครเห็นชอบ ไม่มีค่าหรือไม่เป็นที่ยอมรับเพราะไม่มีคนนิยมชมชอบทัศนะของท่าน สงครามในสวรรค์ต่อสู้เพื่อสิทธิ์เสรี การบังคับให้ท่านทรยศต่อมโนธรรมของท่านเพราะทัศนะของท่านไม่สอดคล้องกับมหาชนถือเป็นการละเมิดสิทธิ์เสรีนั้นอย่างรุนแรง
โปรดอย่าเข้าใจผิด เมื่อข้าพเจ้าพูดถึงตัวตนจริงๆ ของเรา ข้าพเจ้าไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าทรงยอมให้เราดำเนินชีวิตตามที่เราเลือกโดยไม่ต้องรับผลจากการเลือกนั้น เรายังต้องชี้แจงต่อพระองค์สำหรับการเลือกของเรา พระองค์ตรัสว่า “เพราะฉะนั้นพวกท่านจงเป็นคนดีพร้อม เหมือนอย่างที่พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อม” (มัทธิว 5:48) พระบัญญัติให้แสวงหาความดีพร้อมบอกเป็นนัยว่าเราเริ่มตรงที่เราอยู่และแสวงหาความช่วยเหลือของพระเจ้าเพื่อยกเราขึ้นไปถึงจุดที่พระองค์ทรงต้องการให้เราไป การเป็นตัวตนจริงๆ ของเราเรียกร้องให้เราพยายามเพิ่มความสว่าง ความรู้ และความเข้าใจของเราอย่างต่อเนื่อง
คนหนุ่มสาวเป็นรุ่นที่ “เชื่อมต่อกับเทคโนโลยี” มากที่สุดในประวัติศาสตร์ พวกเขาเชื่อมต่อตลอดเวลา และท่านรู้หรือว่าทุกอย่างบนอินเทอร์เน็ตถูกต้อง 100 เปอร์เซนต์ แน่นอนว่าไม่ ฉะนั้นอย่าเชื่อทุกอย่างที่ท่านเห็นบนอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับศาสนจักรและจุดยืนของศาสนจักรเกี่ยวกับสิทธิ์ของเกย์
ตัวอย่างวิธีปฏิบัติเรื่อง “ความยุติธรรมสำหรับคนทั้งปวง” ของศาสนจักรเมื่อไม่นานมานี้เกิดขึ้นในเดือนมกราคม ปี 2015 เมื่อศาสนจักรจัดการประชุมแถลงข่าวกับอัครสาวกสามท่านและสมาชิกท่านหนึ่งในฝ่ายประธานเยาวชนหญิงสามัญเพื่อเตือนสมาชิกของเรา ชุมชน และสภานิติบัญญัติรัฐยูทาห์ว่าศาสนจักรเห็นชอบกับความเสมอภาคที่รับรองสิทธิ์ของทุกคน
เอ็ลเดอร์ดัลลิน เอช. โอ๊คส์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองกล่าวดังนี้ที่การประชุมแถลงข่าว “เราเรียกร้องให้ฝ่ายปกครองในท้องที่ รัฐ และรัฐบาลกลางรับใช้ประชาชนทั้งหมดของพวกเขาโดยร่างกฎหมายคุ้มครองเสรีภาพทางศาสนาที่สำคัญยิ่งต่อบุคคล ครอบครัว ศาสนจักร และกลุ่มศาสนาอื่นขณะคุ้มครองสิทธิ์ของพลเมืองแอลจีบีที [เลสเบียน เกย์ ผู้มีความสัมพันธ์ทางเพศกับทั้งสองเพศ และผู้ที่ผ่าตัดแปลงเพศ] ในด้านต่างๆ เช่น การเคหะ การจ้างงาน และการอำนวยความสะดวกในโรงแรม ภัตตาคาร และการคมนาคม—ความคุ้มครองที่ไม่มีให้ในหลายภูมิภาคของประเทศ”5
เนื่องด้วยการผ่านร่างกฎหมายคุ้มครองทั้งแอลจีบีทีและผู้นับถือศาสนาในอีกหกสัปดาห์ต่อมา ผู้นำศาสนจักรของเราและคนอื่นๆ จึงแสดงความยินดีกับชุมชนแอลจีบีที นั่นเป็นเรื่องน่าสนับสนุนที่ได้เห็นพวกเขาได้รับความคุ้มครองจากการริดรอนสิทธิ์ การเลือกปฏิบัติด้านที่อยู่อาศัย หรือการถูกไล่ออกจากงานเพราะรสนิยมทางเพศหรือแนวโน้มทางเพศ เราแสดงความยินดีเช่นกันกับมิตรสหายนิกายอื่นเมื่อเห็นพวกเขาได้รับความคุ้มครองทำนองเดียวกันในที่ทำงานและในที่สาธารณะ
ยูทาห์—และศาสนจักร—ขึ้นปกข่าวระดับประเทศและได้รับคำยกย่องสรรเสริญสำหรับการประนีประนอมอันเป็นประวัติการณ์ครั้งนี้ ตอนนี้ให้สังเกตว่าเราไม่ได้เสียสละหลักคำสอนหรือหลักธรรมทางศาสนาข้อใด เราไม่ได้เปลี่ยนกฎศีลธรรมของพระผู้เป็นเจ้าหรือความเชื่อของเราที่ว่าความสัมพันธ์ทางเพศควรเกิดขึ้นในการแต่งงานระหว่างชายกับหญิงเท่านั้น ผลที่ได้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย สะท้อนความคงเส้นคงวาในมาตรฐานทางศีลธรรม คำสอน และในความเคารพผู้อื่น
ข่าวสารเรื่องความยุติธรรม
ใช่ว่าพวกเราหลายคนจะมีบทบาทเด่นชัดในการปกครองและการร่างกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ท่านจึงอาจสงสัยว่าหัวข้อนี้เกี่ยวข้องกับตัวท่านอย่างไรในชีวิตประจำวัน ข้าพเจ้าประสงค์จะพูดถึงสิ่งสำคัญสามข้อที่ท่านทำได้เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมข่าวสารเรื่องความยุติธรรม
หนึ่ง พยายามมองผู้อื่นผ่านเลนส์ของความยุติธรรม การทำเช่นนี้เรียกร้องให้ท่านยอมรับก่อนว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงรักบุตรธิดาทุกคนของพระองค์เท่าเทียมกัน พระองค์ตรัสว่า “เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” (ยอห์น 13:34) ไม่มีการเลือก บาป หรือความผิดใดที่ท่านหรือผู้อื่นทำสามารถเปลี่ยนความรักที่พระองค์ทรงมีต่อท่านหรือพวกเขาได้ นั่นไม่ได้หมายความว่าพระองค์ไม่ทรงถือโทษหรือไม่เอาผิดในการทำบาป เราก็เช่นกัน—ทั้งในตัวเราเองหรือในผู้อื่น แต่นั่นหมายความว่าเรายื่นมือออกไปด้วยความรักเพื่อชักชวน ช่วยเหลือ และช่วยชีวิต
เมื่อท่านรู้สึกว่ามีคนรักท่านอย่างสมบูรณ์ ท่านจะรักผู้อื่นได้ง่ายขึ้นมากและมองพวกเขาอย่างที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงมอง ขอให้ท่านหันไปหาพระผู้ช่วยให้รอดในการสวดอ้อนวอนและทูลขอให้ได้รับความรักอันบริสุทธิ์ของพระองค์ทั้งสำหรับตัวท่านเองและสำหรับผู้อื่น พระองค์ทรงสัญญาไว้ว่าท่านจะรู้สึกถึงความรักของพระองค์ถ้าท่านทูลขอด้วยศรัทธา (ดู โมโรไน 7:48)
การเปี่ยมด้วยความรักอันบริสุทธิ์นี้จะชี้นำความคิดและการกระทำของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการเมืองที่บางครั้งสามารถเกิดความขัดแย้งได้ ความตึงเครียดปะทุขึ้นโดยง่ายเมื่อเราพูดเรื่องการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราพูดเรื่องเสรีภาพทางศาสนา ถ้าเรายอมให้ชั่วขณะเหล่านี้อยู่เหนือเรา เราจะเหมือนไม่ใช่ชาวคริสต์สำหรับครอบครัวเรา มิตรสหาย เพื่อนบ้าน และคนรู้จัก
จงจดจำวิธีที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงจัดการกับคำถามยากๆ และทัศนะที่ท้าทาย พระองค์ทรงสุขุมเยือกเย็น ทรงแสดงความเคารพ ทรงสอนความจริง แต่ไม่ทรงบังคับใครให้ดำเนินชีวิตตามที่พระองค์ทรงสอน
สอง ให้ความยุติธรรมชี้นำการปฏิบัติของท่านต่อผู้อื่น พระเยซูคริสต์ทรงมองข้ามชาติพันธุ์ ยศถาบรรดาศักดิ์ และสภาวการณ์ของผู้คนเพื่อสอนความจริงอันเรียบง่ายแก่พวกเขา จงจดจำหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำ (ดู ยอห์น 4:5–30) นายร้อยชาวโรมัน (ดู มัทธิว 8:5–13; ลูกา 7:1–10) และคนเก็บภาษีที่ไม่มีใครชอบ (ดู ลูกา 18:9–14) พระเจ้าทรงบัญชาให้เราทำตามแบบอย่างของพระองค์ โดยตรัสว่า “จงตามเรามา, และทำสิ่งที่เจ้าเห็นเราทำ” (2 นีไฟ 31:12) อย่าตัดสินผู้อื่นหรือปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไม่ยุติธรรมเพราะพวกเขาทำบาปต่างจากท่านหรือเรา
บางทีความท้าทายใหญ่หลวงที่สุดในการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างยุติธรรมคือความเสมอภาคที่ต้องมีในการสนับสนุนเสรีภาพทางศาสนาเมื่อท่านมีเพื่อนหรือสมาชิกครอบครัวที่มีประสบการณ์เสน่หาเพศเดียวกันหรือเป็นผู้สนับสนุนสิทธิ์แอลจีบีที บางท่านเป็นห่วงว่าท่านจะดูเหมือนคนใจแคบหรือไม่สนับสนุนถ้าท่านขอความคุ้มครองเพื่อปฏิบัติตามความเชื่อของท่านอย่างเสรีและเปิดเผย
ขอย้ำอีกครั้ง จงศึกษาพระชนม์ชีพของพระผู้ช่วยให้รอดและแสวงหาการนำทางจากพระองค์ พระผู้ช่วยให้รอดทรงแสดงให้เห็นวิธีหยิบยื่นความรักและกำลังใจขณะตั้งมั่นในสิ่งที่เรารู้ว่าจริง พึงจำไว้ว่าเมื่อหญิงคนนั้นถูกจับได้ว่าล่วงประเวณี พระเจ้าทรงขอให้คนที่ไม่มีบาปก้าวออกมาและลงโทษเธอเป็นคนแรก เมื่อไม่มีใครออกมา พระผู้ช่วยให้รอดของเราผู้ปราศจากบาปทรงแสดงความเห็นดังนี้ “เราก็ไม่เอาโทษเหมือนกัน จงไปเถิดและจากนี้ไปอย่าทำบาปอีก” (ยอห์น 8:11) การให้อภัยและความเมตตาที่พระองค์ทรงแสดงต่อเธอไม่ขัดแย้งกับคำสอนของพระองค์ที่ว่าความสัมพันธ์ทางเพศมีไว้สำหรับสามีภรรยาที่แต่งงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ท่านเด็ดเดี่ยวได้เช่นกันในความถูกต้องและความจริงแต่ยังคงหยิบยื่นความเมตตา
เมื่อพระสหายของพระคริสต์และผู้ติดตามพระองค์ยุติความสัมพันธ์กับพระองค์ พระองค์ทรงแสดงความเสียใจและความเจ็บปวด อย่างไรก็ดี เมื่อความสัมพันธ์ยุติ นั่นเพราะผู้อื่นอึดอัดใจกับคำสอนของพระองค์ ไม่ใช่เพราะพระองค์อึดอัดพระทัยกับผู้อื่น
ขณะที่เราพยายามปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างยุติธรรม เราพึงจดจำหลักธรรมเรื่องสิทธิ์เสรี เราพึงเคารพความสามารถในการเลือกของผู้อื่นเสมอและขอให้พวกเขาเอื้อเฟื้อเราแบบเดียวกัน เมื่อพูดกับผู้อื่นเรื่องเสรีภาพทางศาสนา เราพึงจำไว้เสมอว่าเราเห็นต่างได้โดยไม่ขัดแย้ง โปรดอย่าหลีกเลี่ยงการสนทนาเกี่ยวกับประเด็นสำคัญเหล่านี้เพียงเพราะท่านกังวลว่ามันอาจจะยากหรืออึดอัด เราสามารถสวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลือได้ เราคาดหวังได้ว่าพระผู้ช่วยให้รอดจะทรงช่วยให้เราพูดและทำในวิธีที่พระองค์พอพระทัย
สาม ปกป้องความยุติธรรมถ้าท่านเห็นผู้อื่นถูกขัดขวางสิทธิ์ เอ็ลเดอร์แอล. ทอม เพอร์รีย์ (1922–2015) แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองเป็นแบบอย่างที่ยอดเยี่ยมของคนที่เชื่อมั่นเรื่องการแต่งงานระหว่างชายกับหญิง และท่านยินดีปกป้องสิทธิ์ของผู้อื่น ท่านฝากตัวอย่างการคุ้มครองสิทธิ์ของผู้อื่นเมื่อท่านเห็นการปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรมหรือความเหลื่อมล้ำในกฎหมาย
นับจากสมัยของโจเซฟ สมิธจนถึงสมัยของเรา มรดกของเราคือการยื่นมือเยียวยาความร้าวฉานและความเจ็บปวดโดยไม่ยอมประนีประนอมให้เปลี่ยนหลักคำสอนที่ไม่ใช่ของเรา
มีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน
สิ่งนี้นำข้าพเจ้ามาถึงจุดสุดท้าย นั่นคือคนรุ่นท่านต้องมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าสนับสนุนผู้นำของศาสนจักรของพระเจ้าของเราเมื่อข้าพเจ้ากล่าวว่าเราต้องการให้คนรุ่นท่านเข้าใจเรื่องความเห็นใจ ความเคารพ และความยุติธรรม เราต้องการให้ท่านมองโลกในแง่ดีและมีความตั้งใจแน่วแน่ว่าจะแก้ไขปัญหาสังคมที่ซับซ้อนเหล่านี้
เรามีศรัทธาว่าท่านจะหันไปพึ่งพระผู้ช่วยให้รอดเพื่อเข้าใจวิธีดำเนินชีวิตเหมือนพระคริสต์ขณะแสดงความยุติธรรมและความรักต่อผู้มีความเชื่อต่างจากท่าน เรารู้ว่าท่านต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่มีความหมาย เรารู้ว่าท่านยืดหยุ่นและให้ความร่วมมือ
สำคัญที่สุดคือเราต้องการให้ท่านร่วมวงสนทนาเกี่ยวกับความซับซ้อนของประเด็นนี้และหาทางออกว่าจะให้ความยุติธรรมกับทุกคนมากที่สุดอย่างไร รวมทั้งคนที่นับถือศาสนา การสนทนาเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นในสถานศึกษาของเรา ในบ้านของเรา และในความสัมพันธ์ของเรากับมิตรสหายตลอดจนผู้ร่วมงาน
เมื่อท่านสนทนาเรื่องดังกล่าว ขอให้จดจำหลักธรรมเหล่านี้ คือ มองผู้อื่นผ่านเลนส์ของความยุติธรรม ปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเคารพและความเมตตา และคาดหวังให้พวกเขาปฏิบัติต่อท่านแบบเดียวกัน
การเพิ่มพูนความรัก
สุดท้าย ข้าพเจ้าต้องการฝากประจักษ์พยานและคำพยานไว้กับท่านว่าเมื่อท่านทำตามคำเชื้อเชิญให้ยื่นมือช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความยุติธรรม ท่านจะรู้สึกถึงความรักที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงมีต่อท่านและต่อบุตรธิดาทุกคนของพระบิดาบนสวรรค์เพิ่มมากขึ้น แบบอย่างความเคารพและความยุติธรรมของท่านจะเปิดประตูและสร้างมิตรภาพที่มีความหมายให้ท่านจดจำไปชั่วชีวิต
ข้าพเจ้าเป็นพยานต่อท่านว่าพระบิดาบนสวรรค์ของเราทรงพระชนม์ พระองค์ทรงรู้จักท่าน และทรงรักท่านเป็นส่วนตัว พระองค์ทรงพร้อมจะช่วยท่าน พระองค์ทรงเปิดเผยแผนของพระองค์เพื่อเราไม่เพียงเพื่อให้เราได้กลับไปอยู่กับพระองค์ตลอดกาลเท่านั้นแต่เพื่อให้เราได้รับพรและมีความสุขในชีวิตนี้ด้วย เมื่อท่านทำตามคำสอนของพระองค์และเมื่อท่านหยิบยื่นความรักความถนอมน้ำใจผู้อื่น ท่านจะรู้สึกถึงเดชานุภาพและความรักของพระองค์มากขึ้น