โจเซฟ สมิธ: ความเข้มแข็งจากความอ่อนแอ
จากคำปราศรัยเรื่อง “Out of Weakness He Shall Be Made Strong” ที่การให้ข้อคิดทางวิญญาณรำลึกถึงโจเซฟ สมิธประจำปีครั้งที่ 70 ในโลแกน ยูทาห์ สหรัฐอเมริกา วันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013
ถ้าเราจะยอมรับความอ่อนแอเหมือนโจเซฟ สมิธและหันไปพึ่งพระเจ้าด้วยศรัทธา เราจะเข้มแข็งเช่นกัน
หลายพันปีก่อน โยเซฟสมัยโบราณพยากรณ์ว่า “พระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าดังนี้: เราจะยกผู้หยั่งรู้ที่เลิศเลอผู้หนึ่งขึ้นจากเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้า; … และเราจะให้พลังความสามารถแก่เขาเพื่อนำคำของเราออกมา … และจากความอ่อนแอเราจะทำให้เขาเข้มแข็ง” (2 นีไฟ 3:7, 11, 13)
ข้าพเจ้าสนใจและได้รับแรงบันดาลใจจากคำพยากรณ์นี้ว่า “จากความอ่อนแอเราจะทำให้เขาเข้มแข็ง” อาจดูเหมือนไม่มีเหตุผลที่พระเจ้าจะทรงขอให้คนอ่อนแอทำงานใหญ่ให้สำเร็จ ทว่าคนที่ยอมรับความอ่อนแอของตน ความอ่อนแอนั้นจะผลักดันให้เขาแสวงหาความเข้มเข็งของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้พระองค์ผู้ทรงมีเดชานุภาพทั้งมวลในสวรรค์และแผ่นดินโลกจึงทรงทำให้คนนอบน้อมถ่อมตนในศรัทธาเข้มแข็ง (ดู มัทธิว 28:18; โมไซยาห์ 4:9)1
ตั้งแต่วัยเยาว์โจเซฟ สมิธเข้าใกล้พระเจ้าด้วยเหตุดังนี้ เมื่อโจเซฟอายุ 15 ปี ท่านโหยหาการอภัยบาปและปรารถนาจะเรียนรู้ว่าศาสนจักรใดถูกต้อง ท่านเขียนว่า “แม้ว่าความรู้สึกของข้าพเจ้าจะลึกซึ้งและมักจะแรงกล้า … จนสุดวิสัยที่ผู้อ่อนวัยอย่างข้าพเจ้า, และไม่ประสาต่อมนุษย์และเรื่องต่างๆ จะสรุปได้แน่ชัดว่าใครถูกและใครผิด” (ดู โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:8)
โดยที่ทราบความอ่อนแอนี้ดี ท่านจึงเข้าไปในป่าศักดิ์สิทธิ์เพื่อเรียนรู้ว่าท่านจะพบศาสนจักรของพระผู้เป็นเจ้าที่ใด ท่านทูลถามทั้งนี้เพื่อท่านจะได้ ทำ บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งนี้เพื่อท่านจะได้ เข้าร่วม ศาสนจักรนั้น (ดู โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:18) เพื่อตอบคำทูลวิงวอนที่จริงใจและนอบน้อมของท่าน พระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ทรงปรากฏต่อท่าน ในการปรากฎนั้น พระองค์ทรงปลดปล่อยท่านจากอำนาจของมารและเตรียมทางสำหรับการฟื้นฟู (ดู โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:14–19)
โจเซฟ สมิธไม่โต้แย้งที่ท่านเป็นหนึ่งใน “สิ่งอ่อนแอของโลก” (คพ. 1:19; 35:13) หลายปีต่อมาพระเจ้าตรัสกับท่านทำนองนี้ “เพราะเพื่อจุดหมายนี้เรายกเจ้าขึ้น, เพื่อเราจะได้แสดงปรีชาญาณของเราออกมาทางสิ่งอ่อนแอของแผ่นดินโลก” (คพ. 124:1)
เด็กซึ่งไม่มีใครรู้จัก
โจเซฟบอกว่าท่านเป็น “เด็กซึ่งไม่มีใครรู้จัก … ที่ตกอยู่ในชะตากรรมอันมีความจำเป็นต้องหาสิ่งประทังชีวิตขาดแคลนด้วยแรงงานรายวัน” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:23) ท่านเกิดมาในชนชั้นล่างทางสังคมและศึกษาในระบบอย่างจำกัด การพยายามเขียนประวัติของท่านครั้งแรกเน้นย้ำสภาพความอ่อนแอซึ่งจากสภาพนั้นท่านได้รับเรียกให้ทำงาน
“ข้าพเจ้าเกิดในเมืองชารอน ในรัฐเวอร์มอนต์ อเมริกาเหนือเมื่อวันที่ยี่สิบสามธันวาคม ค.ศ. 1805 จากบิดามารดาที่แสนประเสริฐผู้พยายามสอนข้าพเจ้าให้รู้จักศาสนาคริสต์ เมื่ออายุราวสิบขวบ โจเซฟ สมิธ ซีเนียร์บิดาข้าพเจ้าย้ายไปอยู่เทศมณฑลพอลไมรา ออนแทรีโอในรัฐนิวยอร์กและอยู่ในสภาพข้นแค้นจนต้องทำงานหนักเพื่อจุนเจือครอบครัวใหญ่ที่มีลูกเก้าคนและเพราะต้องทุ่มเททั้งหมดจึงจะสามารถช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวได้ เราจึงไม่ได้ประโยชน์ของการศึกษาจนพอจะพูดได้ว่าข้าพเจ้ามีความรู้เพียงอ่านเขียนและกฎคณิตศาสตร์พื้นฐานเท่านั้น”2
โจเซฟรู้สึกรันทดใจอย่างยิ่งที่ขาดการศึกษาจนท่านคร่ำครวญครั้งหนึ่งว่าการถูกขังอยู่ใน “เรือนจำเล็กๆ แคบๆ แทบจะเหมือนความมืดมนอนธกาลของกระดาษ ปากกา น้ำหมึก และภาษาที่ขาดตกบกพร่อง เปะปะ กระท่อนกระแท่น และไร้ระเบียบแบบแผน”3 แต่กระนั้นพระเจ้าทรงเรียกท่านให้แปลพระคัมภีร์มอรมอน—ครั้งแรกจัดพิมพ์พระคัมภีร์เล่มนี้ทั้ง 588 หน้า—ซึ่งท่านแปลในเวลาไม่ถึง 90 วัน
บุคคลใดที่คิดได้อย่างถ่องแท้จะสรุปว่าเป็นเรื่องสุดวิสัยที่โจเซฟผู้ด้อยการศึกษาจะทำสิ่งนี้สำเร็จด้วยตนเอง และคำอธิบายที่บางคนคิดขึ้นเชื่อได้ยากยิ่งกว่าคำอธิบายที่แท้จริงว่า ท่านเป็นศาสดาพยากรณ์ผู้แปลโดยของประทานและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า
พยานของเอ็มมา
ในชีวิตบั้นปลาย เอ็มมา สมิธจำได้ว่าเวลาที่สามีเธอแปลแผ่นจารึกทองคำ เขา “ไม่สามารถเขียนหรือบอกให้เขียนปะติดปะต่อกันด้วยถ้อยคำสละสลวยได้ นับประสาอะไรกับการบอกให้เขียนหนังสืออย่างพระคัมภีร์มอรมอน และแม้ดิฉันจะเป็นคนหนึ่งผู้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ที่อุบัติขึ้น แต่ดิฉันก็ยังอัศจรรย์ใจใน ‘การอัศจรรรย์และการอันน่าพิศวง’ มากเท่าๆ กับคนอื่นๆ”4
เบื้องหลังของประวัติศาสตร์เรื่องนี้น่าสนใจตรงหน้าหนึ่งของบันทึกส่วนตัวเล่มแรกของโจเซฟลงวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1832 (ภาพด้านขวา) ท่านเขียนบันทึกนี้หลังจบการแปลพระคัมภีร์มอรมอนได้ประมาณสามปีครึ่ง จะเห็นว่าท่านเขียนแล้วขีดฆ่าคำต่อไปนี้
“โจเซฟ สมิธ จูเนียร์—ซื้อสมุดบันทึกมาเขียนสภาวการณ์เล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดที่ข้าพเจ้าสังเกตเห็น”
ขณะข้าพเจ้าถือสมุดบันทึกเล่มนี้และอ่านคำเหล่านี้ที่ถูกขีดฆ่า ข้าพเจ้าจินตนาการว่าโจเซฟนั่งอยู่ในภาวะแวดล้อมแบบชนบทในเขตแดนอเมริกา พลางเขียนประโยคเริ่มต้นแล้วคิดว่า “ไม่ ยังไม่ถูก เดี๋ยวลองเขียนใหม่” ท่านจึงขีดฆ่าประโยคนั้นและเขียนว่า “โจเซฟ สมิธ จูเนียร์ซื้อสมุดบันทึกวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1832 เพื่อจดเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดที่ข้าพเจ้าสังเกตเห็น และ— —”
ในที่สุด อาจจะไม่พอใจโดยสิ้นเชิงกับภาษาซึ่งไม่สละสลวย กะพร่องกะแพร่งที่พึ่งเขียน ท่านจึงเขียนว่า “โอ้ ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงยอมให้ข้าพระองค์ได้รับการนำทางในความคิดทั้งหมดของข้าพระองค์ ขอทรงอวยพรผู้รับใช้ของพระองค์ด้วยเถิด อาเมน”5 ข้าพเจ้าสัมผัสได้ในประโยคนี้ว่าโจเซฟรู้สึกถึงความไม่ดีพอและความอ่อนแอของท่าน และกำลังเรียกหาพระผู้เป็นเจ้าด้วยศรัทธาขอให้ทรงนำท่านในทั้งหมดที่ท่านทำ
ทีนี้ลองเปรียบเทียบข้อความในบันทึกนั้นกับสำเนาต้นฉบับเดิมของพระคัมภีร์มอรมอนที่คัดลอกไว้ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน ปี 1829 (ภาพในหน้าถัดไป)
ลองสังเกตความเรียงสละสลวย—ไม่มีการใช้เครื่องหมายวรรคตอน ไม่มีการขีดฆ่า นี่ไม่ใช่กวีนิพนธ์ร้อยแก้ว โจเซฟบอกให้จดคำต่อคำขณะท่านมองเข้าไปในเครื่องมือที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้ท่าน รวมทั้งอูริมกับทูมมิมและศิลาผู้หยั่งรู้บางครั้ง โดยใช้หมวกบังตาท่านจากแสงภายนอกเพื่อจะได้เห็นคำตามที่ปรากฏอย่างชัดเจน (ดู 2 นีไฟ 27:6, 19–22; โมไซยาห์ 28:13) เท่าที่ท่านเห็น มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างงานแปลพระคัมภีร์มอรมอนกับข้อความในบันทึกส่วนตัว งานแปลเป็นผลงานของโจเซฟ สมิธ ศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และผู้เปิดเผย ส่วนข้อความในบันทึกเป็นผลงานของชายชื่อโจเซฟ สมิธ หากท่านมองดูต้นฉบับเดิมของงานแปลอย่างถี่ถ้วน ท่านจะอ่านพบคำที่คงจะให้กำลังใจโจเซฟเสมอมา นั่นคือ
“และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือข้าพเจ้า, นีไฟ, กล่าวแก่บิดาข้าพเจ้า : ข้าพเจ้าจะไปและทำสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชา, เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าพระเจ้าไม่ทรงให้บัญญัติแก่ลูกหลานมนุษย์, นอกจากพระองค์จะทรงเตรียมทางไว้ให้พวกเขาเพื่อพวกเขาจะทำสำเร็จในสิ่งซึ่งพระองค์ทรงบัญชาพวกเขา.” (1 นีไฟ 3:7)
ก่อนคำเหล่านี้ไม่นาน ท่านได้แปลดังนี้ “แต่ดูเถิด, ข้าพเจ้า, นีไฟ, จะแสดงต่อท่านว่าพระเมตตาอันละเอียดอ่อนของพระเจ้ามีอยู่เหนือคนทั้งปวงที่พระองค์ทรงเลือกไว้, เพราะศรัทธาของพวกเขา, เพื่อทำให้พวกเขาแข็งแกร่งแม้จนถึงพลังแห่งการปลดปล่อย” (1 นีไฟ 1:20)
ใช่แล้ว สาระสำคัญของพระคัมภีร์—และชีวิตของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ—คือคนอ่อนแอที่แสวงหาพระเจ้าอย่างนอบน้อมถ่อมตนในศรัทธา พระองค์จะทรงทำให้คนคนนั้นเข้มแข็ง แม้ยิ่งใหญ่ในงานของพระเจ้า การทำให้เข้มแข็งนี้จะเกิดขึ้นแม้ในเรื่องที่ดูเหมือนเล็กน้อย
ตัวอย่างเช่น โจเซฟเป็นคนสะกดคำไม่เก่ง และท่านแก้ไขตัวสะกดของชื่อ Coriantumr (ดู ฮีลามัน 1:15) ที่ออลิเวอร์ คาวเดอรีผู้จดคนแรกของท่านเขียนไว้ ครั้งแรกที่โจเซฟบอกให้ออลิเวอร์เขียนชื่อนี้ ออลิเวอร์เขียนว่า Coriantummer นับว่าสมเหตุสมผลเพราะไม่มีคำภาษาอังกฤษที่ลงท้ายด้วย “mr” แต่โจเซฟ—ผู้สะกดคำไม่เก่งพอจะยอมรับตัวสะกดที่พระเจ้าประทานแก่ท่าน—แก้ไขตัวสะกดระหว่างการแปล เวลานี้เรารู้ว่าแม้นี่จะเป็นตัวสะกดแปลกๆ ในภาษาอังกฤษ แต่เป็นตัวสะกดภาษาอียิปต์ที่ดีสมบูรณ์แบบและสอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมในโลกเก่า โจเซฟคงไม่รู้เรื่องนี้นอกจากโดยการเปิดเผย6
พระองค์ทรงทำให้เราเข้มแข็งได้
ปาฏิหาริย์ของการแปลพระคัมภีร์มอรมอนเป็นตัวอย่างหนึ่งของการทำให้โจเซฟเข้มแข็งจากความอ่อนแอ มีอีกบทเรียนหนึ่งที่เป็นเรื่องใกล้ตัวมากกว่า นั่นคือ ถ้าเราจะยอมรับความอ่อนแอเหมือนโจเซฟและหันไปพึ่งพระเจ้าในศรัทธาด้วยสุดใจของเรา ตั้งใจจะทำตามพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์จะทรงทำให้เราเข้มแข็งจากความอ่อนแอด้วย นี่ไม่จำเป็นต้องหมายความว่าความอ่อนแอถูกลบทิ้งในความเป็นมรรตัย—แต่หมายความว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำให้บุคคลเช่นนั้นเข้มแข็ง
โจเซฟยอมรับความบกพร่องของท่านอย่างนอบน้อมถ่อมตน ท่านกล่าวว่าในช่วงวัยเยาว์ท่าน “แสดงความอ่อนแอของวัยเยาว์, และจุดอ่อนของธรรมชาติมนุษย์” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:28) ต่อมาในชีวิตท่านบอกวิสุทธิชนในนอวูว่า ท่าน “เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง และพวกเขาต้องไม่คาดหวังว่า [ท่าน] จะเป็นคนดีพร้อม … แต่ถ้าพวกเขาจะอดทนต่อความบกพร่อง [ของท่าน] และความบกพร่องของพี่น้อง [ท่าน] จะอดทนต่อความบกพร่องของพวกเขาเช่นกัน”7
โจเซฟไม่เสแสร้งว่าดีพร้อมหรือไม่ทำผิดพลาด แต่ท่านยอมรับเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าที่สำแดงผ่านท่านเมื่อกำลังทำหน้าที่ศาสดาพยากรณ์ “เมื่อข้าพเจ้าพูดในฐานะชายคนหนึ่ง คนพูดคือโจเซฟเท่านั้น แต่เมื่อพระเจ้าตรัสผ่านข้าพเจ้า คนพูดไม่ใช่โจเซฟ สมิธ แต่คือพระผู้เป็นเจ้า”8
ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงทำให้โจเซฟเข้มแข็งจากความอ่อนแอ—เข้มแข็งมากพอจะทำมากกว่าศาสดาพยากรณ์ท่านอื่นใดในประวัติศาสตร์ทั้งหมด “เพื่อความรอดของมนุษย์ในโลกนี้, ยิ่งกว่าคนอื่นใดที่เคยมีชีวิตอยู่ในโลก, ยกเว้นพระเยซูเท่านั้น” (คพ. 135:3)
พระผู้เป็นเจ้าที่ไม่ทรงเปลี่ยนแปลงของเราจะทำให้ท่านและข้าพเจ้าเข้มแข็งจากความอ่อนแอเช่นกัน—หากเราหันไปพึ่งพระองค์ในศรัทธาด้วยความตั้งใจเด็ดเดี่ยวเฉกเช่นโจเซฟ
การสวดอ้อนวอนและความนอบน้อมถ่อมตน
ตามวิถีซีเลสเชียลของพระองค์ พระเจ้าประทานความอ่อนแอให้เราเพื่อช่วยให้เราเข้มแข็งในวิธีเดียวที่สำคัญในกาลเวลาและนิรันดร—นั่นคือโดยผ่านพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “และหากมนุษย์มาหาเรา เราจะแสดงให้พวกเขาเห็นความอ่อนแอของพวกเขา. เราให้ความอ่อนแอแก่มนุษย์เพื่อพวกเขาจะนอบน้อม; และพระคุณของเราเพียงพอสำหรับคนทั้งปวงที่นอบน้อมถ่อมตนต่อหน้าเรา; เพราะหากพวกเขานอบน้อมถ่อมตนต่อหน้าเรา, และมีศรัทธาในเรา, เมื่อนั้นเราจะทำให้สิ่งที่อ่อนแอกลับเข้มแข็งสำหรับพวกเขา” (อีเธอร์ 12:27)
ตามที่พระคัมภีร์ข้อนี้กล่าว เราได้รับความอ่อนแอเพื่อเราจะนอบน้อมถ่อมตน คนที่เลือกนอบน้อมถ่อมตนและใช้ศรัทธาในพระองค์ พระองค์จะทรงทำให้เข้มแข็ง ความนอบน้อมถ่อมตนต่อพระผู้เป็นเจ้าเป็นตัวเร่งที่จำเป็นต่อการทำให้ความเข้มแข็งและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าประจักษ์ในชีวิตเรา
มีคนที่ “คิดว่าตนฉลาด, และพวกเขาไม่สดับฟังคำแนะนำของพระผู้เป็นเจ้า, เพราะพวกเขาเมินคำแนะนำเหล่านั้น, โดยคิดว่าพวกเขารู้ด้วยตนเอง, ดังนั้น, ปัญญาของพวกเขาคือความโง่และมันหาเป็นประโยชน์แก่พวกเขาไม่” (2 นีไฟ 9:28) ยาถอนพิษความจองหองคือการ “พิจารณาตน [ตัวเรา] เป็นคนโง่ต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า, และลงมาสู่ห้วงลึกแห่งความถ่อมตน” (2 นีไฟ 9:42)
ตั้งแต่วัยเยาว์โจเซฟเข้าใจว่ากุญแจดอกสำคัญของการปลูกฝังความนอบน้อมถ่อมตนคือแสวงหาพระบิดาบนสวรรค์ผ่านการสวดอ้อนวอนที่จริงใจและตั้งใจ ดาเนียล ไทเลอร์สมาชิกรุ่นแรกของศาสนจักรจำครั้งหนึ่งในเคิร์ทแลนด์ได้เมื่อคนมากมายหันมาต่อต้านท่านศาสดาพยากรณ์ บราเดอร์ไทเลอร์อยู่ในการประชุมที่ท่านศาสดาพยากรณ์สวดอ้อนวอนกับผู้เข้าร่วมประชุมเพื่อขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า เขาบรรยายประสบการณ์นั้นดังนี้
“ข้าพเจ้าเคยได้ยินชายหญิงหลายคนสวดอ้อนวอน … แต่จนถึงเวลานั้นข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินใครพูดกับพระผู้รังสรรค์ของเขาประหนึ่งพระองค์ทรงฟังอยู่ที่นั่นเสมือนพ่อใจดีฟังความทุกข์โศกของลูกกตัญญู เวลานั้นโจเซฟไม่มีการศึกษา แต่การสวดอ้อนวอนครั้งนั้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นการสวดอ้อนวอนให้คนที่กล่าวหาว่าท่านออกนอกลู่นอกทาง … รับการเรียนรู้และพลังโน้มน้าวของสวรรค์ … สำหรับข้าพเจ้าดูประหนึ่งม่านถูกนำออกไป ข้าพเจ้าเห็นพระเจ้าประทับยืนตรงหน้าผู้รับใช้ที่นอบน้อมที่สุดในบรรดาผู้รับใช้ทั้งหมดที่ข้าพเจ้าเคยเห็นมา”9
ความเข้มแข็งจากความอ่อนแอ
เมื่อโจเซฟอายุั 17 ปี โมโรไนบอกท่านว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงมีงานให้ข้าพเจ้าทำ; และชื่อข้าพเจ้าจะทั้งดีและชั่วในบรรดาประชาชาติ, ตระกูล, และภาษาทั้งปวง, หรือจะมีผู้เอ่ยถึงทั้งในทางดีและชั่วในบรรดาผู้คนทั้งปวง” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:33)
ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าเวลานั้นคนมากมายคิดว่าคำอ้างเช่นนั้นเป็นหลักฐานยืนยันความหลงผิดคิดว่าตนเขื่อง ทว่าในโลกปัจจุบันที่มีอินเทอร์เน็ต ชื่อของเด็กชาวไร่ซึ่งไม่มีใครรู้จักนั้น เป็น ที่รู้ไปทั่วโลกและถูกพูดถึงทั้งในทางดีและชั่ว
ก่อนโจเซฟกับไฮรัม สมิธไปสู่ความตายที่คาร์เทจ อิลลินอยส์ ไฮรัมอ่านให้โจเซฟและคนอื่นๆ ในคุกที่อยู่ห้องเดียวกับพวกท่านฟัง จากนั้นก็พับหน้ากระดาษที่มีถ้อยคำต่อไปนี้
“และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนพระเจ้าขอให้พระองค์ประทานพระคุณแก่คนต่างชาติ, เพื่อพวกเขาจะมีจิตกุศล.
“และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า : หากพวกเขาไม่มีจิตกุศล ก็ไม่สำคัญสำหรับเจ้า, เจ้าซื่อสัตย์; ดังนั้นเราจะทำให้อาภรณ์ของเจ้าสะอาด. และเพราะเจ้าเห็นความอ่อนแอของเจ้า, เราจะทำให้เจ้าเข้มแข็ง, แม้ไปสู่การได้นั่งลงในสถานที่ซึ่งเราเตรียมไว้ในปราสาทพระบิดาของเรา” (อีเธอร์ 12:36–37)
ในความเป็นจริงแล้ว จากความอ่อนแอ นั่นเองที่พระองค์ทรงทำให้โจเซฟเข้มแข็ง โดยได้แรงกระตุ้นส่วนหนึ่งจากความอ่อนแอของท่าน ท่านจึงแสวงหาความช่วยเหลือจากพระเจ้าในศรัทธา ตั้งใจทำตามพระประสงค์ของพระองค์ ท่านเข้าใกล้พระบิดาในสวรรค์ของเราด้วยเหตุเหล่านี้ตลอดชีวิตท่าน เพราะเหตุนี้ท่านจึงประสบนิมิตแรก แปลพระคัมภีร์มอรมอน ได้รับกุญแจฐานะปุโรหิต จัดตั้งศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูของพระคริสต์ และนำความสมบูรณ์แห่งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์มาให้แผ่นดินโลก ศาสดาพยากรณ์โจเซฟเข้มแข็งขึ้น พระองค์ไม่ได้ทรงทำให้ท่านยิ่งใหญ่ในชั่วพริบตา ความเข้มแข็งเกิดขึ้นกับท่านศาสดาพยากรณ์ กับท่านและข้าพเจ้าเป็น “บรรทัดมาเติมบรรทัด, กฎเกณฑ์มาเติมกฎเกณฑ์, ที่นี่นิดและที่นั่นหน่อย” (คพ. 128:21; ดู อิสยาห์ 28:10; 2 นีไฟ 28:30)
ดังนั้นจงอย่าท้อถอย เพราะกระบวนการทำให้เข้มแข็งเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อยและเรียกร้องความอดทนด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ว่าจะติดตามพระผู้ช่วยให้รอดและยอมทำตามพระประสงค์ของพระองค์ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ได้ของประทานคืน
วิลเลียม ทีนเดลผู้แปลและจัดพิมพ์พระคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 16 กล่าวกับคนมีการศึกษาที่คัดค้านไม่ให้พระคัมภีร์ไบเบิลไปอยู่ในมือสามัญชนว่า “หากพระผู้เป็นเจ้าทรงไว้ชีวิตข้าพเจ้า ภายในไม่กี่ปี ข้าพเจ้าจะทำให้เด็กไถนารู้จักพระคัมภีร์มากกว่าท่านเสียอีก!”10
ในเหตุการณ์ที่น่าสนใจคล้ายกันนี้ในอีก 300 ปีต่อมา แนนซี โทว์เลนักเทศน์สัญจรที่มีชื่อเสียงในทศวรรษ 1830 มาเยือนเคิร์ทแลนด์เพื่อสังเกต “ชาวมอรมอน” ด้วยตนเอง ในการสนทนากับโจเซฟ สมิธและผู้นำศาสนจักรท่านอื่น เธอวิพากษ์วิจารณ์ศาสนจักรด้วยวาจาเชือดเฉือน
ตามบันทึกของโทว์เล โจเซฟไม่พูดอะไรจนกระทั่งเธอหันมามองท่านและเรียกร้องให้ท่านสาบานว่าเทพแสดงให้ท่านเห็นว่าแผ่นจารึกทองคำอยู่ที่ไหน ท่านตอบอย่างอารมณ์ดีว่าท่านไม่เคยสาบาน! เมื่อไม่สามารถทำให้ท่านโมโหได้ เธอจึงพยายามดูถูกเหยียดหยามท่าน “คุณไม่ละอายใจบ้างหรือกับการอวดอ้างเช่นนั้น” เธอถาม “คุณก็แค่เด็กไถนาโง่เง่าของประเทศเรา!”
โจเซฟตอบอย่างใจเย็นว่า “เหมือนในสมัยก่อนที่ชาวประมงผู้ไม่รู้หนังสือได้ของประทานคืนอีกครั้ง”11
ด้วยเหตุนี้ถ้อยคำของทีนเดลจึงบอกล่วงหน้าว่าเด็กไถนาน่าจะรู้พระคัมภีร์มากกว่าทุกคนที่เคยมีชีวิต ยกเว้นพระผู้ช่วยให้รอด
แน่นอนว่าศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูและพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ไม่ใช่งาน ของ โจเซฟ สมิธ “เด็กไถนา” ของเขตแดนอเมริกา แต่เป็นงานของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ได้รับการฟื้นฟู ผ่าน โจเซฟ สมิธศาสดาพยากรณ์ ขณะใคร่ครวญชีวิตท่าน โจเซฟอาจเห็นพ้องกับความเห็นของเจคอบที่ว่า “พระเจ้าพระผู้เป็นเจ้ายังทรงแสดงให้เราเห็นความอ่อนแอของเราเพื่อเราจะรู้ว่าโดยพระคุณของพระองค์, และพระจริยวัตรอันอ่อนน้อมหาที่สุดมิได้ของพระองค์ที่มีต่อลูกหลานมนุษย์, เราจึงมีพลังความสามารถทำสิ่งเหล่านี้” (เจคอบ 4:7)
ข้าพเจ้ารู้ว่าโจเซฟ สมิธเคยเป็นและยังคงเป็นศาสดาพยากรณ์ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้เข้มแข็งจากความอ่อนแอ ประธานบริคัม ยังก์ (1801–1877) กล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้สึกอยากตะโกนฮาเลลูยาห์ตลอดเวลาเมื่อข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าเคยรู้จักโจเซฟ สมิธศาสดาพยากรณ์”12 แม้ข้าพเจ้าไม่เคยมีสิทธิพิเศษเช่นนั้นในความเป็นมรรตัย แต่ข้าพเจ้าได้รับการปลอบใจในคำสัญญาที่ว่า “คนนับล้านจะรู้จักโจเซฟอีก”13 ข้าพเจ้าสำนึกคุณอย่างสุดซึ้งต่อท่านศาสดาพยากรณ์และความนอบน้อมถ่อมตนของท่านต่อพระผู้เป็นเจ้าของเราผู้ทำให้ท่านเข้มแข็ง ข้าพเจ้าได้รับกำลังใจจากประวัตินี้และหลักคำสอนที่ว่าพระเจ้าจะทรงทำให้เราแต่ละคนเข้มแข็งจากความอ่อนแอหากเรานอบน้อมถ่อมตนต่อพระองค์ในทำนองเดียวกันและใช้ศรัทธาของเราในพระองค์ด้วยความตั้งใจแน่วแน่วว่าจะทำตามพระประสงค์ของพระองค์