พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ที่พักพิงและความคุ้มครอง
ผู้เขียนอาศัยอยู่ในเมืองกูรีตีบา บราซิล
คำสอนในพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญาสามารถคุ้มครองเราจากความยุ่งยากทั้งหลายที่เราจะประสบขณะเตรียมรับการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเจ้า
พระเจ้าทรงต้องการคุ้มครองผู้คนของพระองค์ ในช่วงเวลาของการข่มเหงครั้งใหญ่ในศาสนจักร พระองค์ทรงเน้นความสำคัญของการรวมกันยังไซอัน “เพื่อ การคุ้มภัย, และเพื่อเป็น ที่พักพิง จากพายุ” (คพ. 115:6; เน้นตัวเอน)
ที่พักพิงและความคุ้มครองดังกล่าวได้จากการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ขณะที่เรา “ค้นคว้าพระบัญญัติเหล่านี้” (คพ. 1:37) ด้วยเหตุนี้จึงขอให้เราสำรวจหลักธรรมบางประการที่พบในพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญาซึ่ง หากเข้าใจและดำเนินตาม จะนำความคุ้มครองมาให้เราและจะเป็นที่พักพิงจากการล่อลวง ความชั่วร้าย และอันตรายอื่นๆ ที่เราพบเจอในปัจจุบัน
เราได้รับความคุ้มครองเมื่อเราแสวงหาพระวิญญาณบริสุทธิ์
การมีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตกับเราสามารถเป็นที่พักพิงและความคุ้มครองจากโลก พระเจ้าทรงสัญญาว่าถ้าออลิเวอร์ คาวเดอรีจะ “นำ [ของประทานแห่งการเปิดเผย] มาใช้” “สิ่งนี้จะปลดปล่อยเจ้าออกจากเงื้อมมือพวกศัตรูของเจ้า, ทว่า, หากไม่เป็นเช่นนั้น, พวกเขาจะสังหารเจ้าและนำจิตวิญญาณของเจ้าลงไปสู่ความพินาศ” (คพ. 8:4) สังเกตว่าโดยสุรเสียงของพระวิญญาณ ออลิเวอร์ คาวเดอรีจะได้รับความคุ้มครองจากความตายและบาป
การรับความจริงผ่านอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะคุ้มครองเราจากกฎเกณฑ์ของมนุษย์ จากคำเท็จและคำหลอกลวงของซาตาน พระเจ้าทรงสัญญาว่า “เพราะคนที่ฉลาดและรับความจริง, และ รับพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้นำทางของพวกเขา, และไม่ถูกหลอก—ตามจริงแล้วเรากล่าวแก่เจ้า, พวกเขาจะไม่ถูกโค่นและโยนเข้าไปในไฟ, แต่จะทนอยู่ได้ในวันนั้น” (คพ. 45:57; เน้นตัวเอน) อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เขียนความจริงในใจเราและคุ้มครองเราจากการหลอกลวง
แต่การเอาใจใส่การกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณมิได้หมายความว่าเราจะได้รับความคุ้มครองจากการทดลองทุกอย่าง ภาค 122 ของพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญาแสดงให้เห็นว่าแม้เมื่อมีค่าควร เราก็ยังจะประสบความทุกข์โศกและความท้าทาย ในทรรศนะและพระปรีชาญาณของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรง “ทราบเรื่องทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้” (คพ. 127:2) “สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้จะเป็นประสบการณ์แก่ [เรา], และจะเกิดขึ้นเพื่อความดี [ของเรา]” (คพ. 122:7)
เราได้รับความคุ้มครองเมื่อเราทำตามศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่
ในวันจัดตั้งศาสนจักร พระเจ้าทรงบัญชาวิสุทธิชนให้ฟังศาสดาพยากรณ์ดังนี้
“เจ้าจงเอาใจใส่ถ้อยคำและบัญญัติทั้งหมดของเขา ซึ่งเขาจะให้แก่เจ้าเมื่อเขาได้รับมัน, โดยเดินอยู่ในความบริสุทธิ์ทั้งมวลต่อหน้าเรา;
“เพราะคำของ [ประธานศาสนจักร] เจ้าจงรับ, ราวกับมาจากปากเราเอง, ด้วยความอดทนอย่างที่สุดและศรัทธา.
“เพราะโดยทำสิ่งเหล่านี้ประตูแห่งนรกจะเอาชนะเจ้าไม่ได้; แท้จริงแล้ว, และพระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำให้พลังแห่งความมืดกระจายไปต่อหน้าเจ้า, และทำให้ฟ้าสวรรค์สั่นสะเทือนเพื่อความดีของเจ้า, และรัศมีภาพของพระนามของพระองค์” (คพ. 21:4–6)
พระเจ้ารับสั่งกับเราในพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญาว่า “เขาทั้งหลายผู้ที่ไม่ยอมฟังสุรเสียงของพระเจ้า, ทั้งไม่ยอมฟังเสียงผู้รับใช้ของพระองค์, ทั้งไม่ใส่ใจ ถ้อยคำของบรรดาศาสดาพยากรณ์และอัครสาวก, จะถูกตัดขาดจากบรรดาผู้คน” (คพ. 1:14; เน้นตัวเอน)
การฟังและประยุกต์ใช้คำสอนของศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่จะนำความคุ้มครองและความปลอดภัยมาให้ เพราะท่านเหล่านั้นพูดถึงปัญหาปัจจุบันของเราและบอกเราว่าต้องทำอะไรเพื่อเอาชนะความท้าทายเหล่านี้ นับเป็นพรอย่างยิ่งที่มีโองการที่มีชีวิตอยู่ของพระเจ้า
ใน หลักคำสอนและพันธสัญญา 101:43–62พระเจ้าทรงใช้อุปมาเรื่องสวนมะกอกแสดงให้เห็นความสำคัญของการฟังศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่ อุปมาเปรียบเทียบศาสดาพยากรณ์กับยามบนหอสูง ในสมัยโบราณผู้คนสร้างหอสูงเพื่อให้ยามเห็นทั้งเมืองและเตือนผู้คนเมื่อศัตรูใกล้เข้ามา
อุปมาเริ่มดังนี้ “สร้างหอสูง, เพื่อคนหนึ่งจะมองเห็นแผ่นดินโดยรอบ, เพื่อ เป็นยามบนหอสูง, เพื่อต้นมะกอกของเราจะไม่ถูกหักโค่นเมื่อศัตรูจะมาปล้นสะดมและนำผลจากสวนองุ่นของเราไปเป็นของตนเอง” (ข้อ 45; เน้นตัวเอน)
เอ็ลเดอร์เอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ดแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองสอนเรื่องความคุ้มครองและพรที่มาจากการทำตามคำแนะนำของศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่ดังนี้ “พี่น้องชายหญิง ไม่ใช่เรื่องเล็กที่มีศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้าท่ามกลางพวกเรา … เมื่อเราได้ยินคำแนะนำของพระเจ้าผ่านถ้อยคำของประธานศาสนจักร เราควรตอบรับทันทีด้วยความยินดี เรื่องราวในอดีตแสดงให้เห็นว่ามีความปลอดภัย สันติ ความรุ่งเรือง และความสุขในการตอบรับคำแนะนำของศาสดาพยากรณ์เช่นนีไฟสมัยก่อนตอบรับ”1
สำคัญกว่าความคุ้มครองทางกายที่มาจากการฟังศาสดาพยากรณ์คือความคุ้มครองทางวิญญาณ เราต้องการความคุ้มครองทางวิญญาณอย่างยิ่ง เพราะ “ซาตานหมายมั่นจะหลอกลวงเจ้าด้วย, เพื่อเขาจะได้ล้มล้างเจ้า” (คพ. 50:3) การฟังศาสดาพยากรณ์คุ้มครองเราจากปรัชญาของโลกและ “เล่ห์กลอันแยบยลของมนุษย์, ซึ่งโดยการนั้นพวกเขาซุ่มคอยทีหลอกลวง” (คพ. 123:12)
เราได้รับความคุ้มครองเมื่อเราซื่อสัตย์ในชีวิตแต่งงาน
พระเจ้าทรงสัญญากับเราว่าพันธสัญญาใหม่และเป็นนิจของการแต่งงานสามารถดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ (ดู คพ. 132:19) หลักคำสอนเรื่องความสูงส่งนี้เป็นที่พักพิงจากความสัมพันธ์ผิดๆ ที่ระบาดทั่วโลก ถึงแม้เสียงมากมายของโลกอ้างว่าการแต่งงานเป็นเรื่องล้าสมัย ไม่สะดวก หรือไม่จำเป็น สุรเสียงของพระเจ้าประกาศว่า “ผู้ใดที่ห้ามการแต่งงานมิได้รับแต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้า, เพราะการแต่งงานได้รับแต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้าเพื่อมนุษย์” (คพ. 49:15)
พระเจ้าทรงสอนให้เรารู้วิธีคุ้มครองชีวิตแต่งงานของเราดังนี้ “เจ้าจงรักภรรยาของเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า, และจงแนบสนิทกับนางและหาใช่ใครอื่นไม่” (คพ. 42:22)
ประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ (1895–1985) อธิบายความหมายโดยรวมของพระบัญญัติข้อนี้ว่า
“เมื่อ พระเจ้าตรัสว่า สุด ใจของเจ้า นั่นหมายความว่าจะไม่ปันใจหรือแบ่งให้หรือถอดถอน และข้อนี้หมายถึงสตรีด้วย ‘เจ้าจงรักสามีของเจ้าด้วย สุด ใจของเจ้า, และจงแนบสนิทกับเขาและหาใช่ใครอื่นไม่’
“คำว่า หาใช่ใครอื่นไม่ ตัดทุกคนและทุกอย่างออกไป ดังนั้นคู่สมรสจึงมาก่อนสิ่งอื่นใดในชีวิตของสามีหรือภรรยา ไม่ว่าจะเป็นชีวิตทางสังคม อาชีพการงาน ชีวิตทางการเมือง หรือความสนใจใดๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้คนหรือสิ่งของ สิ่งเหล่านี้จะต้องไม่มีอิทธิพลเหนือคู่สมรสเป็นอันขาด”2
สิ่งที่เราดูมีผลต่อเราอย่างมากไม่ว่าดีหรือชั่ว ผมคิดว่านี่คือสาเหตุที่พระเจ้าทรงเตือนเราในข้อต่อไปนี้ “คนที่ มองดู หญิงด้วยตัณหาราคะในนางจะปฎิเสธความเชื่อ, และจะไม่มีพระวิญญาณ; และหากเขาไม่กลับใจ เขาพึงถูกขับออกไป” (คพ. 42:23; เน้นตัวเอน)
เพื่อได้รับความคุ้มครองจากการโจมตีของศัตรู ดวงตาและใจเราควรหันมามองคู่สมรสและพระเจ้าเท่านั้น เราต้องไม่ยอมให้ดวงตาของเราสอดส่ายหรือปรารถนาคนบางคนมากกว่าคู่สมรสของเรา เราต้องปิดประตูใจและความคิดของเราไว้เพื่อคุ้มครองเราจากการล่อลวง นี่คือสูตรสำเร็จของพระเจ้าในชีวิตแต่งงาน
เราได้รับความคุ้มครองเมื่อเรารับใช้งานเผยแผ่
เรามีโอกาสมากมายให้รับใช้พระเจ้าในศาสนจักร และพระเจ้าทรง “ยินดีจะยกย่องคนเหล่านั้นที่รับใช้ [พระองค์]” (คพ. 76:5) หลักธรรมสำคัญยิ่งหลายข้อมีสอนไว้ในพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญาเกี่ยวกับการรับใช้งานเผยแผ่
พระเจ้าทรงสัญญาว่า “มนุษย์คนใดที่จะไปสั่งสอนกิตติคุณนี้ของอาณาจักร, และไม่ล้มเหลวที่จะซื่อสัตย์ต่อไปในสิ่งทั้งปวง, จะไม่เหนื่อยล้าในความคิด, ทั้งไม่มืดมน, ในร่างกาย, แขนขา, หรือข้อต่อ; และผมบนศีรษะของเขาสักเส้นเดียวก็จะไม่ร่วงลงพื้นโดยไม่สังเกตเห็น. และพวกเขาจะไม่หิวโหย, หรือกระหายเลย” (คพ. 84:80) สังเกตว่าพระเจ้าไม่ทรงยกเว้นเราจากความยุ่งยากทั้งหลายแต่ทรงสัญญาว่าเราจะอยู่ในความดูแลของพระองค์
พระองค์ทรงเพิ่มเติมว่า “เราจะอยู่ทางขวามือเจ้าและทางซ้ายเจ้า, และพระวิญญาณของเราจะอยู่ในใจเจ้า, และเหล่าเทพของเราห้อมล้อมเจ้า, เพื่อประคองเจ้าไว้” (คพ. 84:88) หากเรารับใช้พระองค์ “เหตุการณ์จะบังเกิดขึ้นคือพลังจะอยู่กับเจ้า; เจ้าจะมีศรัทธามั่นคง, และเราจะอยู่กับเจ้าและไปเบื้องหน้าเจ้า” (คพ. 39:12) คนที่รับใช้งานเผยแผ่ด้วยสุดใจของพวกเขาได้รับสัญญาว่าพวกเขา “จะได้รับพรทั้งทางวิญญาณและทางโลก” (คพ. 14:11)
พระเจ้าทรงขยายความคุ้มครองดังกล่าวนี้ไปถึงครอบครัวของคนที่รับใช้ด้วย “เรา, พระเจ้า, ให้สัญญาแก่พวกเขาว่าเราจะจัดหาให้ครอบครัวพวกเขา; และประตูที่ให้ประสิทธิผลจะเปิดแก่พวกเขา, นับแต่นี้ไป” (คพ. 118:3)
และผู้สอนศาสนาที่ซื่อสัตย์ได้รับสัญญาว่า “บาปของเจ้าได้รับการให้อภัยแล้ว, และเจ้าจะหนักอึ้งไปด้วยฟ่อนข้าวบนหลังเจ้า” (คพ. 31:5) พรนี้เป็นที่พักพิงสำหรับจิตวิญญาณของเรา
เราได้รับความคุ้มครองเมื่อเราเชื่อฟังกฎส่วนสิบ
ในพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญาเราพบคำสอนต่อไปนี้เกี่ยวกับส่วนสิบ “ดูเถิด, บัดนี้ เรียกว่าวันนี้จนกว่าการเสด็จมาของบุตรแห่งพระมหาบุรุษ, และตามจริงแล้วเป็นวันแห่งการเสียสละ, และวันที่เราจะเก็บส่วนสิบจากผู้คนของเรา” (คพ. 64:23)
ผมชอบพูดว่ากฎส่วนสิบตรงข้ามกับคณิตศาสตร์เพราะ 90 จะมากกว่า 100 เมื่อเราถวายรายได้ของเราแด่พระเจ้า 10 เปอร์เซ็นต์ พระองค์ทรงสัญญาว่าจะ “เปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ให้เจ้า และเทพรอย่างล้นไหลมาให้เจ้าจนไม่มีที่พอรับมัน” (มาลาคี 3:10; ดู 3 นีไฟ 24:10 ด้วย)
เพื่อประเมินว่าศรัทธาของเราแรงกล้าเพียงใด เราสามารถมองดูเจตคติที่เรามีต่อกฎส่วนสิบได้ การจ่ายส่วนสิบไม่ใช่คำถามเรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องของศรัทธา
ประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์ ที่ปรึกษาที่หนึ่งในฝ่ายประธานสูงสุดสอนเราว่า “ถ้าเราตัดสินใจเดี๋ยวนี้ว่าจะเป็นผู้จ่ายส่วนสิบเต็มและพยายามเชื่อฟังเสมอ เราจะเข้มแข็งในศรัทธาและในไม่ช้าใจเราจะอ่อนลง นอกเหนือจากการบริจาคเงินหรือสิ่งของแล้ว การเปลี่ยนแปลงในใจเราผ่านการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ทำให้พระเจ้าทรงสัญญากับผู้จ่ายส่วนสิบเต็มว่าจะคุ้มครองพวกเขาในวันเวลาสุดท้าย [ดู คพ. 64:23] เรามีความมั่นใจได้ว่าเราจะคู่ควรกับพรของความคุ้มครองนั้นหากเราให้คำมั่นเดี๋ยวนี้ว่าจะจ่ายส่วนสิบเต็มและมุ่งมั่นทำเช่นนั้น”3
เราได้รับความคุ้มครองเมื่อเราเชื่อฟังพระคำแห่งปัญญา
เรามีชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่สารอันตรายมากมายคุกคามสุขภาพของเรา พระเจ้าทรงทราบว่าเราต้องพบเจออะไรบ้าง จึงทรงสอนศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธในปี 1833 ว่า “เนื่องจากความชั่วและแผนซึ่งมีและจะมีอยู่ในใจคนช่างคบคิดในวันเวลาสุดท้าย, เราเตือนเจ้าแล้ว, และเตือนเจ้าล่วงหน้า, โดยให้คำแห่งปัญญานี้แก่เจ้า” (คพ. 89:4)
คนที่รักษากฎแห่งสุขภาพของพระเจ้ามีสัญญาว่าพวกเขา “จะได้รับพลานามัยในสะดือพวกเขาและไขแก่กระดูกพวกเขา [สุขภาพร่างกาย]; และจะพบปัญญาและขุมทรัพย์แห่งความรู้, แม้ทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ [พรด้านสติปัญญาและวิญญาณ]; และจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย, และจะเดินและไม่อ่อนล้า [สุขภาพร่างกาย]
และพระเจ้าทรงสัญญาความปลอดภัยกับคนที่เชื่อฟังกฎนี้ว่า “และเรา, พระเจ้า, ให้สัญญาแก่พวกเขา, ว่าเทพผู้ทำลายจะผ่านพวกเขาไป, ดังลูกหลานของอิสราเอล, และไม่สังหารพวกเขา” (คพ. 89:18–21)
สัญญานี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ตาย เพราะความตายเป็นส่วนหนึ่งของแผนนิรันดร์ แต่ “เทพผู้ทำลาย ผู้มาลงโทษคนอธรรมเพราะบาปของพวกเขา เช่นที่เขาทำให้เกิดวิบัติแก่ชาวอียิปต์ในสมัยก่อนในความชั่วร้ายของคนเหล่านั้น [ดู อพยพ 12:23, 29] จะผ่านวิสุทธิชนไป”4
เราได้รับความคุ้มครองเมื่อเรายืนอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
พระเจ้าทรงบัญชาเราครั้งแล้วครั้งเล่าให้ “ยืนอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์” (ดู คพ. 45:32; 87:8; 101:22) โดยแท้แล้วพระวิหารของเราเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ (1876–1972) สอนดังนี้
“หากเราตระหนักว่าเวลานั้นเรากำลังทำอะไร เอ็นดาวน์เม้นท์จะคุ้มครองเราตลอดชีวิต—การคุ้มครองซึ่งคนไม่ไปพระวิหารไม่มี
“ข้าพเจ้าได้ยินบิดาข้าพเจ้า [ประธานโจเซฟ เอฟ. สมิธ] กล่าวว่าในโมงยามของการทดลอง ในโมงยามของการล่อลวง ท่านจะคิดถึงสัญญา พันธสัญญาที่ท่านทำในพระนิเวศน์ของพระเจ้าและสิ่งนี้คุ้มครองท่าน”5
โบสถ์และห้องเรียนในอาคารประชุมของศาสนจักรและบ้านของเราได้รับการอุทิศให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกับพระวิหาร สถานที่เหล่านี้ศักดิ์สิทธิ์หากคนที่อยู่ในนั้นมีใจบริสุทธิ์และดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า เมื่อเรารักษาพระบัญญัติ เราได้รับความเป็นเพื่อน การนำทาง และการปลอบโยนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากพระองค์ทรงสามารถเป็นเพื่อนเราได้เสมอ เมื่อนั้นเราจะยืนอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แน่นอน
สรุป
เราเคยเห็นความคุ้มครองหลายรูปแบบในพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญาที่พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ให้เราเมื่อเราหมายมั่นเรียนรู้และดำเนินชีวิตตามหลักธรรมเหล่านี้ เราอาจถามว่าจะพบความคุ้มครองนี้ที่ไหน
พระเจ้าผู้ทรงแสดงความรักและความเมตตาต่อวิสุทธิชนทรงสัญญาว่าพระองค์จะทรงอยู่กับเรา “จงรื่นเริงเถิด, เด็กน้อยเอ๋ย; เพราะเราอยู่ท่ามกลางเจ้า, และเรามิได้ทอดทิ้งเจ้า” (คพ. 61:36) “จงสดับฟัง, … พระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าตรัส, แม้พระเยซูคริสต์, ผู้วิงวอนแทนเจ้า, ผู้รู้ความอ่อนแอของมนุษย์และรู้ว่าจะช่วยคนเหล่านั้นที่ถูกล่อลวงได้อย่างไร” (คพ. 62:1)
เมื่อเรานำการชดใช้และคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์มาใช้ในชีวิตเรา เราจะได้รับความคุ้มครองและที่พักพิงซึ่งให้พลังเราปลดเปลื้องภาระของเรา เอาชนะบาปและความยุ่งยากทั้งหลาย และทำให้เราเป็นวิสุทธิชน