คนหนุ่มสาว
พระกิตติคุณ: สูตรลัดสู่ชีวิตนิรันดร์
ลอรี ฟูลเลอร์เป็นบรรณาธิการนิตยสาร เพื่อนเด็ก เธอชอบหาวงดนตรีใหม่ๆ ฟังข่าวทางวิทยุ และทำอาหารจากทั่วโลก บางครั้งก็เขียนเรื่องราวสัพเพเหระ
ท่านเคยคิดไหมว่าการรักษาพระบัญญัติทำให้ชีวิตง่ายขึ้นมากอย่างไร
เดือนที่แล้ว ดิฉันกับเพื่อนบางคนกำลังทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จทันสัปดาห์ของเรา เพื่อนคนหนึ่งบอกว่าเขากำลังรับภาระเรื่องการบำบัดโรคพิษสุราเรื้อรังของแม่ เขาอายุน้อยกว่าดิฉัน และฟังเหมือนเป็นภารกิจเลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ดึกคืนนั้น เราสนทนากันจนมาถึงเรื่องที่ว่าการสูบบุหรี่สิ้นเปลืองเพียงใดและคนที่เรารู้จักสูบบุหรี่วันละซองได้อย่างไร (คำนวณแล้วใช้เงินมากทีเดียว!) แม่ของเขาพยายามเลิกและกำลังอยู่ในอาการขาดสุรา แต่ลูกชายเธอมีความสุขมากที่เธอกำลังเลิก คุณพ่อของเขาเสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาด ทำให้การใช้ยาน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีกสำหรับลูกคนนี้
ในที่สุด การสนทนาของเราจบลงที่เรื่องกาแฟ—มีกี่คนดื่มทุกเช้า (บ่ายและบางครั้งกลางคืน) เวลานี้พวกเขางดลาเต้เพราะพวกเขาจ่ายทุกวันไม่ไหว
ขณะขับรถกลับบ้าน พลางคิดทบทวนเรื่องทั้งหมดที่เราสนทนากัน ดิฉันมีความคิดว่า “โดยพื้นฐานแล้วพระคำแห่งปัญญาคือสูตรลัดใหญ่ที่สุดของชีวิต” (ถ้าท่านไม่ทราบ “สูตรลัดของชีวิต (life hack)” คือวิธีทำให้ชีวิตท่านง่ายขึ้น ดำเนินชีวิตมีประสิทธิผลมากขึ้น ฯลฯ ตามที่บางคนอธิบายไว้ทางออนไลน์ สูตรลัดของชีวิตคือสิ่งที่เรารู้กันว่าเป็น “แนวคิดที่ดี”) ประหนึ่งพระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “นี่เป็นวิธีช่วยเจ้าออมเงิน ช่วยให้เจ้ามีสุขภาพดี คุ้มครองลูกๆ ของเจ้า และหลีกเลี่ยงภาระทางอารมณ์ที่น่ากลัว รวมถึงการเสพติดของเจ้าเองและของผู้อื่น” ราวกับว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงคาดหวังให้เราประสบปัญหาทั้งหมดแต่เปิดทางให้เราเลี่ยงได้ครึ่งเดียว …
เกี่ยวกับพระบัญญัติทุกข้อของพระผู้เป็นเจ้า เราเลือกได้ว่าจะทำตามหรือเพิกเฉย แต่เมื่อดิฉันนึกถึงพระคำแห่งปัญญาว่าเหมือนเป็นแนวทางชุดหนึ่งจากพระผู้เป็นเจ้าที่ทั้งคาดหวังและคุ้มครองเราจากความท้าทายมากมาย ดิฉันคิดว่า “จะเป็นอย่างไรถ้าพระบัญญัติทุกข้อของพระผู้เป็นเจ้าได้ผลแบบนั้น” จะเป็นอย่างไรถ้าพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงรักเรา ผู้ทรงประสบชีวิตนี้และความท้าทายของชีวิตนี้มาแล้วได้ประทานหนังสือคู่มือไว้ช่วยให้เราอยู่ในโลกอย่างไร้ความเจ็บปวด และจะเป็นอย่างไรถ้าพระองค์ประทานพระบัญญัติให้เราเพราะทรงรักเราและทรงต้องการคุ้มครองเรา
ท่านต้องการพอใจกับสิ่งที่ท่านมี มีความสุขและความสำนึกคุณหรือไม่ “ห้ามโลภบ้านเรือนของเพื่อนบ้าน” (อพยพ 20:17)
ท่านต้องการหลีกเลี่ยงความรู้สึกผิด การถูกคุมขัง ค่าประกันตัวแพงลิ่วและค่าธรรมเนียมศาลหรือไม่ ท่านต้องการรักษาความไว้วางใจและความเคารพจากผู้คน—และงานของท่านหรือไม่ “ห้ามลักขโมย” (อพยพ 20:15)
ท่านต้องการอยู่ใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าเพื่อพระองค์จะทรงนำทาง ทรงชี้นำท่านและช่วยท่านแบกภาระหรือไม่ “จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า” (มัทธิว 22:37)
มีอีกนับไม่ถ้วน พระบัญญัติทุกข้อสามารถคุ้มครองเราจากความปวดร้าวใจ ทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น ปกป้องเราไม่ให้เดือดร้อน หรือช่วยให้เราพบสันติสุข เราได้รับพรทั้งหมดนี้ด้วยความพยายามไม่มากในส่วนของเราและความไม่สะดวกเพียงเล็กน้อย (ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง!)
ดิฉันไม่ต้องการลดค่าพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าให้เป็นเพียงแนวทางหรือสูตรลัดที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต พระบัญญัติเป็นยิ่งกว่านั้น แต่เรียบง่ายอย่างยิ่ง พระบิดาบนสวรรค์ไม่ทรงสามารถคุ้มครองเราจากทุกอย่างได้ แต่ในฐานะพระบิดาผู้ทรงรักเรา พระองค์ทรงประสงค์จะเตรียมเราและคุ้มครองเราจากผลเสียของการเลือกของเรา—โดยทรงนำทางให้เราเลือกได้ดีขึ้น
แน่นอนว่า เรารักษาพระบัญญัติแต่ก็ยังมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นได้ แล้วจะทำไปทำไม
เพราะเราจะไม่มีวันรู้ว่าเรา กำลัง ได้รับความคุ้มครองจากอะไรผ่านการเชื่อฟังของเรา เพราะการเชื่อฟังช่วยให้เราเป็นอิสระจากชีวิตที่เกิดบาดแผลโดยตัวเราเอง เพราะการเชื่อฟังช่วยให้เราอยู่ใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้า เพราะการเชื่อฟังช่วยให้เรายอมกลับใจเมื่อเราเลือกผิด เพราะเราวางใจว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงทราบว่าจะประทานพรและทรงคุ้มครองเราอย่างไร
มีอีกนับไม่ถ้วน เหตุผลที่จะ ไม่ รักษาพระบัญญัติยาวกว่านั้นมาก
ไม่ว่าดีหรือร้าย พระผู้เป็นเจ้าทรงปล่อยให้ดิฉันเลือกว่าดิฉันต้องการเชื่อฟังเพียงใด ดิฉัน ต้องเลือกว่าจะเปิดตัวมากเพียงใดเพื่อรับพรที่พระองค์ทรงมีให้ดิฉัน แล้วเหตุใดจึงรักษาพระบัญญัติ เพราะดิฉันต้องการให้ชีวิตเปิดรับความช่วยเหลือที่พระผู้เป็นเจ้าทรงพยายามมอบให้