2019
ปฏิบัติศาสนกิจในวิธีที่ศักดิ์สิทธิ์กว่า
มิถุนายน 2019


ปฏิบัติศาสนกิจ ในวิธีที่ศักดิ์สิทธิ์กว่า

จากคำปราศรัยการให้ข้อคิดทางวิญญาณเรื่อง “วิธีปฏิบัติศาสนกิจที่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้น” ที่มหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์ วันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 2018

ข้าพเจ้าสัญญาว่าเมื่อท่านรักพระผู้เป็นเจ้าสุดหัวใจและสวดอ้อนวอนขอให้เป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระองค์ พระเจ้าจะทรงวางบุตรธิดาที่พิเศษของพระองค์ไว้ในเส้นทางของท่าน

women sitting on bench

หนังสือชื่อ The Narcissism Epidemic เริ่มด้วยตัวอย่างเกินจริงของวัฒนธรรมอเมริกาสมัยใหม่ดังนี้

“ในรายการเรียลิตี้ทีวี หญิงสาวคนหนึ่งที่วางแผนจัดงานเลี้ยงวันเกิดครบ 16 ปีต้องการให้กั้นถนนสายหลักเพื่อวงโยธวาทิตจะสามารถนำเธอเดินบนพรมแดงเข้าไปในงานเลี้ยงได้ หนังสือชื่อ My Beautiful Mommy อธิบายเรื่องการทำศัลยกรรมตกแต่งให้เด็กที่คุณแม่ของพวกเขากำลังจะรับการผ่าตัด ‘เปลี่ยนโฉมคุณแม่’ ตามสมัยนิยม สมัยนี้อาจมีการว่าจ้างปาปารัซซี่ตัวปลอมให้ตามไปแอบถ่ายรูปท่านเมื่อท่านออกนอกบ้านตอนกลางคืน—ถึงขนาดว่าท่านสามารถนำนิตยสารคนดังตัวปลอมกลับบ้านได้โดยมีภาพถ่ายเหล่านั้นขึ้นปก เพลงยอดนิยมประกาศโดยไม่มีคำพูดประชดประชันแต่อย่างใดว่า ‘ฉันเชื่อว่าโลกควรหมุนรอบตัวฉัน!’ … เด็กน้อยใส่ผ้ากันเปื้อนที่ปักคำว่า ‘นางแบบแนวหน้า’ … และดูดจุกนม ‘กากเพชร’ ขณะพ่อแม่อ่านเพลงกล่อมเด็กสมัยใหม่จาก This Little Piggey Went to Prada (เจ้าหมูน้อยไปร้านปราดา)1

ในฐานะสานุศิษย์ของพระเยซูคริสต์ เราปฏิเสธความคิดที่ว่าชีวิตเราล้วนเกี่ยวข้องกับตัวเรา แต่เราทำตามพระผู้ช่วยให้รอดผู้ตรัสว่า

“ถ้ามีใครต้องการเป็นใหญ่ในพวกท่าน คนนั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติของท่าน

“และถ้าใครต้องการจะเป็นนาย คนนั้นจะต้องเป็นทาสของพวกท่าน

“… บุตรมนุษย์ … ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อปรนนิบัติคนอื่น และให้ชีวิตของท่านเป็นค่าไถ่คนจำนวนมาก” (มัทธิว 20:26–28)

เราเห็นค่าพระดำรัสของพระองค์ที่ว่า

“เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” (ยอห์น 13:34; ดู ยอห์น 15:12 ด้วย)

“จงเลี้ยงดูลูกแกะของเราเถิด … จงดูแลแกะของเราเถิด” (ยอห์น 21:15, 16)

“เมื่อท่านหันกลับแล้ว จงชูกำลังพี่น้องทั้งหลายของท่าน” (ลูกา 22:32)

“ช่วยเหลือคนอ่อนแอ, ยกมือที่อ่อนแรง, และให้กำลังเข่าที่อ่อนล้า” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 81:5)

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการปฏิบัติศาสนกิจแบบพระคริสต์ที่เกิดขึ้นในหมู่สมาชิกศาสนจักรของพระเจ้า นักศึกษาคนหนึ่งที่มหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์ เขียนเมื่อไม่นานมานี้ว่า

“ดิฉันกำลังประสบช่วงที่ลำบากมาก วันหนึ่งดิฉันทุกข์ใจมากและเกือบจะร้องไห้ ดิฉันทูลวิงวอนและสวดอ้อนวอนในใจขอให้มีพลังก้าวเดินต่อไป ในทันใดนั้น เพื่อนร่วมห้องส่งข้อความมาแสดงความรักต่อดิฉัน เธอแบ่งปันพระคัมภีร์ข้อหนึ่งและแสดงประจักษ์พยาน นั่นทำให้ดิฉันเกิดพลัง ความอบอุ่นใจ และความหวังอย่างมากในชั่วขณะของความสิ้นหวัง”

young adult looking at her phone

ข้าพเจ้าขอแบ่งปันความคิดบางประการที่หวังว่าจะเสริมวิธีปฏิบัติศาสนกิจที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้วของท่านต่อกัน ประเด็นแรกของข้าพเจ้าคือ จงจดจำพระบัญญัติข้อแรกก่อนท่านจะใช้ข้อสอง ชายหนุ่มคนหนึ่งมาหาพระผู้ช่วยให้รอดและทูลถามว่า

“ท่านอาจารย์ ในธรรมบัญญัตินั้น พระบัญญัติข้อไหนสำคัญที่สุด?

“พระเยซูทรงตอบเขาว่า จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน และด้วยสุดความคิดของท่าน

“นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก

“ข้อที่สองก็เหมือนกันคือจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” (มัทธิว 22:36–39)

ท่านจะสามารถนำวิธีที่ศักดิ์สิทธิ์กว่ามาใช้รักเพื่อนบ้านของท่าน ดูแลและปฏิบัติศาสนกิจต่อผู้อื่นได้ดีเพียงใดนั้นจะขึ้นอยู่กับว่าท่านรักษาพระบัญญัติข้อแรกเข้มแข็งเพียงใด

การปฏิบัติศาสนกิจอีกแบบหนึ่ง

มีของขวัญล้ำค่าหาใดเสมอเหมือนของการปฏิบัติศาสนกิจที่มาจากผู้รักพระผู้เป็นเจ้าสุดหัวใจของเขา ผู้หนักแน่น มั่นคง แน่วแน่ และไม่หวั่นไหวในศรัทธาในพระเยซูคริสต์และในพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟู (ดู เอเฟซัส 3:17; โคโลสี 1:23; 1 นีไฟ 2:10; โมไซยาห์ 5:15; แอลมา 1:25; 3 นีไฟ 6:14) และผู้รักษาพระบัญญัติอย่างครบถ้วน

ข้าพเจ้าขอให้บริบทบางอย่างที่ท่านทราบอยู่แล้ว คนรุ่นลูกรุ่นหลานทั่วโลกกำลังสูญเสียศรัทธาของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสูญเสียความเชื่อของตนในศาสนา เมื่อข้าพเจ้าสำเร็จการศึกษาจากบีวายยูในปี 1975 จำนวนคนหนุ่มสาว (อายุ 18 ถึง 24 ปี) ที่นับถือศาสนามีเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันอยู่ที่ 66 เปอร์เซ็นต์ “คนหนุ่มสาวหนึ่งในสามไม่นับถือศาสนาใด”2

ในปี 2001 โรเบิร์ต ซี. ฟูลเลอร์นักวิชาการศาสนาเขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Spiritual, But Not Religious (เน้นจิตวิญญาณแต่ไม่นับถือศาสนา)3 แนวโน้มที่จะฝักใฝ่ทางวิญญาณโดยไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรศาสนาอย่างเป็นกิจลักษณะอาจจะจริงเมื่อ 20 ปีก่อน แต่ปัจจุบันนี้ไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว เวลานี้คนหนุ่มสาวในสหรัฐสวดอ้อนวอนน้อยลง เชื่อในพระผู้เป็นเจ้าน้อยลง เชื่อในพระคัมภีร์ไบเบิลน้อยลง และเชื่อในพระบัญญัติน้อยลง4 เป็นความไร้เดียงสาที่จะเชื่อว่าแนวโน้มของโลกไม่สามารถมีอิทธิพลต่อเราทุกคน—แม้แต่คนที่ทรงเลือกไว้

การดูแลผู้อื่นทั้งทางกายและทางอารมณ์เรียกร้องใจที่ละเอียดอ่อนและไม่เห็นแก่ตัว การดูแลดังกล่าวเป็นส่วนสำคัญของพระกิตติคุณ คนดีทั้งผู้เชื่อและไม่เชื่อทำการดูแลนี้ทั้งในและนอกศาสนจักร คนดีมีน้ำใจมีอยู่มากมายทั่วโลก เราสามารถเรียนรู้จากพวกเขา

แต่กับสมาชิกที่เปลี่ยนใจเลื่อมใสศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายแล้วนี่การปฏิบัติศาสนกิจอีกแบบหนึ่ง ในฐานะสานุศิษย์ของพระผู้ช่วยให้รอด เรามีโอกาสให้ปฏิบัติศาสนกิจในวิธีที่จะช่วยกันไม่ให้ศรัทธาของเพื่อนคลอนแคลน ที่เตือนสติเพื่อนร่วมห้องอย่างอ่อนโยนว่าการอ่านพระคัมภีร์มอรมอนทุกวันทำให้เกิดปาฏิหาริย์จริงๆ และแสดงให้สมาชิกวอร์ดเห็นว่ามาตรฐานของศาสนจักรไม่ใช่แค่กฎแต่เป็นวิธีทำให้เราใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าเสมอและเกิดความสุข

changing a tire

ภาพถ่ายจาก Getty Images

คนที่มีจิตใจดีสามารถช่วยคนบางคนปะยางรถ พาเพื่อนบ้านไปพบแพทย์ รับประทานอาหารกลางวันกับคนเศร้าหมอง หรือยิ้มและกล่าวทักทายเพื่อทำให้วันนั้นเบิกบานมากขึ้น แต่ผู้ทำตามพระบัญญัติข้อแรกจะเพิ่มเติมการรับใช้ที่สำคัญเหล่านี้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยให้กำลังใจคนที่รักษาพระบัญญัติได้เป็นอย่างดีและให้คำปรึกษาที่ชาญฉลาดเพื่อเสริมสร้างศรัทธาของคนที่กำลังสูญเสียศรัทธาหรือต้องการให้ช่วยนำกลับเข้ามาอยู่บนเส้นทางที่เคยเดิน

ข้าพเจ้าท้าทายท่านให้พยายามปฏิบัติศาสนกิจต่อกันทางวิญญาณมากขึ้น การปฏิบัติศาสนกิจทางวิญญาณเริ่มได้ด้วยการอบคุกกี้หรือเล่นบาสเกตบอลด้วยกัน แต่สุดท้ายแล้ว วิธีปฏิบัติศาสนกิจที่ศักดิ์สิทธิ์กว่านี้เรียกร้องให้เปิดใจท่านและศรัทธาของท่าน กล้าส่งเสริมการเติบโตด้านบวกที่ท่านเห็นในเพื่อน พูดถึงข้อกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านเห็นและรู้สึกว่าไม่สอดคล้องกับการเป็นสานุศิษย์

ขอให้เราอย่าคิดว่าตนชอบธรรม แต่ขอให้เรากล้าหาญทางวิญญาณในการปฏิบัติศาสนกิจในวิธีที่ศักดิ์สิทธิ์กว่า โดยเฉพาะการเสริมสร้างศรัทธาของผู้อื่น เพื่อจุดประกายความคิดของท่าน ลองพิจารณาสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้เหล่านี้:

  • ท่านสังเกตเห็นเพื่อนคนหนึ่งใช้เวลาเล่นเกมบนสมาร์ทโฟนมากเกินไปและไม่ค่อยร่วมสนทนาเกี่ยวกับหัวข้อพระกิตติคุณ

  • ท่านรู้สึกว่าสมาชิกวอร์ดคนหนึ่งอาจมีปัญหาเรื่องสื่อลามก

  • เพื่อนๆ ของท่านใช้เวลามากกับการถ่ายรูปและโพสต์รูปตัวเองที่เกือบจะดูไม่สุภาพ

  • ท่านสังเกตเห็นคนบางคนที่ดูเหมือนจะเคยชอบพูดคุยเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอนแต่เดี๋ยวนี้ไม่พูดถึงเลย

  • ท่านสังเกตเห็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวที่ดูเหมือนจะเคยชอบไปพระวิหารแต่เดี๋ยวนี้ไม่ไป

  • ท่านสังเกตเห็นเพื่อนคนหนึ่งที่เคยพูดด้วยศรัทธาเกี่ยวกับคำแนะนำของศาสดาพยากรณ์แต่เดี๋ยวนี้วิพากษ์วิจารณ์

  • ท่านรู้จักอดีตผู้สอนศาสนาคนหนึ่งที่ไม่สนใจจะสวมเสื้อผ้าให้สะท้อนถึงพันธสัญญาพระวิหาร

  • ท่านสังเกตเห็นสมาชิกวอร์ดคนหนึ่งหาเหตุไปที่อื่นในวันอาทิตย์แทนที่จะไปโบสถ์

  • ท่านรู้สึกว่าเพื่อนคนหนึ่งเริ่มไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ

  • ท่านรู้จักคนที่มีแสงสว่างในดวงตาหลังกลับจากงานเผยแผ่ แต่เดี๋ยวนี้แสงนั้นเลือนหายไป

  • ท่านมีเพื่อนคนหนึ่งที่ล้อเลียนเรื่องศักดิ์สิทธิ์

  • ท่านมีเพื่อนคนหนึ่งที่ความท้อแท้เรื่องการออกเดททำให้คิดว่า “พระผู้เป็นเจ้าไม่รักฉัน”

  • ท่านเห็นศรัทธาของเพื่อนได้รับผลจากความมีค่าควรแบบครึ่งๆ กลางๆ และต้องกลับใจ

ท่านนึกภาพสถานการณ์เหล่านี้หรือสถานการณ์คล้ายกันออกหรือไม่ มีชื่อใครเข้ามาในความคิดท่านหรือไม่ อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า “เราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับพวกภูตผีที่ครอบครอง พวกภูตผีที่มีอำนาจ พวกภูตผีที่ครองพิภพในยุคมืดนี้ ต่อสู้กับพวกวิญญาณชั่วในสวรรคสถาน” (เอเฟซัส 6:12) ความจำเป็นเร่งด่วนที่สุดอย่างหนึ่งทั่วโลกคือการมีศรัทธามากขึ้นในพระบิดาบนสวรรค์และพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ และเต็มใจทำตามพระบัญญัติมากขึ้น

การปฏิบัติศาสนกิจต่อคนๆ หนึ่ง

elderly men talking

ถ้าเราทำตามแบบแผนของพระผู้ช่วยให้รอด การปฏิบัติศาสนกิจส่วนใหญ่ของเราจะเป็นการปฏิบัติศาสนกิจจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่ง พระผู้ช่วยให้รอดตรัสกับหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำว่า

“ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก

“แต่คนที่ดื่มน้ำที่เราจะให้กับเขานั้นจะไม่มีวันกระหายอีกเลย …

“นางทูลพระองค์ว่า ท่านเจ้าคะ ขอน้ำนั้นให้ดิฉันเถิด เพื่อดิฉันจะได้ไม่กระหายอีก …

“[เธอทูลต่อจากนั้นว่า] ดิฉันทราบว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงชี้แจงทุกสิ่งแก่เรา

“พระเยซูตรัสกับนางว่า เราผู้ที่พูดกับเธอเป็นผู้นั้น” (ดู ยอห์น 4:13–15, 25–26)

แม้ในขณะประกาศความเป็นพระเจ้าของพระเยซู พระองค์ยังทรงปฏิบัติศาสนกิจต่อคนๆ หนึ่ง

ไม่เหมือนการเปลี่ยนยางรถ ประสบการณ์การปฏิบัติศาสนกิจแค่ครั้งเดียวจะไม่แก้ปัญหาทางวิญญาณ จะต้องใช้เวลา การสนทนา และประสบการณ์การให้กำลังใจที่จะช่วยสร้างศรัทธาขึ้นใหม่ จะมาเหมือนหยาดน้ำค้างจากสวรรค์มากกว่ามารวดเดียวจากท่อดับเพลิง ท่านต้องปฏิบัติศาสนกิจครั้งแล้วครั้งเล่าขณะช่วยให้คนบางคนกลับมาหาพระผู้เป็นเจ้าและพึ่งพาพระผู้ช่วยให้รอดและการชดใช้ของพระองค์อีกครั้ง

เพื่อปฏิบัติศาสนกิจในวิธีของพรเจ้า เราต้องได้รับความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันพูดเรื่องนี้อย่างมีพลังในระหว่างการประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายน 2018 “ในวันข้างหน้า เราจะรอดทางวิญญาณไม่ได้หากปราศจากอิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มีให้ตลอดเวลา ทั้งนำทาง ชี้ทาง และปลอบโยน”5

ประธานเนลสันเพิ่มเติมว่า “ข้าพเจ้าขอให้ท่านเพิ่มพูนความสามารถทางวิญญาณปัจจุบันในการรับการเปิดเผยส่วนตัว”6 ท่านแนะนำให้เราสวดอ้อนวอน ฟัง จดความคิดของเรา และลงมือปฏิบัติ

เราจะประยุกต์ใช้สิ่งนี้กับการปฏิบัติศาสนกิจในวิธีที่ศักดิ์สิทธิ์กว่าได้หรือไม่ ขอให้เราสวดอ้อนวอน ฟัง บันทึกความคิดของเรา และลงมือปฏิบัติเกี่ยวกับคนที่เราสามารถปฏิบัติศาสนกิจต่อพวกเขาได้

สวดอ้อนวอนขอให้มีโอกาสสร้างศรัทธาในผู้อื่น ใช่ว่าทุกคนที่ท่านช่วยจะเป็นคนที่ท่านรู้จัก เมื่อพระเยซูทรงปฏิบัติศาสนกิจต่อหญิงม่ายชาวนาอิน พระองค์ทรงอยู่ระหว่างทางไปเมืองนั้น แต่พระองค์ทรงเห็นเธอ ทรงสงสารเธอ และทรงทำให้บุตรชายของเธอฟื้นจากความตาย การปฏิบัติศาสนกิจของพระองค์เปลี่ยนชีวิตเธอ (ดู ลูกา 7:11–15)

สวดอ้อนวอนขอให้โอกาสการปฏิบัติศาสนกิจมาถึงท่าน ฟัง จดความคิดของท่าน แล้วลงมือปฏิบัติทันทีเมื่อเจอผู้คน

ข้าพเจ้าสะเทือนใจเสมอกับเสียงร้องของผู้เขียนสดุดี “มองทางขวาข้าพระองค์ … ไม่มีใครเหลียวแลข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่มีที่หลบภัย ไม่มีใคร [ชายหรือหญิงคนใด] ห่วงใยข้าพระองค์” (สดุดี 142:4) ขอให้เราช่วยคนที่รู้สึกแบบนี้

จัดสรรเวลาให้พระวิญญาณ

เพื่อได้รับความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราต้องเตรียมความคิดและจิตใจเราให้พร้อม ในรุ่นเรา เราต้องการวินัยและความยับยั้งชั่งใจในการใช้อุปกรณ์เทคโนโลยี อดัม อัลเทอร์พูดไว้ในหนังสือของเขาชื่อ Irresistible เกี่ยวกับพฤติกรรมเสพติดเทคโนโลยีและสื่อสังคม เขาอ้างคำพูดของเกรก ฮอชมุธหนึ่งในวิศวกรก่อตั้งอินสตาแกรมผู้แสดงความเห็นว่า “ยังมีแฮชเท็กอื่นให้คลิกเสมอ พอคลิกก็คล้ายแฮชแท็กจะมีชีวิตขึ้นมาเหมือนสิ่งมีชีวิตและคนเราจะถูกครอบงำได้”7

คุณอัลเทอร์เพิ่มเติมว่า “อินสตาแกรมเหมือนแพลตฟอร์มสื่อสังคมอีกมากมายคือคลิกอ่านได้ไม่สิ้นสุด เฟซบุ๊กมีฟีดไม่รู้จบ Netflix เลื่อนให้ดูซีรีย์ตอนต่อไปโดยอัตโนมัติ แอปพลิเคชัน Tinder กระตุ้นให้ผู้ใช้ปัดไปค้นหาตัวเลือกที่ดีกว่า … ทริสทาน แฮร์ริส ‘นักจริยธรรมด้านการออกแบบ’ กล่าวว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนขาดพลังควบคุมตนเอง แต่อยู่ที่ ‘มีคนเป็นพันบนอีกด้านหนึ่งของจอที่งานของพวกเขาคือทำลายการควบคุมตนเองที่คุณมี”8

คุณอัลเทอร์กล่าวต่อไปว่า “ไลค์บนเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมทำให้คุณรู้สึกดีทางระบบประสาท เหมือนเป็นรางวัลของการแข่งเกม World of Warcraft หรือเห็นผู้ใช้ทวีตเตอร์หลายพันคนแบ่งปันทวีตหนึ่งของท่าน คนที่สร้างและผลิตเทคโนโลยี เกม และประสบการณ์เชิงโต้ตอบล้วนเก่งมากกับสิ่งที่พวกเขาทำ พวกเขาทำการทดสอบหลายพันครั้งกับผู้ใช้หลายล้านคนเพื่อให้รู้ว่าการปรับเปลี่ยนใดได้ผลและไม่ได้ผล—สีพื้น แบบอักษร และโทนเสียงใดดึงดูดมากที่สุดและชวนหงุดหงิดน้อยที่สุด เมื่อประสบการณ์พัฒนาขึ้นก็จะกลายเป็นเวอร์ชั่นที่ใช้เป็นอาวุธและต้านไม่อยู่ ในปี 2004 เฟซบุ๊กเป็นสิ่งบันเทิงใจ แต่ปัจจุบันเป็นสิ่งเสพติด”9

เพื่อให้พระวิญญาณสถิตกับเรา เราต้องรู้กาลเทศะ เรียนรู้ว่าต้องวางสมาร์ทโฟนของท่าน กำหนดเวลาที่ท่านตั้งใจจะไม่ใช้เทคโนโลยี

two women talking

ในระหว่างการประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายน 2018 ประธานเอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ด รักษาการประธานโควรัมอัครสาวกสิบสองกล่าวว่า “มีผู้คนมากเกินไปที่ปล่อยให้ตนเองใช้ชีวิตเกือบทั้งหมดกับการออนไลน์ด้วยอุปกรณ์ทันสมัย—จอที่ส่องแสงบนใบหน้าพวกเขาทั้งวันทั้งคืนพร้อมการเสียบหูฟังซึ่งสกัดกั้นพวกเขาออกจากเสียงสงบแผ่วเบาของพระวิญญาณ ถ้าเราไม่หาเวลาถอดหูฟัง เราอาจพลาดโอกาสที่จะได้ยินสุรเสียงของพระองค์ผู้ตรัสว่า ‘จงนิ่งเสีย และรู้เถิดว่า เราคือพระเจ้า’ [สดุดี 46:10] ไม่มีอะไรผิดที่เราใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า แต่เราต้องฉลาดในการใช้สิ่งเหล่านี้”10

การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กัน

สมัยข้าพเจ้าเรียนปริญญาตรีที่บีวายยู นอกจากเคธีภรรยาข้าพเจ้าผู้ซึ่งอิทธิพลนิรันดร์ของเธอไม่อาจวัดได้แล้ว เพื่อนร่วมห้องสองคน—คนหนึ่งก่อนข้าพเจ้าเป็นผู้สอนศาสนาและอีกคนหลังข้าพเจ้าเป็นผู้สอนศาสนา—ก่อร่างสร้างฐานทางวิญญาณให้ข้าพเจ้าอย่างมาก คนหนึ่งคือรีด รอบิสัน ปัจจุบันเป็นอาจารย์ที่บีวายยูสาขาพฤติกรรมองค์กร ข้าพเจ้าพบเขาในช่วงเป็นผู้สอนศาสนา และเราเป็นเพื่อนร่วมห้องหลังจากนั้น ความเคร่งครัดของรีดในการทำตามพระบัญญัติ ความรักที่เขามีต่อศาสดาพยากรณ์ และประจักษ์พยานอันไม่สั่นคลอนของเขาในพระผู้ช่วยให้รอดทำให้ข้าพเจ้าและทุกคนที่อยู่รอบข้างเขาเข้มแข็ง เขายังคงเป็นแบบอย่างสำหรับข้าพเจ้าตลอด 45 ปีที่ผ่านมา

เพื่อนร่วมห้องอีกคนที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงคือเทอร์เรล เบิร์ด ปัจจุบันอาศัยอยู่ในเซนต์จอร์จ รัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา ข้าพเจ้าพบเทอร์เรลสมัยเรียนมัธยมปลายด้วยกันในเมืองโปคาเทลโล รัฐไอดาโฮ สหรัฐอเมริกา แม้จะเล่นบาสเกตบอลด้วยกัน แต่มิตรภาพของเราเกิดขึ้นขณะข้าพเจ้าสังเกตวุฒิภาวะทางวิญญาณของเขา เขาจะแบ่งปันข้อคิดทางวิญญาณที่มีและหลักธรรมของชีวิตที่เขากำลังอ่านและเรียนรู้อย่างตรงไปตรงมา ข้าพเจ้าประหลาดใจที่ได้ยินสิ่งเหล่านี้จากเด็กหนุ่มอายุ 17 ปี เราตัดสินใจพักห้องเดียวกันที่บีวายยู

สมัยนั้นเราไม่มีคอมพิวเตอร์ มีแต่เครื่องพิมพ์ดีด เทอร์เรลจะนำข้อพระคัมภีร์ที่มีความหมายต่อเขาและคำพูดอ้างอิงที่บ่มเพาะอุปนิสัยมาพิมพ์แล้วเก็บไว้ในกล่องเล็กๆ เพื่อเขาจะหยิบออกมาอ่านได้บ่อยๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะมีข้อพระคัมภีร์และคำพูดอ้างอิงมากกว่าหนึ่งพันข้อ ซึ่งเขาจะท่องจำหลายข้อ ถึงแม้ข้าพเจ้าจะทำงาน—ทำความสะอาดห้องสมุดทุกเช้าตั้งแต่ตีสี่ถึงเจ็ดโมงเช้า—และเรียนทุกวิชา แต่พอเห็นเทอร์เรลทำแบบนั้นข้าพเจ้าจึงเริ่มสร้างกล่องไฟล์ของตัวเองบ้าง

นี่เป็นข้อความอ้างอิงตอนหนึ่งที่ข้าพเจ้ายังจำได้จากเมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้ว:

จิตใจเป็นนายที่มีอำนาจเสกสรรและสร้างเสริม

มนุษย์คือจิตใจ และเขาใช้จิตใจไม่จบสิ้น

จิตใจเป็นเครื่องมือของความคิดและหล่อหลอมเจตจำนง

ก่อเกิดความสุขนับพันและความทุกข์นับพัน :—

ใจคิดอย่างไร เหตุที่เกิดขึ้นก็เป็นไปอย่างนั้น

สภาพแวดล้อมคือกระจกเงาของตัวตน11

แน่นอนว่าข้าพเจ้าจำพระคัมภีร์อันเปี่ยมด้วยพลังอย่างข้อนี้ได้ด้วย

“เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย คนที่วางใจในเราจะมีชีวิตอีกแม้ว่าเขาจะตายไป

“และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย” (ยอห์น 11:25–26)

เทอร์เรลช่วยเหลือข้าพเจ้าสมัยเป็นนักศึกษาปีหนึ่งที่บีวายยูให้ใส่คำในพระคัมภีร์และคำคมต่างๆ ไว้ในจิตใจซึ่งมีอิทธิพลต่อข้าพเจ้าตลอดชีวิต ข้าพเจ้าขอบคุณรีด รอบิสัน และเทอร์เรล เบิร์ดที่ดูแลข้าพเจ้าทางวิญญาณในช่วงเวลาสำคัญของชีวิต

ต่อไปนี้เป็นบทกวีที่แต่งโดยโธมัส แอล. เคย์เพื่อนบ้านของข้าพเจ้า:

ขอบพระทัยพระผู้เป็นเจ้าสำหรับคนทั้งหลายผู้บรรเทาทุกข์คลาย

สำหรับผู้ห่วงใยอย่างแท้จริง

ผู้โอบกอดคนอ่อนแอ

ผู้เผื่อแผ่ความห่วงใยในคำสวดอ้อนวอน

ขอบพระทัยพระผู้เป็นเจ้าสำหรับผู้ได้ยินเสียงหัวใจ

และฟังเสียงถัอยคำที่บรรยาย

ผู้รู้ว่าสีหน้าหรือสัมผัสที่อ่อนโยนนั้นไซร้

มีความหมายมากกว่าสิ่งใดในโลก

ขอบพระทัยพระผู้เป็นเจ้าสำหรับผู้ช่วยยกมือที่อ่อนแรง

และเสริมความเข้มแข็งให้เข่าที่อ่อนล้า

ผู้ออกไปฟื้นฟูจิตวิญญาณให้แกร่งกล้า

ในการปฏิบัติศาสนกิจอย่างเงียบๆ12

มิตรสหายที่รักและเพื่อนสานุศิษย์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอเป็นพยานยืนยันต่อท่านว่าข้าพเจ้ารู้ว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงพระชนม์ พระองค์ฟื้นคืนพระชนม์ พระองค์ทรงชี้นำงานศักดิ์สิทธิ์นี้ ประธานเนลสันเป็นศาสดาพยากรณ์ที่พระองค์ทรงเจิมไว้บนแผ่นดินโลก เวลาของเราบนแผ่นดินโลกมีความสำคัญชั่วนิรันดร์

people sitting together

ข้าพเจ้าสัญญาว่าเมื่อท่านรักพระผู้เป็นเจ้าสุดหัวใจ สวดอ้อนวอนขอให้เป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระองค์ ปฏิบัติต่อแต่ละบุคคล เสริมสร้างความสามารถที่จะรับเปิดเผย และวางใจในอิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าจะทรงวางบุตรธิดาที่พิเศษไว้ในเส้นทางของท่าน และท่านจะกลายเป็นเทพผู้ปฏิบัติศาสนกิจของพวกเขา เป็นพรแก่พวกเขาชั่วนิรันดร์ ท่านจะปฏิบัติศาสนกิจในวิธีที่ศักดิ์สิทธิ์กว่า

ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้สิ่งนี้สำคัญต่อท่านขณะท่านเดินตามเส้นทางสำคัญที่สุดนี้ของความเป็นมรรตัยต่อไป ข้าพเจ้าให้คำพยานที่หนักแน่นและแน่นอนแก่ท่านถึงพระผู้ช่วยให้รอดและคุณค่านิรันดร์ของท่าน พระองค์จะเสด็จมาอีกครั้งและจะทรงโอบกอดท่านในฐานะบุตรธิดาของพระองค์ ในฐานะสานุศิษย์ของพระองค์

อ้างอิง

  1. Jean M. Twenge and W. Keith Campbell, The Narcissism Epidemic: Living in the Age of Entitlement (2009), 1.

  2. Jean M. Twenge, iGen: Why Today’s Super-Connected Kids Are Growing Up Less Rebellious, More Tolerant, Less Happy—and Completely Unprepared for Adulthood (2017), 121; ดู Figure 5.1, 121 ด้วย.

  3. ดู Robert C. Fuller, Spiritual, But Not Religious: Understanding Unchurched America (2001).

  4. ดู Jean M. Twenge, iGen, 119–42.

  5. รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน,“การเปิดเผยสำหรับศาสนจักร การเปิดเผยสำหรับชีวิตเรา,” เลียโฮนา, พ.ค. 2018, 96.

  6. รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “การเปิดเผยสำหรับศาสนจักร การเปิดเผยสำหรับชีวิตเรา,” 95.

  7. Greg Hochmuth, in Adam Alter, Irresistible: The Rise of Addictive Technology and the Business of Keeping Us Hooked (2017), 3; ดู Greg Hochmuth, in Natasha Singer, “Can’t Put Down Your Device? ด้วย. That’s by Design,” The New York Times, Dec. 5, 2015, nytimes.com.

  8. Adam Alter, Irresistible, 3; ดู Tristan Harris, in Natasha Singer, “Can’t Put Down Your Device? That’s by Design” ด้วย.

  9. Adam Alter, Irresistible, 5.

  10. เอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ด, “ของประทานอันล้ำค่าจากพระผู้เป็นเจ้า,” เลียโฮนา, พ.ค. 2018, 10.

  11. James Allen, As a Man Thinketh (1902), frontispiece.

  12. Thomas L. Kay, “Saints,” in The Road I’ve Taken (2016), 16; ดู “Saints,” music by Rachel Bastian, New Era, Sept. 1999, 51 ด้วย.