อัครสาวกแบ่งปัน ข่าวสารแห่งความหวัง
ผู้นำศาสนจักรให้ข้อคิดลึกซึ้งเกี่ยวกับการอยู่ใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้า การปฏิบัติศาสนกิจด้วยความรัก และการเดินหน้าต่อไปอย่างอดทนในช่วงเกิดโรคระบาด
ในการตอบสนองไวรัสที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก เจ้าหน้าที่ห้ามการชุมนุมสาธารณะและดำเนินแผนการกักตัว สถานศึกษาปิด ผู้นำทางศาสนายกเลิกการประชุมที่โบสถ์ และผู้ออกนอกเคหสถานต้องสวมหน้ากากป้องกัน
ไข้หวัดใหญ่ที่เริ่มระบาดรุนแรงมากในปีก่อนปี 1919 ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบล้านคน1 ประธานฮีเบอร์ เจ. แกรนท์ (1856–1945) ศาสดาพยากรณ์คนใหม่ของศาสนจักรได้รับการวางมือมอบหน้าที่ในเดือนพฤศจิกายนปี 1918 แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนจนถึงเดือนมิถุนายนปี 1919 เพราะศาสนจักรเลื่อนการประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายนออกไป
ระหว่างการปฏิบัติศาสนกิจของประธานแกรนท์หลังช่วงวันท้าทายเหล่านั้นและวันอื่นๆ ท่านให้คำแนะนำที่เหมาะกับสมัยของเราเมื่อท่านกล่าวว่า “เรามาโลกนี้เพื่อรับความรู้ ปัญญา และประสบการณ์ เพื่อเรียนรู้บทเรียน รับความเจ็บปวด อดทนกับการล่อลวง และมีชัยเหนือชีวิตที่ตายได้” จากความรู้ที่ท่านได้รับผ่านการทดสอบอันหนักหน่วงของประสบการณ์ส่วนตัว ท่านเสริมว่า “ข้าพเจ้า … รู้ว่าในช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก วิสุทธิชนยุคสุดท้ายจะได้รับการปลอบโยน พร และการปลอบขวัญอย่างที่คนอื่นไม่ได้รับ!”2
ใน “ช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก” ณ ปัจจุบันของเราที่มีไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เราดึงการปลอบโยนและการปลอบขวัญมาจากพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์ ความรู้ของเราที่ว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงรักบุตรธิดาของพระองค์และว่าพระองค์ทรงเรียกศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกในสมัยของเราให้นำทางเราผ่านมรสุมของความเป็นมรรตัยนับเป็นพรใหญ่หลวง
จากคำแนะนำที่ให้ระหว่างการสัมภาษณ์เมื่อเร็วๆ นี้ สมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองหลายท่านเตือนใจเราว่าเราสามารถรู้สึกปีติและนึกถึงอนาคตด้วยความหวังไม่ว่ารอบตัวเราจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม3
งานเจริญก้าวหน้า
เอ็ลเดอร์บรูซ อาร์. แมคคองกี (1915–1985) เคยเปรียบศาสนจักรกับ “กองคาราวานกองใหญ่” ที่เคลื่อนไปข้างหน้าแม้มีการต่อต้าน4 เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์ถือว่ากองคาราวานขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมั่นคงเพราะการเตรียมพร้อมที่ได้รับการดลใจของศาสนจักรและประวัติกับความยากลำบากของศาสนจักร
“‘มือที่ไม่สะอาดไม่สามารถหยุดยั้งความก้าวหน้าของงานนี้ได้’5 และไม่มีโรคระบาดใดจะหยุดยั้งความก้าวหน้าของงานนี้ได้เช่นกัน” ท่านกล่าว “ท่ามกลางความท้าทายทั้งหมดที่เราประสบเวลานี้เกี่ยวกับไวรัสดังกล่าว งานเจริญก้าวหน้า … เราไม่ทราบว่าจะใช้เวลานานเท่าใด แต่เราจะเอาชนะ และเราอาจมีรูปแบบชีวิตอย่างที่เรารู้ไม่เหมือนเดิมอีก แต่การปรับตัวและการเปลี่ยนแปลงมากมายเหล่านั้นจะเอื้อประโยชน์อย่างยิ่ง”
เอ็ลเดอร์เควนทิน แอล. คุกกล่าวว่าการเตรียมพร้อมที่ได้รับการดลใจของศาสนจักรวมถึงตัวอย่างที่มาทันท่วงทีเช่น การเน้นให้ถือปฏิบัติวันสะบาโต การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้โควรัมฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดคและสมาคมสงเคราะห์ การเปลี่ยนเป็นการปฏิบัติศาสนกิจ การแนะนำให้ใช้ จงตามเรามา วีดิทัศน์พระคัมภีร์มอรมอน และโปรแกรมเด็กและเยาวชน
“เราจะมองย้อนกลับไปและเห็นว่านี่เป็นเวลาพื้นฐานของการเตรียมพร้อม ไม่ใช่แค่สิ่งที่เราต้องอดทน” ท่านกล่าว
ประธานเอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ด รักษาการประธานโควรัมอัครสาวกสิบสองเห็นด้วย แม้จะปิดพระวิหารและอาคารประชุมชั่วคราว แต่สมาชิกศาสนจักรมีเครื่องมือทางวิญญาณที่พวกเขาจำเป็นต้องใช้เพื่อจะยังเดินหน้าต่อไป
ประธานบัลลาร์ดจำได้ว่าท่านรู้สึกอย่างไรตอนกลับจากโบสถ์มาบ้านวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 และทราบว่าเพิร์ลฮาร์เบอร์ถูกโจมตีและสหรัฐกำลังจะถูกดึงเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง เหมือนคนมากมายในปัจจุบัน ท่านกังวลกับอนาคตและสงสัยว่าท่านจะหมดอนาคตหรือไม่
“แต่นั่นไม่เกิดขึ้น” ท่านกล่าว เสรีชนของโลกชนะสงครามครั้งนั้นฉันใด โลกจะชนะสงครามกับไวรัสโคโรนาฉันนั้น “ทุกอย่างจะดีเมื่อเราหันใจไปหาพระบิดาในสวรรค์ของเรา มองพระองค์และพระผู้ช่วยให้รอดในฐานะพระผู้ไถ่ของมวลมนุษย์” ท่านกล่าว
อีกวิธีหนึ่งที่ศาสนจักรเดินหน้าต่อไปคือผ่านงานเผยแผ่ศาสนา ซึ่งกำลังขานรับสภาพของโลกที่เปลี่ยนแปลง เอ็ลเดอร์ดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟกล่าวว่าผู้นำศาสนจักรศึกษาวิธีแบ่งปันพระกิตติคุณวิธีใหม่มาตลอดก่อนโควิดเริ่มทำให้งานเผยแผ่ศาสนาหยุดชะงักด้วยซ้ำ การหยุดชะงักนั้นรวมถึงการส่งผู้สอนศาสนาหลายพันคนกลับประเทศบ้านเกิด การปลดบางคนก่อนกำหนด และการมอบหมายใหม่ให้บางคน
“โควิด-19 เร่งให้เราคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เร็วขึ้นมากและเปิดตาเรา” ท่านกล่าว ด้วยเหตุนี้ เทคโนโลยีและสื่อสังคมจึงกำลังเปิดประตูที่เคยปิดเพราะชุมชนมีรั้วรอบขอบชิดและตึกรามบ้านช่องที่เราเข้าไปไม่ได้
“งานเผยแผ่ศาสนาจะยังเดินหน้าต่อไปแม้มีโรคระบาด” เอ็ลเดอร์อุคท์ดอร์ฟเสริม “เรายังคงเรียนรู้วิธีปรับปรุงงานเผยแผ่ศาสนาตอนนี้และสำหรับอนาคต พระเจ้าทรงสัญญาจะเร่งงานของพระองค์เพื่อเป็นพรแก่บุตรธิดาทุกคนของพระผู้เป็นเจ้า (ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 88:73) ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเราอยู่กลางของกระบวนการนี้ขณะดำเนินชีวิตฟันฝ่าช่วงเวลาท้าทายนี้ ผู้สอนศาสนาที่ล้ำค่าของเราเป็นผู้บุกเบิกในสมัยของเรา กำลังสร้างทางของการแบ่งปันข่าวสารพระกิตติคุณในวิธีใหม่ที่เหมาะกับสภาวการณ์ของเราทั้งนี้เพื่อศาสนจักรของพระเยซูคริสต์จะยังคง ‘กลิ้งออกไป, จนเต็มทั้งแผ่นดินโลก’” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 65:2)
โอกาสใหม่ๆ ให้แบ่งปันพระกิตติคุณไม่ใช่สิ่งเดียวที่เปิดอยู่ ใจกำลังเปิดเช่นกันเพราะเวลายากๆ มักทำให้ผู้คนถ่อมลงและหันไปหาพระผู้เป็นเจ้า เอ็ลเดอร์ดี. ทอดด์ คริสทอฟเฟอร์สันกล่าว
“พวกเขาเปิดกว้างมากขึ้นอีกนิดกับการคิดว่า ‘ฉันอาจต้องการบางอย่างนอกเหนือจากบัญชีธนาคารก็ได้ ชีวิตอาจมีมากกว่าที่ฉันเป็นมา’” ท่านกล่าว
เอ็ลเดอร์คริสทอฟเฟอร์สันกระตุ้นสมาชิกศาสนจักรให้มองหาโอกาสเผยแผ่ศาสนา เช่น แบ่งปันข่าวสารและมีมเกี่ยวกับพระกิตติคุณผ่านสื่อสังคม สื่อสารกับผู้สอนศาสนาเต็มเวลาเกี่ยวกับการช่วยผูกมิตรคนที่พวกเขาสอนออนไลน์ และติดต่ออยู่เสมอกับคนที่พวกเขาไม่สามารถเจอบ่อยๆ ได้
การเว้นระยะห่างทางสังคมและการเว้นระยะห่างทางวิญญาณ
อีกวิธีหนึ่งที่ศาสนจักรเดินหน้าต่อไปคือผ่านการตอบสนองทางวิญญาณของวิสุทธิชนยุคสุดท้ายต่อความท้าทายชั่วคราวเช่นโควิด-19 เพื่อป้องกันเราทางร่างกาย เราเพิ่มระยะห่างทางกายจากคนอื่น แต่เพื่อป้องกันเราทางวิญญาณ เราเข้าใกล้พระบิดาในสวรรค์ของเราและพระบุตรของพระองค์มากขึ้น การระบาดของโควิด-19 ทำให้สมาชิกศาสนจักรจำนวนมากมีโอกาสเพิ่มความปลอดภัยทางวิญญาณให้ตนเองมากขึ้นโดยทำตามคำแนะนำของประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันให้ฟังพระเจ้า
“พระบิดาของเราทรงทราบว่าเมื่อเราแวดล้อมไปด้วยความรู้สึกไม่แน่ใจและความกลัว สิ่งที่จะช่วยเรามากที่สุดคือฟังพระบุตรของพระองค์” ประธานเนลสันกล่าวระหว่างการประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายน 2020 ท่านเสริมว่า “ขณะที่เราหมายมั่นเป็นสานุศิษย์ของพระเยซูคริสต์ เราต้องพยายามตั้งใจ ฟังพระองค์ มากขึ้น ต้องใช้ความพยายามอย่างมีสติและสม่ำเสมอที่จะทำให้ชีวิตประจำวันของเราเต็มไปด้วยพระวจนะ คำสอน และความจริงของพระองค์”6
แม้เราไม่ยินดีกับการระงับการประชุมของศาสนจักรชั่วคราว การปิดพระวิหาร หรือการตกงาน แต่การใช้เวลามากขึ้นที่บ้านทำให้เรามี “โอกาสคิดเรื่องการตื่นมาหาพระผู้เป็นเจ้า” (ดู แอลมา 5:7) เอ็ลเดอร์คุกกล่าว “บางทีเหตุการณ์เมื่อเร็วๆ นี้อาจเป็นนาฬิกาปลุกทางวิญญาณให้เราจดจ่อกับสิ่งเหล่านั้นที่สำคัญที่สุด ถ้าเช่นนั้น การมุ่งเน้นสิ่งที่เราสามารถทำให้ดีพร้อมในชีวิตเราและวิธีที่เราสามารถเป็นพรแก่ชีวิตผู้อื่นขณะเราตื่นมาหาพระผู้เป็นเจ้าและเดินตามเส้นทางพันธสัญญาจะเป็นพรใหญ่หลวงในช่วงเวลานี้”
เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์เสริมว่า “เวลาเช่นนั้นเชื้อเชิญให้เราสำรวจจิตวิญญาณเราเพื่อดูว่าเราชอบสิ่งที่เราเห็นหรือไม่ นั่นเป็นเวลาที่ [เรา] คิดว่าจริงๆ แล้ว [เรา] เป็นใครและอะไรสำคัญจริงๆ”
เวลาเช่นนั้นเชื้อเชิญให้เราเพิ่มพูนศรัทธา การรับใช้ และความกตัญญูของเราเช่นกัน โดยกระตุ้นเตือนเราให้ “พิจารณาการพึ่งพาพระผู้เป็นเจ้าและพรจากพระองค์ที่เรามักไม่เห็นคุณค่า” เอ็ลเดอร์ฮอลแลนด์กล่าว “เรามีหน้าที่ต้องสำนึกคุณต่อพระบิดาในสวรรค์มากขึ้นอีกนิด ขอบพระทัยพระองค์มากขึ้นอีกหน่อย และมีแนวโน้มจะจดจำมากขึ้นอีกเล็กน้อยว่าปัญหามากมายได้รับการแก้ไขเพราะพระผู้เป็นเจ้า เหล่าเทพ สัญญาแบบพันธสัญญา และการสวดอ้อนวอน”
ตรงศูนย์กลางความสำนึกคุณของเราคือพรของการจดจำว่า “พระเจ้าทรงเมตตาลูกหลานมนุษย์เพียงใด, นับแต่การสร้างอาดัมแม้ลงมาจนถึงเวลา [นี้]” (โมโรไน 10:3) สมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองกล่าวว่าเมื่อใดก็ตามที่ท่านต้อง “หลบภัยในเคหสถาน” เราสามารถทำตามแบบอย่างของนีไฟกับแอลมาโดยจดจำว่า “[เรา] ได้วางใจ” พระองค์ พระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์ “จะยังทรงปลดปล่อย [เรา]” (2 นีไฟ 4:19; แอลมา 36:27) และเราสามารถจดจำตามที่อัครสาวกเปาโลสอนว่า ไม่มีสิ่งใด “จะให้เราขาดจากความรักของพระคริสต์ได้” (ดู โรม 8:35)
พระเจ้าพระเยซูคริสต์ทรง “เป็นที่ลี้ภัยสุดท้ายของเรา” (ดู สดุดี 61:1–4) เอ็ลเดอร์ฮอลแลนด์กล่าว “ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เราจะไม่มีวันขาดจากความรักของพระผู้ช่วยให้รอดและความเป็นเพื่อนของพระองค์ แม้เราไม่รับรู้ ณ ตอนนั้น พระวิญญาณไม่ได้ถูกสกัดกั้นโดยไวรัสหรือโดยพรมแดนระหว่างประเทศหรือโดยการคาดการณ์ทางการแพทย์”
“ทำสิ่งดีๆ ”
เมื่อเร็วๆ นี้ขณะอ่านรายงานหนึ่งจากคณะกรรมการศาสนจักร เอ็ลเดอร์คริสทอฟเฟอร์สันเป็นห่วงผลกระทบที่ “การถูกบังคับให้ตัดขาดจากสังคมภายนอก” จะมีต่อสมาชิกโสดของศาสนจักร—ทั้งสูงวัยและเยาว์วัย
“การถูกบังคับให้ตัดขาดจากสังคมภายนอกจะทำให้เกิดความเหงา และความเหงาจะมีผลลบทางร่างกายและสุขภาพจิต” ท่านกล่าว “เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว ผู้สนับสนุนด้านสาธารณสุขบางคนเสนอให้ผู้ประสบความเหงามองหาวิธี ‘ทำสิ่งดีๆ’ ให้ใครบางคน”
วิสุทธิชนยุคสุดท้ายสามารถหาวิธีรับใช้ ช่วยเหลือ และเกื้อกูลผู้อื่น โดยเฉพาะคนหงอยเหงา เอ็ลเดอร์คริสทอฟเฟอร์สันกล่าว และสมาชิกที่หงอยเหงาผู้รับใช้คนอื่นๆ สามารถลดความรู้สึกโดดเดี่ยวของตนได้
“มุ่งเน้นการปฏิบัติศาสนกิจ” ท่านกล่าว “มีมากมายที่เราทำให้กันได้เพื่อจะมีความรู้สึกสนิทสนมและความเป็นพี่น้อง นี่เป็นเวลาที่โควรัมเอ็ลเดอร์และสมาคมสงเคราะห์จะตั้งสติให้ดีและจัดหาแต่สิ่งที่จัดตั้งพวกเขาให้มาทำเป็นการเฉพาะเท่านั้น”
แทนที่จะส่งข้อความให้ใครบางคนเป็นประจำ ท่านเสนอ “ข้าพเจ้าคิดว่าจะดีมากถ้าโทรหาใครบางคนโดยใช้เทคโนโลยีเก่าแก่ที่เรียกว่าโทรศัพท์ แค่โทรไปคุยและปฏิสัมพันธ์ ให้พวกเขาได้ยินเสียง”
การพยายามหยิบยื่นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ให้ผู้อื่นจะส่งผลใหญ่หลวง ทำให้วันของใครบางคนสว่างขึ้นในแบบที่เราอาจไม่รู้ “การปฏิบัติศาสนกิจของเราจำเป็นมากกับคนที่อยู่โดดเดี่ยว” เอ็ลเดอร์คุกกล่าว
เอ็ลเดอร์ฮอลแลนด์แนะนำว่า “เราควรอุทิศส่วนหนึ่งของวันเพื่อสื่อสารกับคนที่ต้องการกำลังใจ เราได้กำลังใจแน่นอนจากการทำเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึง ‘ถูกยกขึ้น’ (3 นีไฟ 27:14, 15) ดังพระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่าพระบิดาทรงส่งพระองค์มาแผ่นดินโลกให้ทำเช่นนั้น”
อีกวิธีหนึ่งที่เราสามารถยกตัวเราและผู้อื่นขึ้นคือเตรียมรับวันที่พระวิหารเปิดอีกครั้ง การปิดพระวิหาร—ไม่ว่าจะเพราะโรคระบาด การปรับปรุง หรือการทำความสะอาด—“เปิดโอกาสอันน่าพิศวงให้เรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับการค้นคว้าประวัติครอบครัว การทำดัชนี และวิธีเตรียมชื่อหลายๆ ชื่อไว้รอวันที่ประตูพระวิหารจะเปิดอีกครั้ง” เอ็ลเดอร์เบดนาร์กล่าว
ไม่ว่าพระวิหารจะเปิดหรือปิด เอ็ลเดอร์เบดนาร์เสริม สมาชิกของศาสนจักรจะยังพยายามมีค่าควรและมีใบรับรองพระวิหารที่เป็นปัจจุบัน
บทเรียนที่พระเจ้าทรงต้องการให้เราเรียนรู้
ตามที่เอ็ลเดอร์เบดนาร์ชี้ให้เห็น แม้ไม่มีใครอยากเลือกประสบกับการระบาดของโควิด-19 แต่ภัยพิบัติยุคสุดท้ายเกิดกับเราแน่นอน
“ด้วยมุมมองนิรันดร์ที่พระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูให้เราและพระคุณที่มาจากการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอด เราสามารถเรียนรู้จากความยากลำบากของความเป็นมรรตัยที่เตรียมเราให้พร้อมรับพรแห่งนิรันดร” ท่านกล่าว “เราต้องสวดอ้อนวอน เราต้องแสวงหา เราต้องทูลขอ เราต้องมีตาดูและมีหูฟัง แต่เราจะได้รับพรอย่างน่าทึ่งให้เรียนรู้บทเรียนที่จะเป็นพรแก่เราเวลานี้และตลอดไป”
แม้จะมีผลกระทบร้ายแรงต่อครอบครัวทั่วโลก แต่โควิด-19 สอนผู้คนให้ห่วงใยผู้อื่นมากขึ้น ประธานบัลลาร์ดกล่าว
“เรากำลังตระหนักว่าครอบครัวเรามีค่าเพียงใด เพื่อนบ้านของเรามีค่าเพียงใด และเพื่อนสมาชิกในศาสนจักรมีค่าเพียงใด” ท่านกล่าว “มีบทเรียนที่เรากำลังเรียนรู้ตอนนี้ที่จะทำให้เราเป็นคนดีขึ้น”
และเมื่อมรสุมปัจจุบันพัดผ่าน เราคาดหวังอะไรต่อจากนั้นได้บ้าง? การทดลองคล้ายกันจะมาอีก เอ็ลเดอร์อุคท์ดอร์ฟกล่าว บุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าทั้งในและนอกศาสนจักรจะยังประสบความท้าทาย
“เราอยู่ในยุคที่เราต้องเรียนรู้” ท่านกล่าว และบทเรียนสำคัญที่สุดที่เราจะเรียนรู้ได้คือ คำตอบของความท้าทายที่กำลังมาเป็นคำตอบของความท้าทายปัจจุบันเช่นกัน คำตอบนั้นคือ พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
เพราะวิสุทธิชนยุคสุดท้ายมีพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์ เอ็ลเดอร์ฮอลแลนด์กล่าว พวกเขาจึงสามารถฝึกคิดบวกและมองบวก โดยทำให้ดีที่สุดและเชื่อสิ่งที่พระเจ้าตรัสเมื่อพระองค์ตรัสว่า “ให้เราทำสิ่งทั้งปวงที่อยู่ในอำนาจของเราอย่างรื่นเริงเถิด; และจากนั้นขอให้เรายืนนิ่ง, ด้วยความมั่นใจอย่างที่สุด, เพื่อเห็นความรอดแห่งพระผู้เป็นเจ้า, และเพื่อพระองค์จะทรงเผยพระพาหุของพระองค์” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 123:17)
“มีมากมายให้เบิกบานใจขณะที่เราขัดเกลาศรัทธาของเรา วางใจพระเจ้ามากขึ้น และดูปาฏิหาริย์แห่งการปลดปล่อยของพระองค์” เอ็ลเดอร์ฮอลแลนด์กล่าว