ตั้งมั่นบน ศิลาแห่งการเปิดเผย
จากคำปราศรัยให้ข้อคิดทางวิญญาณเรื่อง “Stand Forever” ที่มหาวิทยาลัยบริคัมยังก์เมื่อวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 2019
เราสามารถหาคำตอบให้กับคำถามที่สำคัญที่สุดโดยตั้งอยู่บนศิลาแห่งการเปิดเผย
งานมอบหมายส่วนหนึ่งของข้าพเจ้าเมื่อครั้งเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ไม่กี่ปีก่อนคืออ่านสื่อสิ่งพิมพ์จำนวนมากที่ต่อต้านศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ พระคัมภีร์มอรมอน และเหตุการณ์ของการฟื้นฟู ตั้งแต่เปลี่ยนงานมอบหมายนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้กลับไปเกลือกกลิ้งอยู่ในปลักนั้นอีก
การอ่านสื่อสิ่งพิมพ์เหล่านั้นมักทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกหดหู่ และวันหนึ่งความรู้สึกมืดมนเป็นแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าเขียนตอบโต้คำต่อต้านทั้งหมดนั้น ข้าพเจ้าประสงค์จะแบ่งปันความคิดบางประการที่ข้าพเจ้าบันทึกวันนั้นและถึงแม้ข้าพเจ้าเขียนเพื่อประโยชน์ของตนเอง แต่หวังว่าจะช่วยท่านเช่นกัน
เราจะตั้งมั่นอยู่เป็นนิตย์หรือไม่?
ศาสดาพยากรณ์ดาเนียลกล่าวว่าในวันเวลาสุดท้าย “พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงสถาปนาราชอาณาจักรหนึ่งซึ่งไม่มีวันถูกทำลาย หรือถูกมอบให้ชนชาติอื่น ราชอาณาจักรนั้นจะทำให้ราชอาณาจักรเหล่านี้ทั้งหมดแตกเป็นชิ้นๆ จนพินาศไป และราชอาณาจักรนั้นจะตั้งมั่นอยู่เป็นนิตย์” (ดาเนียล 2:44)
อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าคือศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ซึ่งจะ “ตั้งมั่นอยู่เป็นนิตย์” คำถามคือ ท่านและข้าพเจ้าจะตั้งมั่นหรือ “[เรา] จะจากไปด้วยหรือ?” (ยอห์น 6:67) และถ้าเราจากไป เราจะไปที่ใด?
การหลอกลวงเป็นเครื่องหมายของสมัยเรา
เมื่อพระเจ้าทรงอธิบายเครื่องหมายการเสด็จมาของพระองค์และจุดจบของโลก พระองค์ตรัสหลายอย่าง รวมทั้งสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม ประชาชาติลุกขึ้นต่อสู้ประชาชาติ ความอดอยาก โรคระบาด แผ่นดินไหว และเครื่องหมายอีกมากมาย รวมทั้งเครื่องหมายนี้ “เพราะในวันเวลาเหล่านั้น [วันเวลานี้] จะเกิดพระคริสต์ปลอมทั้งหลายด้วย, และศาสดาพยากรณ์ปลอมทั้งหลาย, และจะแสดงเครื่องหมายอัศจรรย์และการอันน่าพิศวง, ถึงขนาด, ที่ว่า, หากเป็นไปได้, พวกเขาจะหลอกลวงแม้ผู้ที่ทรงเลือกไว้, ซึ่งเป็นผู้ที่ทรงเลือกไว้ตามพันธสัญญา” (โจเซฟ สมิธ—มัทธิว 1:22; มัทธิว 24:24)
ข้าพเจ้าไม่แน่ใจทั้งหมดที่ข้อแม้นี้หมายถึง “หากเป็นไปได้, พวกเขาจะหลอกลวงแม้ผู้ที่ทรงเลือกไว้” แต่ข้าพเจ้าคิดว่าอย่างน้อยน่าจะหมายความว่าทุกคนในสมัยของเราจะประสบความท้าทาย
มีคนหลอกลวงมากมาย และสเปกตรัมของการหลอกลวงกว้าง ปลายด้านหนึ่งของสเปกตรัมเราพบคนโจมตีการฟื้นฟู ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ และพระคัมภีร์มอรมอน ถัดมาเราเห็นคนเหล่านั้นที่เชื่อในการฟื้นฟูแต่อ้างว่าศาสนจักรขาดตกบกพร่องและหลงทาง อีกหลายคนอ้างว่าเชื่อในการฟื้นฟูแต่รู้สึกผิดหวังกับหลักคำสอนที่ขัดกับเจตคติเลื่อนลอยของยุคเรา คนที่ไม่มีสิทธิอำนาจอ้างว่ามีนิมิต ความฝัน และการเสด็จเยือนเพื่อแก้ไขศาสนจักร นำเราไปทางที่สูงขึ้น หรือเตรียมศาสนจักรให้พร้อมรับจุดจบของโลก อีกหลายคนถูกวิญญาณเท็จหลอก
ที่ปลายอีกด้านของสเปกตรัมเรามาถึงจักรวาลของสิ่งที่ทำให้เขว ไม่เคยมีข้อมูลข่าวสาร ข้อมูลผิดๆ ข้อมูลเท็จ สินค้า อุปกรณ์ เกม ทางเลือก ที่ให้ไป สิ่งที่ให้ดู และสิ่งที่ให้ทำจะดึงเวลาและความสนใจของเราออกจากสิ่งสำคัญที่สุดมากไปกว่ายุคนี้ ทั้งหมดนั้นและมากกว่านั้นถูกเผยแพร่ทันควันทั่วโลกโดยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ นี่เป็นยุคของการหลอกลวง
ความรู้สำคัญยิ่ง
ความจริงเปิดทางให้เราเห็นชัดเพราะความจริงคือ “ความรู้ถึงสิ่งทั้งหลายดังที่เป็นอยู่, และดังที่เป็นมา, และดังที่จะเป็น” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 93:24) ความรู้สำคัญยิ่งต่อการหลีกเลี่ยงการหลอกลวง แยกแยะความจริงกับความเท็จ เห็นทางชัดและพบทางเลี่ยงอันตรายของยุคสมัยเรา
ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธกล่าวว่า “ความรู้จำเป็นต่อชีวิตและความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า … ความรู้คือการเปิดเผย จงฟังเถิด … กุญแจสำคัญคือความรู้เป็นพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าที่นำไปสู่ความรอด”1
คนทั่วไปพูดว่า “คุณควรซื่อตรงต่อความเชื่อของคุณ” แม้จะจริง แต่ท่านจะดีกว่าสิ่งที่ท่านรู้ไม่ได้ พวกเราส่วนใหญ่กระทำโดยยึดความเชื่อของเรา โดยเฉพาะสิ่งที่เราเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อเรา ปัญหาคือบางครั้งเราผิด
บางคนอาจเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าและเชื่อว่าสื่อลามกไม่ดี แต่ก็ยังคลิกเข้าเว็บไซต์สื่อลามก โดยเชื่ออย่างผิดๆ ว่าพวกเขาจะมีความสุขมากขึ้นถ้าทำอย่างนั้นหรือพวกเขาอดคลิกไม่ได้หรือพวกเขาไม่ได้ทำร้ายใคร พวกเขาแค่ผิด
อีกหลายคนอาจเชื่อว่าโกหกไม่ดีแต่ก็ยังโกหกเป็นบางครั้ง โดยเชื่ออย่างผิดๆ ว่าไม่รู้ความจริงจะดีกว่าสำหรับพวกเขา พวกเขาแค่ผิด
บางคนอาจเชื่อและแม้ถึงกับรู้ว่าพระเยซูคือพระคริสต์แต่ก็ยังปฏิเสธพระองค์ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแต่สามครั้งเพราะความเชื่อผิดๆ ว่าทำให้ฝูงชนพอใจจะดีกว่า เปโตรไม่ใช่คนชั่ว ข้าพเจ้าไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าเขาอ่อนแอ เขาแค่ผิด (ดู มัทธิว 26:34, 69–75)
เมื่อเรากระทำไม่ดี เราอาจคิดว่าเราเป็นคนไม่ดี ทั้งที่ในความจริงเราแค่ผิด ความท้าทายไม่ใช่การปิดช่องว่างระหว่างการกระทำกับความเชื่อ แต่ความท้าทายคือการปิดช่องว่างระหว่างความเชื่อของเรากับความจริง
เราปิดช่องว่างนั้นอย่างไร? เราหลีกเลี่ยงการหลอกลวงอย่างไร?
คำถามหลักและคำถามรอง
มีคำถามหลักและคำถามรอง เริ่มโดยตอบคำถามหลักก่อน คำถามหลักมีความสำคัญที่สุด คำถามหลักมีเพียงไม่กี่ข้อ ข้าพเจ้าจะกล่าวถึงสี่ข้อ:
-
มีพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นพระบิดาของเราหรือไม่?
-
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของโลกหรือไม่?
-
โจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์หรือไม่?
-
ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเป็นอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลกหรือไม่?
เมื่อเทียบกันแล้ว คำถามรองมีมากมายไม่จบสิ้น คำถามรองรวมถึงคำถามเกี่ยวกับประวัติศาสนจักร การแต่งภรรยาหลายคน ผู้เป็นลูกหลานชาวแอฟริกากับฐานะปุโรหิต สตรีกับฐานะปุโรหิต การแปลพระคัมภีร์มอรมอน พระคัมภีร์ไข่มุกอันล้ำค่า ดีเอ็นเอกับพระคัมภีร์มอรมอน การแต่งงานกับเพศเดียวกัน เรื่องราวต่างกันของนิมิตแรก และอื่นๆ
ถ้าท่านตอบคำถามหลัก เท่ากับท่านตอบคำถามรองไปด้วย ไม่เช่นนั้นคำถามรองจะดูเหมือนไม่สำคัญ ตอบคำถามหลัก และท่านจะสามารถรับมือกับสิ่งที่ท่านเข้าใจและสิ่งที่ท่านไม่เข้าใจ กับสิ่งที่ท่านเห็นด้วยและสิ่งที่ท่านไม่เห็นด้วยโดยไม่ออกจากศาสนจักร
วิธีเรียนรู้จากสวรรค์
มีวิธีเรียนรู้หลายวิธี รวมทั้งวิธีเชิงวิทยาศาสตร์ เชิงวิเคราะห์ เชิงวิชาการ และวิธีจากสวรรค์ ทั้งสี่วิธีจำเป็นต่อการรู้ความจริง ทั้งหมดเริ่มแบบเดียวกันคือเริ่มด้วยคำถาม คำถามมีความสำคัญ โดยเฉพาะคำถามหลัก
วิธีเรียนรู้จากสวรรค์รวมองค์ประกอบต่างๆ ของวิธีอื่นเข้าด้วยกันแต่สุดท้ายแล้วเหนือกว่าวิธีอื่นทั้งหมดโดยการเข้าถึงอำนาจแห่งสวรรค์ ท้ายที่สุดแล้วเรื่องของพระผู้เป็นเจ้ารู้โดยพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งปกติจะเป็นสุรเสียงสงบแผ่วเบา พระเจ้าตรัสว่า “พระผู้เป็นเจ้าจะประทานความรู้แก่เจ้าโดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์, แท้จริงแล้ว, โดยของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งไม่อาจพูดถึงได้” (คพ. 121:26)
อัครสาวกเปาโลสอนว่าเราจะรู้เรื่องของพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เว้นแต่โดยผ่านพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น (ดู 1 โครินธ์ 2:9–11; ดู Joseph Smith Translation, 1 Corinthians 2:11 ด้วย) เขากล่าวว่า “แต่คนทั่วไปจะไม่รับสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้า เพราะว่าเขาเห็นว่าเป็นเรื่องโง่” เราเห็นเช่นนั้นทุกวัน เปาโลกล่าวต่อ “เพราะจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต้องวินิจฉัยโดยพึ่งพระวิญญาณ” (1 โครินธ์ 2:14)
ในบรรดาปัญหาทั้งหมดที่ท่านพบเจอในชีวิต มีหนึ่งปัญหาอยู่เหนือปัญหาอื่นทั้งหมดและเข้าใจน้อยที่สุด สภาพแย่ที่สุดของมนุษย์ไม่ใช่ความยากจน ความเจ็บป่วย ความเหงา การกระทำทารุณกรรม หรือสงคราม—แม้สภาพเหล่านั้นจะน่ากลัวก็ตาม สภาพแย่ที่สุดของมนุษย์ที่พบเห็นมากที่สุด คือการตายทางวิญญาณ คือการถูกแยกจากที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า และในชีวิตนี้ ที่ประทับของพระองค์คือพระวิญญาณหรือเดชานุภาพของพระองค์
ตรงกันข้าม สภาพดีที่สุดของมนุษย์ไม่ใช่ความร่ำรวย ชื่อเสียง บารมี สุขภาพดี เกียรติของมนุษย์ หรือความมั่นคง สภาพดีที่สุดของมนุษย์คือการได้รับประสาทอำนาจจากสวรรค์ คือการเกิดใหม่ มีของประทานและความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความรู้ การเปิดเผย พลัง ความชัดเจน ความรัก ปีติ สันติ ความหวัง ความมั่นใจ ศรัทธา และสิ่งดีอื่นๆ แทบทุกอย่าง
พระเยซูตรัสว่า “องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ … จะทรงสอนพวกท่านทุกสิ่ง” (ยอห์น 14:26) อำนาจนี้ทำให้เรา “รู้ความจริงของทุกเรื่อง” (โมโรไน 10:5) “แสดงแก่ [เรา] ถึงสิ่งทั้งปวงที่ [เรา] ควรทำ” (2 นีไฟ 32:5) คือแหล่ง “น้ำดำรงชีวิต” ที่พุ่งขึ้นสู่ชีวิตนิรันดร์ (ยอห์น 7:38; ดูข้อ 37 ด้วย)
จงจ่ายราคาใดก็ตามที่ท่านต้องจ่าย แบกภาระใดก็ตามที่ท่านต้องแบก และทำการเสียสละใดก็ตามที่ท่านต้องทำเพื่อให้ได้รับและรักษาวิญญาณและอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไว้ในชีวิตท่าน สิ่งดีทุกอย่างขึ้นอยู่กับการได้รับและรักษาอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไว้ในชีวิตท่าน
“สิ่งซึ่งไม่จรรโลงใจ”
ฉะนั้น อะไรคือความหดหู่ที่ข้าพเจ้ารู้สึกเมื่อหลายปีก่อนขณะอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ที่ต่อต้านเรา? บางคนจะพูดว่าความหดหู่คือผลของอคติทางความเชื่อ ซึ่งคือนิสัยชอบเลือกเฉพาะสิ่งเหล่านั้นที่สอดคล้องกับสมมติฐานและความเชื่อของเรา ความคิดว่าทุกอย่างที่คนเชื่อและสอนกันมาอาจจะผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่มีอะไรที่ดีกว่านั้นเข้ามาแทนความคิดนั้น นับว่าเป็นความคิดที่ชวนหดหู่และรบกวนจิตใจอย่างแท้จริง
แต่ความหดหู่ที่ข้าพเจ้าประสบขณะฟังเสียงคนประสานเสียงต่อต้านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธและการฟื้นฟูศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายอย่างผิดๆ ต่างจากนั้น ความหดหู่ดังกล่าวไม่ใช่อคติทางความเชื่อ และไม่ใช่ความกลัวว่าจะเกิดข้อผิดพลาด แต่คือการไม่มีพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า คือสภาพของมนุษย์เมื่อ “ถูกทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยว” [หลักคำสอนและพันธสัญญา 121:38] คือความหดหู่ของความมืดและ “อาการเงียบงันของความคิด” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 9:9; ดูข้อ 8 ด้วย)
พระเจ้าตรัสว่า
“และสิ่งซึ่งไม่จรรโลงใจมิได้มาจากพระผู้เป็นเจ้า, และเป็นความมืด.
“สิ่งซึ่งมาจากพระผู้เป็นเจ้าเป็นความสว่าง; และคนที่รับความสว่าง, และดำเนินอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าต่อไป, รับความสว่างมากขึ้น; และความสว่างนั้นเจิดจ้ายิ่งขึ้นๆ จนถึงวันที่สมบูรณ์” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 50:23–24)
การเปิดเผยจากพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าเข้ามาแทนอคติทางความเชื่อเพราะการเปิดเผยไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักฐานเท่านั้น ข้าพเจ้าใช้เวลาชั่วชีวิตพยายามฟังพระดำรัสของพระเจ้าและฝึกรับรู้และทำตามพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า วิญญาณอันเกี่ยวข้องกับเสียงชั่วที่โจมตีศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ พระคัมภีร์มอรมอน และการฟื้นฟูไม่ใช่วิญญาณของความสว่าง ความรู้แจ้ง และความจริง ข้าพเจ้ารู้ไม่มาก แต่ข้าพเจ้ารู้จักสุรเสียงของพระเจ้า และสุรเสียงของพระองค์ไม่อยู่ในเสียงชั่วนั้น
ตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับความหดหู่และอาการเงียบงันอันน่าเบื่อหน่ายของความคิดที่กระจายทั่วหนองน้ำของความสงสัยคือวิญญาณของความสว่าง ความรู้แจ้ง สันติ และความจริงที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างๆ และหลักคำสอนอันรุ่งโรจน์ของการฟื้นฟู โดยเฉพาะพระคัมภีร์ที่เปิดเผยต่อโลกผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ แค่อ่านพระคัมภีร์และถามตัวท่านเองและทูลถามพระผู้เป็นเจ้าว่าพระคัมภีร์เป็นคำโกหก หลอกลวง และตบตาหรือเป็นความจริง
ท่านจะเรียนรู้ความจริงโดยการตัดออกไม่ได้
คนที่กลัวว่าศาสนจักรอาจไม่จริงจะใช้เวลาและความสนใจของพวกเขาเดินลุยหนองน้ำของคำถามรอง พวกเขาพยายามเรียนรู้ความจริงอย่างผิดๆ โดยใช้ขั้นตอนของการตัดออก โดยพยายามตัดความสงสัยออกหมด ความคิดนั้นไม่ดีเลย จะไม่มีวันได้ผล
มีคำอ้างและความเห็นนับไม่ถ้วนถูกหยิบยกมาแย้งกับความจริง แต่ละครั้งที่ท่านก้มหาคำตอบให้กับคำอ้างหนึ่งที่ต่อต้านเรา พอเงยหน้า ท่านจะเห็นอีกคำอ้างหนึ่งจ้องหน้าท่านอยู่ ข้าพเจ้าไม่ได้บอกว่าท่านควรเอาหน้ามุดทรายไม่รับรู้ แต่ข้าพเจ้ากำลังบอกว่าท่านสามารถใช้เวลาชั่วชีวิตก้มหาคำตอบให้ทุกคำอ้างที่หยิบยกมาต่อต้านศาสนจักรแต่จะไม่มีวันรู้ความจริงที่สำคัญที่สุด
คำตอบของคำถามหลักไม่ได้มาจากการตอบคำถามรอง มีคำตอบให้กับคำถามรอง แต่ท่านจะพิสูจน์แง่บวกโดยหักล้างแง่ลบทุกข้อไม่ได้ ท่านจะพิสูจน์ว่าศาสนจักรจริงโดยหักล้างทุกคำอ้างที่ต่อต้านศาสนจักรไม่ได้ กลยุทธ์นั้นมีช่องโหว่ สุดท้ายแล้วต้องมีหลักฐานยืนยัน และกับเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า ในที่สุดและโดยแท้แล้วหลักฐานยืนยันมาโดยการเปิดเผยผ่านวิญญาณและอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์
พระเยซูตรัสถามเหล่าสาวกว่า
“แล้วพวกท่านว่าเราเป็นใคร?
“ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่
“พระเยซูตรัสกับเขาว่า ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย ท่านก็เป็นสุขเพราะว่ามนุษย์มิได้แจ้งความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ
“… ท่านคือเปโตร และบนศิลานี้เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้” (มัทธิว 16:15–18; ดู ข้อ 13–14 ด้วย)
ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ตั้งอยู่บนศิลาแห่งการเปิดเผย และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อศาสนจักรหามิได้ ท่านและข้าพเจ้าคือศาสนจักร เราต้องตั้งอยู่บนศิลาแห่งการเปิดเผย และแม้เราไม่รู้คำตอบของทุกคำถาม แต่เราต้องรู้คำตอบของคำถามหลัก ถ้าเรารู้ พลังแห่งความตายจะมีชัยต่อเราไม่ได้และเราจะตั้งมั่นเป็นนิตย์
ตั้งมั่นบนศิลาแห่งการเปิดเผย
มีพระผู้เป็นเจ้าในสวรรค์ผู้ทรงเป็นพระบิดานิรันดร์ของเรา พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้ไถ่ของโลก โจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้าผู้วางรากฐานสำหรับการฟื้นฟูอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายคืออาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก ข้าพเจ้ารู้ทั้งหมดนี้โดยประสบการณ์ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้โดยหลักฐาน และหลักฐานมีล้นเหลือ ข้าพเจ้ารู้โดยการศึกษา และแน่นอนที่สุดคือข้าพเจ้ารู้โดยวิญญาณและอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์
ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงรู้ทุกอย่างที่จำเป็นต้องรู้เพื่อตั้งมั่นเป็นนิตย์ ขอให้เราตั้งมั่นบนศิลาแห่งการเปิดเผย โดยเฉพาะเกี่ยวกับคำถามหลัก ถ้าเราตั้งมั่น เราจะตั้งมั่นเป็นนิตย์และไม่มีวันจากไป