2016
เพื่อเราจะดึงมนุษย์ทั้งปวงมาหาเรา
พฤษภาคม 2016


“เพื่อเราจะดึงมนุษย์ทั้งปวงมาหาเรา”

ขณะเราเข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น พระเดชานุภาพอันกอปรด้วยพระปรีชาสามารถแห่งการชดใช้ของพระเยซูคริสต์จะเข้ามาในชีวิตเรา

พี่น้องทั้งหลาย ขณะอาศัยอยู่ในแอฟริกา ข้าพเจ้าขอคำแนะนำจากเอ็ลเดอร์วิลฟอร์ด ดับเบิลยู. แอนเดอร์เซ็น แห่งสาวกเจ็ดสิบเกี่ยวกับการช่วยเหลือวิสุทธิชนที่มีฐานะยากจน ในบรรดาข้อคิดอันลึกซึ้งที่ท่านแบ่งปันมีข้อความนี้ “ระหว่างผู้ให้กับผู้รับ ช่องว่างยิ่งห่าง ผู้รับยิ่งอ้างสิทธิ์โดยชอบธรรม”

หลักธรรมนี้เป็นรากฐานระบบสวัสดิการของศาสนจักร เมื่อสมาชิกไม่สามารถจัดหาสิ่งจำเป็นในการยังชีพของตนเอง พวกเขาต้องหันไปพึ่งครอบครัวก่อน หลังจากนั้นหากจำเป็น พวกเขาหันมาหาผู้นำศาสนจักรในท้องที่เพื่อขอความช่วยเหลือในสิ่งจำเป็นทางโลก1 สมาชิกในครอบครัวและผู้นำศาสนจักรในท้องที่ซึ่งใกล้ชิดกับผู้ขัดสนมากที่สุดมักจะเผชิญกับสภาวการณ์ที่คล้ายกัน และเข้าใจวิธีช่วยเหลือได้ดีที่สุด เนื่องจากการอยู่ใกล้กับผู้ให้ ผู้รับความช่วยเหลือตามแบบแผนดังกล่าวจะสำนึกคุณและมีแนวโน้มในการอ้างสิทธิ์โดยชอบธรรมน้อยกว่า

แนวคิดที่ว่า—“ระหว่างผู้ให้กับผู้รับ ช่องว่างยิ่งห่าง ผู้รับยิ่งอ้างสิทธิ์โดยชอบธรรม”—มีนัยทางวิญญาณที่ลึกซึ้งเช่นกัน พระบิดาบนสวรรค์และพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ให้สูงสุด ยิ่งเราอยู่ห่างจากทั้งสองพระองค์มากเท่าใด เราก็ยิ่งรู้สึกถึงการอ้างสิทธิ์โดยชอบธรรมมากเท่านั้น เราเริ่มคิดว่าเราคู่ควรแก่การได้รับพระคุณและพรที่ค้างเราไว้ เรามีแนวโน้มที่จะเหลียวไปรอบๆ มองหาความไม่เสมอภาคและรู้สึกไม่ได้ดังใจ—กระทั่งขุ่นเคือง—โดยความอยุติธรรมที่เรารับรู้ ขณะที่ความอยุติธรรมอาจมีช่วงกว้างตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยไปจนถึงเรื่องอกสั่นขวัญแขวน เมื่อเราอยู่ห่างพระผู้เป็นเจ้า แม้ความไม่เสมอภาคเล็กๆ น้อยๆ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โต เรารู้สึกว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงมีพันธะรับผิดชอบในการแก้ไขสิ่งต่างๆ—และต้องแก้เดี๋ยวนี้!

ความแตกต่างที่เกิดจากการอยู่ใกล้ชิดพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ของเราแสดงให้เห็นในพระคัมภีร์มอรมอนในความต่างกันอย่างเห็นได้ชัดระหว่างนีไฟกับพี่ชายของท่าน เลมันและเลมิวเอล

  • นีไฟมี “ความปรารถนามากด้วยที่จะรู้ความลี้ลับของพระผู้เป็นเจ้า, ดังนั้น, [ท่าน] ร้องทูลพระเจ้า,” และใจท่านอ่อนลง2 ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง เลมันกับเลมิวเอลห่างเหินพระผู้เป็นเจ้า—พวกเขาไม่รู้จักพระองค์

  • นีไฟยอมรับงานมอบหมายที่ท้าทายโดยไม่บ่นว่า แต่เลมันกับเลมิวเอล “พร่ำบ่นในหลายสิ่ง” การพร่ำบ่นเป็นตัวอย่างในพระคัมภีร์ของการงอแงเหมือนเด็กๆ พระคัมภีร์บันทึกว่า “พวกเขาพร่ำบ่นเพราะพวกเขาหารู้ไม่ถึงการกระทำของพระผู้เป็นเจ้าองค์นั้นผู้ทรงสร้างพวกเขา.”3

  • ความใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าของนีไฟทำให้ท่านยอมรับและซาบซึ้งใน “พระเมตตาอันละเอียดอ่อน”4 ของพระผู้เป็นเจ้า ตรงกันข้าม เมื่อเลมันและเลมิวเอลเห็นนีไฟได้รับพรพวกเขา “โกรธท่านเพราะพวก เขา ไม่เข้าใจวิธีการ ของพระเจ้า”5 เลมันกับเลมิวเอลเห็นว่าพรที่พวกเขาได้เป็นสิ่งสมควรได้รับและทึกทักอย่างขุ่นเคืองว่าควรได้รับมากกว่านั้น ดูเหมือนพวกเขาจะเห็นว่าพรของนีไฟเป็น “สิ่งผิด” ที่ละเมิดต่อพวกเขา นี่คือตัวอย่างในพระคัมภีร์ของการอ้างสิทธิ์โดยชอบธรรมที่ไม่ได้เป็นดังใจหวัง

  • นีไฟใช้ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าทำงานที่ได้รับมอบหมายจนสำเร็จ6 ตรงกันข้าม เลมันกับเลมิวเอลที่ “มีใจแข็งกระด้าง … มิได้พึ่งพาพระเจ้าเท่าที่ควร”7 ดูเหมือนพวกเขารู้สึกว่าพระเจ้าต้องตอบคำถามที่พวกเขาไม่ได้ถาม “พระเจ้ามิได้ทรงทำให้เรื่องเช่นนั้นเป็นที่รู้แก่เรา” พวกเขากล่าว แต่พวกเขาไม่แม้แต่จะพยายามถาม8 นี่คือตัวอย่างในพระคัมภีร์ของความคลางแคลงใจแบบเย้ยหยัน

เพราะความห่างเหินจากพระผู้ช่วยให้รอด เลมันกับเลมิวเอลพร่ำบ่น ขัดแย้งและไร้ซึ่งศรัทธา พวกเขารู้สึกว่าชีวิตอยุติธรรมและพวกเขามีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะได้รับพระคุณของพระผู้เป็นเจ้า ตรงกันข้ามเพราะท่านเข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้า นีไฟต้องยอมรับว่าชีวิตน่าจะอยุติธรรมที่สุดต่อพระเยซูคริสต์ แม้ทรงเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง แต่พระผู้ช่วยให้รอดต้องทนทุกข์มากที่สุด

ยิ่งเราใกล้ชิดพระเยซูคริสต์ในความคิดและเจตนารมณ์แห่งใจมากเท่าใด เรายิ่งซาบซึ้งในการทนทุกข์ที่ไร้ความผิดของพระองค์ ยิ่งสำนึกในพระคุณและการให้อภัย และยิ่งต้องการกลับใจและเป็นเหมือนพระองค์ ระยะห่างของเราจากพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์เป็นสิ่งสำคัญ แต่ทิศทางที่เราหันหน้าไปนั้นสำคัญอย่างยิ่งยวดกว่า คนบาปที่กลับใจผู้พยายามเข้าใกล้พระองค์เป็นที่พอพระทัยของพระผู้เป็นเจ้ายิ่งกว่าผู้อ้างความชอบธรรมของตนเอง เป็นคนชอบจับผิด เหมือนพวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์ในสมัยโบราณ ผู้ไม่เคยตระหนักว่าตนเองต้องกลับใจมากเพียงใด9

เมื่อยังเด็ก ข้าพเจ้าร้องเพลงคริสต์มาสของชาวสวีเดนที่สอนบทเรียนเรียบง่ายแต่ทรงพลัง—การเข้าใกล้พระผู้ช่วยให้รอด เป็นเหตุ ให้เราเปลี่ยนแปลง เนื้อเพลงว่าไว้ดังนี้

เช้าคริสต์มาสส่องแสงจ้า

ข้าฯ อยากไปที่คอกสัตว์

ซึ่งราตรีนั้นพระเป็นเจ้า

ทรงพักผ่อนอยู่แล้วบนฟาง

ดีนะที่ทรงปรารถนา

จะมายังโลกนี้!

บัดนี้ ข้าฯ ไม่อยากปล่อยให้

วัยเด็กเสียไปกับบาปอีกแล้ว!

พระเยซู เราต้องการพระองค์

ผู้ทรงเป็นเพื่อนรักของเด็กๆ

ข้าฯ จะไม่ทำให้เสียพระทัย

ด้วยบาปของข้าอีกแล้ว10

สมมติว่าเราส่งตัวเองไปที่คอกสัตว์ในเบธเลเฮม “ซึ่งราตรีนั้นพระเป็นเจ้าทรงพักผ่อนอยู่แล้วบนฟาง” เราจะรู้จัก พระผู้ช่วยให้รอดลึกซึ้งขึ้นในฐานะเป็นของประทานจากพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงการุญและเปี่ยมด้วยรัก แทนที่จะอ้างสิทธิ์โดยชอบธรรมในพรและพระคุณ เราจะปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหยุดทำให้พระผู้เป็นเจ้าทรงโศกเศร้ามากไปกว่านี้

ไม่ว่าทิศทางหรือระยะห่างของเรากับพระผู้เป็นเจ้าและพระเยซูคริสต์ในปัจจุบันจะเป็นเช่นไร เราเลือกได้ที่จะหันกลับมาหาพระองค์และเข้าใกล้พระองค์มากขึ้น ทั้งสองพระองค์จะทรงช่วยเรา ดังที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงบอกกับชาวนีไฟหลังการฟื้นคืนพระชนม์ว่า

“และพระบิดาของเราทรงส่งเรามาเพื่อเราจะได้ถูกยกขึ้นบนกางเขน; และหลังจากที่เราถูกยกขึ้นบนกางเขนแล้ว, เพื่อเราจะดึงมนุษย์ทั้งปวงมาหาเรา. …

“และเพราะเหตุนี้เราจึงได้รับการยกขึ้น ; ฉะนั้น ตามเดชานุภาพของพระบิดา เราจะดึงมนุษย์ทั้งปวงมาหาเรา”11

เพื่อเข้าใกล้พระผู้ช่วยให้รอดมากขึ้น เราต้องเพิ่มพูนศรัทธาในพระองค์ ทำและรักษาพันธสัญญา และมีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับเรา ทั้งเราต้องกระทำในศรัทธา ตอบสนองการนำทางด้านวิญญาณที่เราได้รับ องค์ประกอบสำคัญทั้งหมดนี้เกิดร่วมกันในศีลระลึก แท้จริงแล้ว วิธีเข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้าได้ดีที่สุดที่ข้าพเจ้ารู้คือเตรียมพร้อมด้วยสำนึกที่ดีและรับส่วนศีลระลึกอย่างมีค่าควรทุกสัปดาห์

เพื่อนของเราที่แอฟริกาใต้เล่าให้ฟังว่าเธอตระหนักถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร เมื่อไดแอนเป็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่ เธอเข้าโบสถ์ที่สาขานอกเมืองโยฮันเนสเบิร์ก วันอาทิตย์วันหนึ่ง ขณะเธอนั่งในที่ประชุม ผังของอาคารนมัสการทำให้มัคนายกไม่เห็นเธอขณะส่งผ่านศีลระลึก ไดแอนผิดหวังมากแต่ไม่พูดอะไร สมาชิกอีกคนหนึ่งสังเกตเห็นว่าเธอไม่ได้รับส่วนจึงแจ้งกับประธานสาขาหลังจากการประชุมและโรงเรียนวันอาทิตย์เริ่มแล้ว เขาเชิญไดแอนไปที่ห้องเรียนว่างห้องหนึ่ง

ผู้ดำรงฐานะปุโรหิตคนหนึ่งเข้ามา คุกเข่า ให้พรขนมปัง และส่งให้เธอ เธอรับมาทาน เขาคุกเข่าลงอีกแล้วให้พรน้ำและส่งถ้วยให้เธอ เธอรับมาดื่ม หลังจากนั้น ไดแอนมีความคิดสองอย่างแวบเข้ามาติดๆ กัน: เรื่องแรก “โอ้ เขา [ผู้ดำรงฐานะปุโรหิต] ทำสิ่งนี้ให้ฉันคนเดียว” แล้วก็ “โอ้ พระองค์ [พระผู้ช่วยให้รอด] ทรงทำให้ฉันคนเดียว” ไดแอนรู้สึกถึงความรักของพระบิดาบนสวรรค์

การที่เธอตระหนักว่าการพลีพระชนม์ชีพของพระผู้ช่วยให้รอดมีขึ้นเพื่อเธอช่วยให้เธอรู้สึกใกล้ชิดพระองค์ จุดพลังความปรารถนาอันท่วมท้นที่จะรักษาความรู้สึกนั้นไว้ในใจ ไม่เพียงในวันอาทิตย์ แต่ทุกวัน เธอตระหนักว่าแม้เธอจะนั่งในที่ประชุมเพื่อรับส่วนศีลระลึก แต่พันธสัญญาที่เธอต่อในทุกวันอาทิตย์เป็นส่วนของเธอโดยเฉพาะ ศีลระลึกช่วย—และจะช่วยต่อไป—ให้ไดแอนรู้สึกถึงพลังอำนาจแห่งความรักแบบพระผู้เป็นเจ้า รับรู้ถึงพระหัตถ์ของพระเจ้าในชีวิต และดึงเธอให้เข้าใกล้พระผู้ช่วยให้รอดมากขึ้น

พระผู้ช่วยให้รอดทรงกำหนดให้ศีลระลึกเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับรากฐานทางวิญญาณ พระองค์ตรัสว่า

“และเราให้บัญญัติแก่เจ้าว่าเจ้าจงทำสิ่งเหล่านี้ [รับส่วนศีลระลึก]. และหากเจ้าทำสิ่งเหล่านี้เสมอเจ้าย่อมเป็นสุข, เพราะเจ้าสร้างอยู่บนศิลาของเรา.

“แต่ผู้ใดในบรรดาพวกเจ้าจะทำมากหรือน้อยไปกว่านี้ย่อมไม่ได้สร้างอยู่บนศิลาของเรา, แต่สร้างอยู่บนรากฐานทราย และเมื่อฝนลงมา, และน้ำท่วม, และลมพัด, กระหน่ำมาที่พวกเขา, พวกเขาจะล้ม”12

พระเยซูไม่ได้ตรัสว่า “ถ้า ฝนลงมา และ ถ้า น้ำท่วมและ ถ้า ลมพัด กระหน่ำ” แต่ตรัสว่า “เมื่อ” ไม่มีใครมีภูมิต้านทานความยากลำบากของชีวิต เราทุกคนต้องการความปลอดภัยที่มาจากการรับส่วนศีลระลึก

ในวันที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงฟื้นคืนพระชนม์ สานุศิษย์สองคนเดินทางไปหมู่บ้านเอมมาอูส ทรงร่วมทางไปด้วยโดยที่พวกเขาจำพระเจ้าผู้ทรงเป็นขึ้นแล้วไม่ได้ ขณะเดินทาง พระองค์ทรงสอนพวกเขาจากพระคัมภีร์ เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง พวกเขาเชิญพระองค์ให้ร่วมเสวยด้วยกัน

“เมื่อประทับที่โต๊ะอาหารกับพวกเขา พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ขอพระพร แล้วทรงหักส่งให้เขา

“ตาของเขาทั้งสองก็เปิดออกและเขาก็จำพระองค์ได้ แล้วพระองค์ก็อันตรธานไปจากเขา

“เขาจึงพูดกันว่า ใจเรารุ่มร้อนภายในเมื่อพระองค์ตรัสตามทาง และเมื่อทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟังไม่ใช่หรือ?

“เขาทั้งสองก็ลุกขึ้นในเวลานั้น แล้วกลับไปที่กรุงเยรูซาเล็ม และพบว่า [อัครสาวก] สิบเอ็ดคนชุมนุมกันอยู่”

และแล้วพวกเขาได้เป็นพยานต่ออัครสาวกว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นขึ้นมาแล้วจริงๆ …

“สองคนนั้นจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตามทาง และเรื่องที่เขารู้จักพระองค์โดยการหักขนมปังนั้น”13

ศีลระลึกช่วยให้เรารู้จักพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ ช่วยเตือนให้เรานึกถึงการที่ทรงทนทุกข์โดยไร้ความผิดด้วย ถ้าชีวิตมีความยุติธรรมจริง ท่านและข้าพเจ้าจะไม่มีวันฟื้นคืนชีวิตเลย ท่านและข้าพเจ้าจะไม่มีวันยืนอย่างสะอาดต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้าได้เลย ในประเด็นนี้ข้าพเจ้าสำนึกคุณที่ชีวิตไม่ยุติธรรม

ในเวลาเดียวกัน ข้าพเจ้าจะพูดเน้นย้ำได้ด้วยว่า เนื่องจากการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ ในที่สุด ในแผนนิรันดร์ของสิ่งต่างๆ ไม่มีความอยุติธรรม “ความอยุติธรรมทั้งหลายในชีวิตจะได้รับการแก้ไข”14 สถานการณ์ปัจจุบันของเราอาจไม่เปลี่ยนไป แต่โดยพระเมตตา พระกรุณาธิคุณและความรักของพระผู้เป็นเจ้า เราทุกคนจะได้รับมากกว่าที่ควรได้รับ มากกว่าที่เราเคยหาได้ และมากกว่าที่เราเคยหวังมา เรามีสัญญาว่า “พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆ หยดจากตาของ [เรา] และความตายจะไม่มีอีกต่อไป ความโศกเศร้า การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคเดิมนั้นผ่านไปแล้ว”15

ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใดในสัมพันธภาพกับพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเชิญท่านเข้าใกล้พระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์มากขึ้น พระผู้ทรงพระคุณอันเลิศล้ำและพระผู้ให้สิ่งทั้งปวงที่ดี ข้าพเจ้าเชิญท่านเข้าประชุมศีลระลึกทุกสัปดาห์ รับส่วนเครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์แทนพระวรกายและพระโลหิตของพระผู้ช่วยให้รอด ข้าพเจ้าเชิญท่านให้รู้สึกใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้าดังที่พระองค์ทรงให้ท่านรู้ ดังที่ทรงใกล้ชิดสานุศิษย์สมัยโบราณใน “การหักขนมปัง[นั้น]”

ขณะทำเช่นนั้น ข้าพเจ้าสัญญาว่าท่านจะรู้สึกใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น แนวโน้มที่จะมีการงอแงเหมือนเด็กๆ การอ้างสิทธิ์โดยชอบธรรมที่ไม่ได้เป็นดังใจหวัง และความคลางแคลงใจแบบเย้ยหยันจะลดลง สภาวะเหล่านั้นจะถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกรักมากขึ้นและสำนึกคุณในของประทานจากพระบิดาคือพระบุตรของพระองค์ ขณะเราเข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น พระเดชานุภาพอันกอปรด้วยพระปรีชาสามารถแห่งการชดใช้ของพระเยซูคริสต์จะเข้ามาในชีวิตเรา และเฉกเช่นสานุศิษย์บนเส้นทางเอมมาอูส เราจะพบว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงอยู่เคียงข้างตลอดทาง ข้าพเจ้าเป็นพยานและกล่าวคำพยานในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. ดู คู่มือเล่ม 2: การบริหารงานศาสนจักร (2010), 6.2. จาก หน้า 1 ของ การจัดหาให้ตามวิธีของพระเจ้า: บทสรุปของ คู่มือสวัสดิการของผู้นำ (จุลสาร 2009), เราอ่านว่า “เมื่อสมาชิกทำสุดความสามารถ เพื่อเลี้ยงดูตนเองแต่ยังไม่สามารถสนองความจำเป็นพื้นฐานของพวกเขาได้พวกเขาควรหันไปขอความช่วยเหลือจากครอบครัวก่อน หากยังไม่เพียงพอศาสนจักรก็พร้อมจะช่วยเหลือ.”

  2. 1 นีไฟ 2:16.

  3. 1 นีไฟ 2:11, 12.

  4. 1 นีไฟ 1:20.

  5. โมไซยาห์ 10:14.

  6. ดู 1 นีไฟ 17:23–50.

  7. 1 นีไฟ 15:3.

  8. 1 นีไฟ 15:9; ดู ข้อ 8 ด้วย.

  9. ดู ลูกา 15:2; ดูโจเซฟ สมิธ, ใน History of the Church, 5:260–62 ด้วย.

  10. เพลงคริสต์มาสนี้เขียนเป็นภาษาเยอรมันโดย อาเบล เบิร์คฮาร์ดท์ (1805–82) ผู้รับใช้เป็นรองบาทหลวงในบาเซล สวิตเซอร์แลนด์ แปลเป็นภาษาสวีเดนเมื่อปี 1851 โดย เบทตี เอห์เรนบอร์ก-โพซ์เซ ชื่อในภาษาสวีเดน “När juldagsmorgon glimmar.” แปลเป็นภาษาอังกฤษหลายครั้งเพื่อให้เพลงนี้สามารถร้องได้กับทำนองเพลงพื้นบ้านเยอรมันซึ่งใช้เป็นแบบฉบับของเพลง การแปลเป็นภาษาอังกฤษในที่นี้เป็นการแปลของน้องสาวข้าพเจ้า (แอนนิตา เอ็ม. เรนลันด์) และของข้าพเจ้า.

    เช้าคริสต์มาสส่องแสงจ้า

    ข้าฯ อยากไปที่คอกสัตว์,

    |: ซึ่งราตรีนั้นพระเป็นเจ้า

    ทรงพักผ่อนอยู่แล้วบนฟาง. :|

    ดีนะที่ทรงปรารถนา

    จะมายังโลกนี้!

    |: บัดนี้ ข้าฯ ไม่อยากปล่อยให้

    วัยเด็กเสียไปกับบาปอีกแล้ว! :|

    พระเยซู เราต้องการพระองค์, ผู้ทรงเป็นเพื่อนรักของเด็กๆ.

    |: ข้าฯ จะไม่ทำให้เสียพระทัย

    ด้วยบาปของข้าอีกแล้ว. :|

    När juldagsmorgon glimmar,

    jag vill till stallet gå,

    |: där Gud i nattens timmar

    re’n vilar uppå strå. :|

    Hur god du var som ville

    till jorden komma ner!

    |: Nu ej i synd jag spille

    min barndoms dagar mer! :|

    Dig, Jesu, vi behöva,

    du käre barnavän.

    |: Jag vill ej mer bedröva

    med synder dig igen. :|

  11. 3 นีไฟ 27:14–15.

  12. 3 นีไฟ 18:12–13.

  13. ลูกา 24:30–35; ดู ข้อ 13–29 ด้วย.

  14. สั่งสอนกิตติคุณของเรา: แนวทางการรับใช้งานเผยแผ่ศาสนา (2004), 52.

  15. วิวรณ์ 21:4.