2016
พระองค์จะทรงแบกท่านไว้และพาท่านกลับบ้าน
พฤษภาคม 2016


พระองค์จะทรงแบกท่านไว้และพาท่านกลับบ้าน

เฉกเช่นพระเมษบาลผู้ประเสริฐทรงพบแกะที่หายไปของพระองค์ หากท่านจะเพียงยกระดับจิตใจท่านไปหาพระผู้ช่วยให้รอดของโลก พระองค์จะทรงพบท่าน

ความทรงจำวัยเด็กเรื่องหนึ่งที่ยังคงหลอกหลอนข้าพเจ้าเริ่มต้นด้วยเสียงสัญญาณเตือนภัยทางอากาศอันโหยหวนมาแต่ไกลซึ่งปลุกข้าพเจ้าจากการนอน ไม่นานนักอีกเสียงหนึ่งที่ฮัมเป็นจังหวะของใบพัดค่อยๆ ดังขึ้นจนกระทั่งอากาศทุกอณูสั่นไหว เนื่องจากคุณแม่ฝึกฝนเราเป็นอย่างดี เราลูกๆ แต่ละคนคว้ากระเป๋าของเราและวิ่งไปยังหลุมหลบภัยที่เนินเขา ขณะที่เราเร่งรีบไปในความมืดมิดยามค่ำคืน ไฟสัญญาณสีเขียวและสีขาวทิ้งตัวลงมาจากฟ้าเพื่อชี้เป้าให้เครื่องบินทิ้งระเบิด เป็นเรื่องน่าแปลกที่ทุกคนเรียกไฟสัญญาณนี้ว่าต้นคริสต์มาส

ข้าพเจ้าอายุสี่ขวบ และข้าพเจ้าเป็นพยานถึงโลกที่เกิดสงคราม

เดรสเดิน

เมืองเดรสเดินอยู่ไม่ห่างจากบริเวณที่ครอบครัวข้าพเจ้าอาศัยอยู่ ผู้อาศัยอยู่ที่นั่นอาจเห็นสิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นใหญ่กว่านับพันเท่า พายุไฟลูกมหึมาอันเกิดจากแรงระเบิดหลายพันตันกวาดเมืองเดรสเดินเกือบทั้งเมือง พื้นที่ถูกทำลายไปกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ แทบไม่เหลืออะไรเลยนอกจากซากปรักหักพังและเถ้าถ่าน

เดรสเดินเป็นซากปรักหักพัง

ชั่วเวลาสั้นๆ เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเล่นว่า “กล่องอัญมณี” ก็ไม่มีอีกต่อไป อีริค แคสท์เนอร์ นักประพันธ์ชาวเยอรมันเขียนถึงการทำลายล้างว่า “ในหนึ่งพันปีสร้างนครสวยงามนี้ ในหนึ่งราตรีนครนี้พินาศสิ้น”1 สมัยข้าพเจ้ายังเด็กข้าพเจ้านึกไม่ออกว่าความพินาศของสงครามที่คนของเราเองเป็นผู้ก่อจะยุติปัญหาตลอดไปได้อย่างไร โลกรอบข้างเราดูจะสูญสิ้นความหวังและไร้ซึ่งอนาคตใดๆ เลย

ปีที่แล้วข้าพเจ้ามีโอกาสกลับไปเดรสเดิน เจ็ดสิบปีหลังสงครามครั้งนั้น เดรสเดินเป็น “กล่องอัญมณี” แห่งนครอีกครั้ง ซากปรักหักพังไม่มีหลงเหลือให้เห็น เมืองได้รับการฟื้นฟูและพัฒนา

Frauenkirche ถูกทำลาย

ระหว่างการเยือน ข้าพเจ้าเห็นโบสถ์ของคริสตจักรลูเทอแรนที่สวยงาม Frauenkirche โบสถ์แม่พระ (Church of Our Lady) เดิมสร้างขึ้นในทศวรรษ 1700 เป็นหนึ่งในอัญมณีเจิดจรัสของเดรสเดิน แต่สงครามถล่มสถานที่แห่งนี้กลายเป็นซากปรักหักพัง อยู่ในสภาพนั้นเป็นเวลาหลายปี จนในที่สุดมีมติให้สร้าง Frauenkirche ขึ้นใหม่

Frauenkirche สร้างขึ้นใหม่

หินจากโบสถ์ที่พังทลายได้นำมาเก็บไว้และคัดแยกประเภท นำมาใช้ในการก่อสร้างใหม่หากทำได้ ปัจจุบันท่านสามารถเห็นหินที่มีรอยไหม้ดำเกรียมอยู่บนกำแพงด้านนอก “แผลเป็น” เหล่านี้ไม่เพียงเป็นเครื่องเตือนใจถึงประวัติศาสตร์ของอาคารหลังนี้ในช่วงสงครามแต่ยังเป็นอนุสรณ์สถานแก่ความหวัง—สัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่แห่งความสามารถของมนุษย์ในการสร้างชีวิตใหม่จากเถ้าถ่านด้วย

Frauenkirche เป็นอนุสรณ์สถานแด่ความหวัง

ขณะข้าพเจ้าไตร่ตรองประวัติศาสตร์ของเดรสเดิน อัศจรรย์ใจในความเฉลียวฉลาดและการตัดสินใจของผู้ฟื้นฟูสิ่งที่ถูกทำลายลงอย่างราบคาบเช่นนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกถึงอิทธิพลอันอ่อนโยนของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ แน่นอน ข้าพเจ้าคิดว่าถ้ามนุษย์สามารถนำเศษซากปรักหักพังและสิ่งที่เหลืออยู่ของเมืองที่พังทลายมาสร้างอาคารสวยงามน่าประทับใจขึ้นใหม่ซึ่งสูงตระหง่านสู่ฟ้าสวรรค์ พระปรีชาสามารถของพระบิดาผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะมีมากกว่านั้นสักเพียงใดในการฟื้นฟูบุตรธิดาของพระองค์ผู้ที่ตกแล้ว ผู้ที่ดิ้นรน หรือหลงทาง

ไม่สำคัญว่าชีวิตเราเคยพินาศมาแล้วเพียงใด ไม่สำคัญว่าบาปของเราจะสีแดงเข้มเพียงใด เรารู้สึกขมขื่นเพียงใด เราอ้างว้างเพียงใด เราโดดเดี่ยวเพียงใด หรือใจเราแหลกสลายเพียงใด แม้ผู้ที่ไร้ความหวัง ผู้ที่มีชีวิตอยู่ในความสิ้นหวัง ผู้ที่ทรยศต่อความไว้วางใจ ละทิ้งความซื่อสัตย์สุจริต หรือหันไปจากพระผู้เป็นเจ้าก็สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ เว้นแต่บุตรแห่งหายนะ ไม่มีชีวิตใดจะแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนไม่อาจฟื้นฟูขึ้นมาใหม่

ข่าวอันน่ายินดีของพระกิตติคุณคือ เพราะแผนนิรันดร์แห่งความสุขของพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงรักเราและโดยการพลีพระชนม์ชีพอันไร้ขอบเขตของพระเยซูคริสต์ เราไม่เพียงรับการไถ่จากสถานะแห่งการตกของเราและได้รับการฟื้นฟูสู่ความบริสุทธิ์เท่านั้น แต่เรายังสามารถก้าวหน้าเกินกว่ามนุษย์จะจินตนาการได้ กลายเป็นทายาทแห่งชีวิตนิรันดร์และเป็นผู้รับส่วนรัศมีภาพที่สุดจะพรรณนาของพระผู้เป็นเจ้าด้วย

อุปมาเรื่องแกะที่หายไป

ระหว่างการปฏิบัติศาสนกิจของพระผู้ช่วยให้รอด ผู้นำทางศาสนาในสมัยของพระองค์ไม่เห็นด้วยกับพระเยซูที่ทรงใช้เวลากับผู้คนซึ่งพวกเขาตราหน้าว่าเป็น “คนบาป”

ในทัศนะของพวกเขาอาจดูเหมือนว่าพระองค์ทรงยอมผ่อนปรนหรือแม้กระทั่งไม่ถือโทษพฤติกรรมอันเป็นบาป บางทีพวกเขาเชื่อว่าวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยให้คนบาปกลับใจคือการประณาม เย้ยหยัน และทำให้อับอาย

เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงตระหนักว่าบรรดาฟาริสีและธรรมาจารย์คิดเช่นไร พระองค์ทรงเล่าเรื่องดังนี้

“ใครในพวกท่านที่มีแกะร้อยตัวและตัวหนึ่งหลงหายไป จะไม่ทิ้งเก้าสิบเก้าตัวนั้นไว้ที่กลางทุ่งหญ้าแล้วออกไปตามหาตัวที่หายไปนั้นจนกว่าจะพบหรือ?

“และเมื่อพบแล้ว เขาจะยกขึ้นใส่บ่าแบกมาด้วยความชื่นชมยินดี”2

เป็นเวลาหลายศตวรรษที่มีการตีความอุปมานี้สืบเนื่องกันมาว่าเป็นการเรียกให้เรานำแกะที่หายไปกลับมาและออกไปช่วยผู้ที่หลงหาย ขณะที่การตีความนี้ถูกต้องและดี แต่ข้าพเจ้าสงสัยว่ายังมีความหมายมากกว่านี้หรือไม่

เป็นไปได้ไหมว่าจุดประสงค์ของพระเยซู ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือสอนเกี่ยวกับงานของพระเมษบาลผู้ประเสริฐ

เป็นไปได้ไหมว่าพระองค์ทรงเป็นพยานถึงความรักที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมีต่อบุตรธิดาที่ดื้อดึงของพระองค์

เป็นไปได้ไหมว่าข่าวสารของพระผู้ช่วยให้รอดคือพระผู้เป็นเจ้าทรงตระหนักอย่างถ่องแท้ถึงผู้ที่หลงหายไป—ว่าพระองค์จะทรงตามหาพวกเขา ว่าพระองค์จะทรงออกไปหาพวกเขา และว่าพระองค์จะทรงช่วยเหลือพวกเขา

ถ้าเป็นเช่นนั้น แกะต้องทำอะไรเพื่อให้คู่ควรแก่ความช่วยเหลือจากสวรรค์

แกะต้องรู้จักวิธีใช้เครื่องวัดระยะเส้นรุ้งเส้นแวงอันซับซ้อนเพื่อคำนวณหาพิกัดร่วมทางภูมิศาสตร์หรือไม่ หรือต้องสามารถใช้จีพีเอสเพื่อหาตำแหน่งของตัวมันเองหรือไม่ หรือต้องมีความสามารถในการสร้างแอพเพื่อร้องขอความช่วยเหลือหรือไม่ แกะต้องมีผู้อุปถัมภ์รับรองก่อนที่พระเมษบาลผู้ประเสริฐจะมาช่วยเหลือไหม

ไม่ แน่นอนว่าไม่! แกะมีค่าควรแก่ความช่วยเหลือจากสวรรค์เพียงเพราะแกะเป็นที่รักของพระเมษบาลผู้ประเสริฐ

สำหรับข้าพเจ้า อุปมาเรื่องแกะหายเป็นข้อความที่เปี่ยมด้วยความหวังมากที่สุดข้อหนึ่งในพระคัมภีร์ทั้งหมด

พระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเมษบาลผู้ประเสริฐ ทรงรู้จักและทรงรักเรา พระองค์ทรงรู้จักและทรงรักท่าน

พระองค์ทรงทราบเมื่อท่านหลงทาง และพระองค์ทรงทราบว่าท่านอยู่ที่ไหน พระองค์ทรงทราบความโศกเศร้าของท่าน คำวิงวอนในใจท่าน ความกลัวของท่าน น้ำตาของท่าน

ไม่สำคัญว่าท่านจะหลงหายอย่างไร—ไม่ว่าจะเป็นเพราะการเลือกที่ไม่ถูกต้องของตัวท่านเองหรือเพราะสภาพการณ์ที่นอกเหนือการควบคุมของท่าน

สิ่งสำคัญคือท่านเป็นบุตรธิดาของพระองค์ และพระองค์ทรงรักท่าน พระองค์ทรงรักบุตรธิดาของพระองค์

ช่วยชีวิตแกะหลงหาย

เพราะพระองค์ทรงรักท่าน พระองค์จะทรงพบท่าน พระองค์จะทรงแบกท่านไว้ด้วยความชื่นชมยินดี และเมื่อพระองค์ทรงพาท่านกลับบ้าน พระองค์จะตรัสกับท่านและทุกคนว่า “มาร่วมยินดีกับข้า เพราะข้าพบแกะของข้าที่หายไปนั้นแล้ว”3

เราต้องทำอะไร?

แต่ท่านอาจคิดว่า มีเงื่อนงำอะไรหรือเปล่า แน่นอนว่าฉันต้องทำมากกว่ารอรับความช่วยเหลือเท่านั้น

ขณะที่พระบิดาผู้ทรงรักเราทรงปรารถนาให้บุตรธิดาทุกคนกลับไปหาพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงบังคับใครให้ไปสวรรค์4 พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงช่วยเราโดยขัดกับความประสงค์ของเรา

ดังนั้นเราต้องทำอะไร

พระดำรัสเชิญของพระองค์เรียบง่าย

“กลับ … มาหาเรา”5

“จงมาหาเรา”6

“จงเข้ามาอยู่ใกล้เราและเราจะเข้ามาอยู่ใกล้เจ้า”7

นี่คือวิธีที่เราแสดงให้พระองค์ทรงเห็นว่าเราต้องการความช่วยเหลือ

สิ่งนี้เรียกร้องศรัทธาเล็กน้อย แต่ไม่ต้องสิ้นหวัง ถ้าท่านไม่สามารถรวบรวมศรัทธาในเวลานี้ ขอให้เริ่มต้นด้วยความหวัง

ถ้าท่านไม่สามารถพูดว่าท่านรู้ว่ามีพระผู้เป็นเจ้า ท่านหวังได้ว่าพระองค์ทรงมีอยู่จริง ท่านปรารถนาจะเชื่อได้8 นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะเริ่มต้น

จากนั้นปฏิบัติตามความหวังนั้น เอื้อมออกไปหาพระบิดาบนสวรรค์ พระผู้เป็นเจ้าจะทรงหยิบยื่นความรักของพระองค์มาให้ท่าน งานแห่งการช่วยชีวิตของพระองค์และการเปลี่ยนแปลงจะเริ่มต้น

เมื่อเวลาผ่านไป ท่านจะรับรู้ถึงพระหัตถ์ของพระองค์ในชีวิตท่าน ท่านจะรู้สึกถึงความรักของพระองค์ ความปรารถนาจะเดินในความสว่างและดำเนินตามทางของพระองค์จะเติบโตไปพร้อมๆ กับทุกอย่างก้าวแห่งศรัทธาที่ท่านเดิน

เราเรียกขั้นตอนแห่งศรัทธานี้ว่า “การเชื่อฟัง”

นี่ไม่ใช่คำซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบัน แต่การเชื่อฟังเป็นแนวคิดที่น่ายึดมั่นในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ เพราะเรารู้ว่า “โดยผ่านการชดใช้ของพระคริสต์, มนุษยชาติทั้งมวลจะรอดได้, โดยการเชื่อฟังกฎและศาสนพิธีทั้งหลายของพระกิตติคุณ.”9

เมื่อเรามีศรัทธาเพิ่มขึ้น เราต้องมีความซื่อสัตย์เพิ่มขึ้นด้วย ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าอ้างอิงคำพูดจากนักประพันธ์ชาวเยอรมันผู้รำพันถึงความพินาศของเดรสเดิน ท่านเป็นผู้เขียนประโยคนี้เช่นกัน “Es gibt nichts Gutes, ausser Man tut es” สำหรับท่านที่ไม่ได้พูดภาษาซีเลสเชียล ประโยคนี้แปลว่า “ไม่มีสิ่งใดบังเกิดผลถ้าคุณไม่ทำ”10

ท่านกับข้าพเจ้าอาจพูดจาฉาดฉานถึงเรื่องทางวิญญาณ เราอาจทำให้ผู้อื่นประทับใจกับการตีความด้วยสติปัญญาอันหลักแหลมของเราเกี่ยวกับหัวข้อทางศาสนา เราอาจพูดด้วยอารมณ์ความรู้สึกอันลึกซึ้งเกี่ยวกับศาสนาและ “ฝันเลื่อนลอยถึงสวรรค์ชั้นฟ้า [ของเรา]”11 แต่ถ้าศรัทธาของเราไม่เปลี่ยนวีธีดำเนินชีวิตของเรา—ถ้าความเชื่อของเราไม่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในชีวิตประจำวันของเรา—ศาสนาของเราก็เปล่าประโยชน์ ศรัทธาของเรา ถ้าไม่ตาย ก็แน่นอนว่าอาการไม่ดีและตกอยู่ในอันตรายอาจถึงตายในที่สุด12

การเชื่อฟังหล่อเลี้ยงพลังศรัทธา เพราะการเชื่อฟังเราจึงรวบรวมความสว่างเข้าสู่จิตวิญญาณเรา

แต่บางครั้งข้าพเจ้าคิดว่าเราเข้าใจผิดเรื่องการเชื่อฟัง เราอาจเห็นว่าการเชื่อฟังเป็นเป้าหมายแทนที่จะเป็นวิธีดำเนินไปสู่เป้าหมาย หรือเราอาจกระหน่ำค้อนเชิงอุปลักษณ์ของการเชื่อฟังกับทั่งเหล็กที่เป็นเสมือนพระบัญญัติด้วยความพยายามหล่อหลอมคนที่เรารักผ่านความร้อนอย่างต่อเนื่องพร้อมทั้งตีกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้เขากลายเป็นผู้บริสุทธิ์และสูงส่ง

ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีบางครั้งที่เราต้องการเสียงเรียกอย่างเข้มงวดให้กลับใจ แน่นอนว่ามีบางคนอาจต้องเข้าถึงด้วยวิธีนี้เท่านั้น

แต่บางทีอาจมีอุปลักษณ์ที่แตกต่างซึ่งอธิบายได้ว่าเหตุใดเราจึงเชื่อฟังพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า บางทีการเชื่อฟังอาจไม่ใช่ขั้นตอนของการงอ บิด และทุบตีจิตวิญญาณของเราให้เป็นบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่ได้เป็น ในทางกลับกัน นี่คือกระบวนการซึ่งเราค้นพบว่าโดยแท้แล้วเราทำมาจากสิ่งใด

พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงสร้างเรา พระองค์ทรงเป็นพระบิดาบนสวรรค์ของเรา เราเป็นบุตรธิดาทางวิญญาณของพระองค์อย่างแท้จริง พระองค์ทรงสร้างเราจากสสารอันสูงส่งล้ำค่าที่สุดและบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ดังนั้นเราจึงมีสสารแห่งสวรรค์อยู่ในตัวเรา

อย่างไรก็ตาม ความคิดและการกระทำของเราที่นี่บนแผ่นดินโลกถูกกีดกั้นด้วยสิ่งที่เสื่อมทราม ไม่ศักดิ์สิทธิ์ และมีมลทิน ผงธุลีและความสกปรกของโลกแปดเปื้อนจิตวิญญาณเรา ทำให้ยากที่จะจดจำรำลึกถึงสิทธิกำเนิดและจุดประสงค์ของเรา

แต่ทั้งหมดนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงว่าที่แท้แล้วเราเป็นใคร ความสูงส่งอันเป็นรากฐานแห่งธรรมชาติวิสัยของเรายังดำรงอยู่ ชั่วขณะที่เราเลือกให้ใจเราโน้มเอียงไปหาพระผู้ช่วยให้รอดที่รักของเราและย่างก้าวไปบนเส้นทางแห่งความเป็นสานุศิษย์ มีสิ่งอัศจรรย์บางอย่างเกิดขึ้น ความรักของพระผู้เป็นเจ้าเติมเต็มใจเรา ความสว่างแห่งความจริงเติมเต็มความคิดเรา เราเริ่มสูญสิ้นความปรารถนาที่จะทำบาป และเราไม่ต้องการเดินอยู่ในความมืดอีกต่อไป13

เราจะเห็นว่าการเชื่อฟังไม่ใช่การลงโทษแต่เป็นเส้นทางที่ปลดปล่อยเราไปสู่จุดหมายอันสูงส่งของเรา ความเสื่อมทราม ผงธุลี และข้อจำกัดของโลกนี้เริ่มค่อยๆ ลดน้อยถอยลง ในที่สุด วิญญาณนิรันดร์อันล้ำค่าหาที่เปรียบมิได้ของสัตภาวะแห่งสวรรค์ซึ่งอยู่ภายในเราจะเผยออกมาและรัศมีแห่งคุณความดีจะกลายเป็นธรรมชาติวิสัยของเรา

ท่านมีค่าควรแก่ความช่วยเหลือ

พี่น้องที่รักทั้งหลายของข้าพเจ้า มิตรที่รักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นเราดังที่เราเป็นอย่างแท้จริง—และพระองค์ทรงเห็นว่าเรามีค่าควรแก่ความช่วยเหลือ

ท่านอาจรู้สึกว่าชีวิตของท่านพินาศ ท่านอาจจะเคยทำบาป ท่านอาจกลัว โกรธ โศกเศร้า หรือทุกข์ใจด้วยความสงสัย แต่เฉกเช่นพระเมษบาลผู้ประเสริฐทรงพบแกะที่หายไปของพระองค์ หากท่านจะเพียงยกระดับจิตใจท่านไปหาพระผู้ช่วยให้รอดของโลก พระองค์จะทรงพบท่าน

พระองค์จะทรงช่วยท่าน

พระองค์จะทรงยกท่านขึ้นวางบนพระอังสาของพระองค์

พระองค์จะทรงแบกท่านกลับบ้าน

ถ้ามือมนุษย์สามารถเปลี่ยนซากปรักหักพังให้เป็นบ้านอันสวยงามแห่งการนมัสการ เราจะมีความมั่นใจและวางใจได้ว่าพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงรักเราทรงสามารถและจะทรงสร้างเราขึ้นใหม่ แผนของพระองค์คือสร้างเราให้เป็นบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เราเคยเป็น—ยิ่งใหญ่กว่าที่เราจะจินตนาการได้ ในแต่ละย่างก้าวของศรัทธาที่เราเดินบนเส้นทางแห่งการเป็นสานุศิษย์ เราเติบโตไปสู่สัตภาวะที่มีรัศมีภาพนิรันดร์และปีติอันไม่สิ้นสุดซึ่งพระองค์ทรงกำหนดให้เราเป็น

นี่คือประจักษ์พยานของข้าพเจ้า พรของข้าพเจ้า และคำสวดอ้อนวอนอันนอบน้อมของข้าพเจ้าในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระอาจารย์เรา ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน