และความตายจะไม่มีอีกต่อไป
สำหรับทุกคนที่เศร้าโศกเรื่องการตายของคนที่พวกเขารัก การฟื้นคืนชีวิตเป็นแหล่งที่มาของความหวังที่ยิ่งใหญ่
สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นวันอิสเตอร์ และเรามุ่งความคิดของเราไปที่การพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ปีที่ผ่านมานี้ข้าพเจ้าคิดและไตร่ตรองเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีวิตมากกว่าปกติ
เกือบหนึ่งปีมาแล้ว อลิซาลูกสาวของเราเสียชีวิต เธอต่อสู้กับมะเร็งมาเกือบแปดปี ด้วยการผ่าตัดหลายครั้ง การบำบัดหลายวิธี ปาฏิหาริย์ที่น่าตื่นเต้น และความผิดหวังอย่างมาก เราเฝ้ามองดูสภาพทางร่างกายของเธอทรุดลงขณะที่เธอใกล้จบชีวิตมรรตัยของเธอ นี่เป็นเรื่องเจ็บปวดรวดร้าวที่ต้องเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกสาวที่รักยิ่งของเรา—เด็กน้อยดวงตาสดใสที่โตขึ้นมาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ เป็นผู้หญิง ภรรยา และแม่ที่ยอดเยี่ยม ข้าพเจ้าคิดว่าหัวใจข้าพเจ้านั้นจะแหลกสลาย
ปีที่แล้วในช่วงอีสเตอร์ หนึ่งเดือนกว่าๆ ก่อนที่เธอเสียชีวิต อลิซาเขียนว่า “อิสเตอร์เป็นสิ่งเตือนถึงทุกสิ่งที่ฉันหวังสำหรับตนเอง ว่าวันหนึ่งฉันจะได้รับการเยียวยาและวันหนึ่งฉันจะหาย วันหนึ่งฉันจะไม่ต้องมีโลหะหรือพลาสติกอยู่ในตัวฉัน วันหนึ่งหัวใจของฉันจะปราศจากความกลัวและความคิดของฉันจะปราศจากความกังวล ฉันไม่ได้สวดอ้อนวอนให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ แต่ฉันดีใจเหลือเกินที่ฉันเชื่ออย่างแท้จริงถึงชีวิตที่สวยงามหลังจากนี้”1
การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์รับประกันทุกสิ่งที่อลิซาหวังไว้และปลูกฝัง “เหตุผลเกี่ยวกับ ความหวังของ [เรา]”2 ไว้ในเราแต่ละคน ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์พูดถึงการฟื้นคืนพระชนม์ว่าเป็น “เหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทุกเหตุการณ์ของประวัติศาสตร์มนุษย์”3
การฟื้นคืนชีวิตเกิดขึ้นเนื่องจากการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ และสำคัญต่อแผนแห่งความรอดที่ยิ่งใหญ่4 เราเป็นบุตรธิดาทางวิญญาณของพระบิดามารดาบนสวรรค์5 เมื่อเรามาสู่ชีวิตบนโลกนี้ วิญญาณของเรารวมเข้ากับร่างกายของเรา เราประสบกับความปีติและความท้าทายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมรรตัย เมื่อบุคคลหนึ่งตาย วิญญาณของเขาแยกออกจากร่างกายของเขา การฟื้นคืนชีวิตทำให้เป็นไปได้สำหรับวิญญาณและร่างกายของบุคคลนั้นที่จะรวมกันอีกครั้ง เพียงแต่ว่าตอนนี้ร่างกายนั้นจะเป็นอมตะและสมบูรณ์—ไม่อยู่ภายใต้ความเจ็บปวด โรคภัย หรือปัญหาอื่นๆ6
หลังจากการฟื้นคืนชีวิต วิญญาณจะไม่มีวันแยกออกจากร่างกายนั้นอีกเนื่องจากการฟื้นคืนพระชนม์ของพระผู้ช่วยให้รอดทำให้เกิดชัยชนะเหนือความตายอันสมบูรณ์ เพื่อได้รับจุดหมายปลายทางนิรันดร์ เราจำเป็นต้องมีจิตวิญญาณอมตะนี้—วิญญาณและร่างกาย—ที่รวมกันตลอดกาล ด้วยวิญญาณและร่างกายที่เป็นอมตะสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก เราสามารถได้รับความสมบูรณ์แห่งปีติ7 ในความเป็นจริง หากปราศจากการฟื้นคืนพระชนม์เราจะไม่มีวันได้รับความสมบูรณ์แห่งความปีติแต่จะเศร้าหมองตลอดกาล8 แม้แต่คนที่ชื่อสัตย์ ชอบธรรมก็มองว่าการแยกกันของร่างกายจากวิญญาณของพวกเขาเป็นการจองจำ เราได้รับการปลดปล่อยจากการจองจำนี้ผ่านทางการฟื้นคืนพระชนม์ ซึ่งเป็นการไถ่จากสายรัดหรือโซ่แห่งความตาย9 ไม่มีความรอดหากปราศจากทั้งวิญญาณและร่างกายของเรา
เราแต่ละคนมีข้อจำกัดและความอ่อนแอทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ ความท้าทายเหล่านี้ บางอย่างอาจดูเหมือนยากจะรักษาในตอนนี้ จะได้รับการแก้ไขในท้ายที่สุด ปัญหาเหล่านี้จะไม่รบกวนเราหลังจากเราฟื้นคืนชีวิต อลิซาค้นคว้าอัตราการรอดชีวิตของคนที่เป็นมะเร็งที่เธอเป็น และตัวเลขนั้นน่าผิดหวัง เธอเขียนว่า “แต่มีการรักษา ฉันจึงไม่กลัว พระเยซูรักษามะเร็งของฉัน และของคุณแล้ว … ฉัน จะ ดีขึ้น ฉันดีใจที่ฉันรู้สิ่งนี้”10
เราสามารถแทนคำว่า มะเร็ง ด้วยอาการป่วยทางร่างกาย จิตใจ หรืออารมณ์อื่นๆ ที่เราอาจเผชิญ เนื่องจากการฟื้นคืนพระชนม์ ความเจ็บป่วยเหล่านั้นได้รับการรักษาด้วย ความอัศจรรย์ของการฟื้นคืนชีวิต การรักษาที่ทรงพลัง เหนือกว่าพลังอำนาจของยารักษาสมัยใหม่ แต่ไม่เหนือกว่าพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า เรารู้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้เนื่องจากพระผู้ช่วยให้รอดทรงฟื้นคืนพระชนม์และจะทรงนำการฟื้นคืนชีวิตมาสู่เราแต่ละคนด้วย11
การฟื้นคืนพระชนม์ของพระผู้ช่วยให้รอดพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าและว่าสิ่งที่พระองค์ทรงสอนจริง “พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว ตามที่พระองค์ตรัสไว้นั้น”12 ไม่มีการพิสูจน์ถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์อื่นใดที่จะชัดเจนกว่าการที่พระองค์ทรงออกมาจากหลุมฝังศพด้วยพระวรกายที่เป็นอมตะ
เรารู้ถึงพยานทั้งหลายของการฟื้นคืนพระชนม์อยู่ในช่วงเวลาพันธสัญญาใหม่ นอกจากบรรดาหญิงและชายที่เราอ่านในพระกิตติคุณสี่เล่ม พันธสัญญาใหม่ยืนยันกับเราว่าคนเป็นร้อยได้เห็นพระเจ้าผู้ฟื้นคืนพระชนม์จริงๆ13 และพระคัมภีร์มอรมอนบอกถึงอีกหลายร้อยคน “ฝูงชนได้ออกไป, และยื่นมือพวกเขาเข้าไปในพระปรัศว์ของพระองค์, … และ [พวกเขา] เห็นด้วยตาของตนและสัมผัสด้วยมือของตน, และรู้แน่แก่ใจและเป็นพยาน, ว่าคือพระองค์, ผู้ซึ่งศาสดาพยากรณ์เขียนไว้, ว่าจะเสด็จมา”14
พยานในยุคสุดท้ายเพิ่มเติมพยานเหล่านั้นในสมัยโบราณ แท้จริงแล้ว ในฉากเริ่มต้นของสมัยการประทานนี้ โจเซฟ สมิธเห็นพระผู้ช่วยให้รอดผู้ฟื้นคืนพระชนม์กับพระบิดา15 ศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกที่มีชีวิตอยู่ได้เป็นพยานถึงความจริงของพระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์ที่ฟื้นคืนพระชนม์16 เราจึงกล่าวได้ว่า “เรามีพยานมากมายอยู่รอบข้างอย่างนี้แล้ว”17 และเราแต่ละคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของพยานมากมายที่อยู่รอบข้างผู้ซึ่งรู้ผ่านทางอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าสิ่งที่เราเฉลิมฉลองในวันอิสเตอร์นั้นเกิดขึ้นจริงๆ—ว่าการฟื้นคืนพระชนม์นั้นจริง
ความเป็นจริงของการฟื้นคืนพระชนม์ของพระผู้ช่วยให้รอดท่วมท้นหัวใจที่แหลกสลายของเราไปด้วยความหวัง เพราะความเป็นจริงนี้นำความเชื่อมั่นว่าพรอื่นๆ ของพระกิตติคุณนั้นจริงเช่นกัน—สัญญาที่ไม่ได้อัศจรรย์น้อยไปกว่าการฟื้นคืนชีวิต เรารู้ว่าพระองค์มีพลังอำนาจที่จะชำระเราให้สะอาดจากบาปทั้งหมดของเรา เรารู้ว่าพระองค์ทรงรับเอาความทุพพลภาพ ความเจ็บปวด และความอยุติธรรมทั้งมวลที่เราทนทุกข์18 “เรารู้ว่าพระองค์ ทรงลุกขึ้นจากบรรดาคนตาย, พร้อมด้วยปีกของพระองค์ที่รักษาหาย”19 เรารู้ว่าพระองค์จะทรงรักษาเราให้หายไม่ว่าจะมีอะไรที่แตกหักในตัวเรา เรารู้ว่าพระองค์ “จะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆ หยดจากตา [ของเรา] ทั้งหลาย; และความตายจะไม่มีอีกต่อไป ความเศร้าโศก การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป”20 เรารู้ว่าเราสามารถ “ดีพร้อมโดยผ่านพระเยซู … ผู้ทรงทำให้เกิดการชดใช้ที่สมบูรณ์นี้โดยผ่านการหลั่งพระโลหิตของพระองค์เอง”21 หากเราจะเพียงแค่มีศรัทธาและติดตามพระองค์
ในท่อนสุดท้ายของ Messiah งานประพันธ์เพลงอันเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจ ฮานเดลนำเอาถ้อยคำของเปาโลที่ชื่นชมยินดีกับการฟื้นคืนพระชนม์มาใส่ดนตรีอันไพเพราะดังนี้
“นี่แน่ะ, ข้าพเจ้ามีความล้ำลึกที่จะบอกกับพวกท่าน คือเราจะไม่ล่วงหลับหมดทุกคน แต่จะถูกเปลี่ยนใหม่ทุกคน
“ในชั่วขณะเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย: … จะมีการเป่าแตร และพวกที่ตายแล้วจะถูกทำให้เป็นขึ้นโดยปราศจากความเสื่อมสลาย แล้วเราจะถูกเปลี่ยนใหม่
“เพราะว่าสิ่งที่เสื่อมสลายได้นี้ต้องสวมด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายไม่ได้ และสภาพที่ต้องตายนี้ต้องสวมด้วยสภาพที่ไม่ตาย
“… เมื่อนั้นพระวจนะที่เขียนไว้จะสำเร็จว่า ความตายก็ถูกกลืนเข้าในชัยชนะแล้ว
“โอ้ ความตาย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน? โอ ความตาย เหล็กในของเจ้าอยู่ที่ไหน? …
“สาธุการแด่พระเจ้า ผู้ประทานชัยชนะแก่เรา โดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”22
ข้าพเจ้าขอบพระทัยสำหรับพรที่เป็นของเราเนื่องจากการชดใช้และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ สำหรับทุกคนที่ได้วางลูกของเขาในหลุมศพหรือร่ำไห้เหนือโลงศพของคู่ชีวิตของท่านหรือเศร้าโศกจากการเสียชีวิตของพ่อแม่หรือคนที่พวกเขารัก การฟื้นคืนพระชนม์เป็นแหล่งที่มาของความหวังอันยิ่งใหญ่ ช่างจะเป็นประสบการณ์ที่ทรงพลังยิ่งที่ได้เจอกับพวกเขาอีกครั้ง—ไม่ใช่เฉพาะในวิญญาณแต่ด้วยร่างกายที่ฟื้นคืนชีวิตเท่านั้น
ข้าพเจ้าปรารถนาจะเจอแม่ของข้าพเจ้าอีกครั้งและรู้สึกถึงสัมผัสอันอ่อนโยนของเธอและมองเข้าไปในดวงตาที่เปลี่ยมไปด้วยรักของเธอ ข้าพเจ้าอยากเห็นรอยยิ้มของพ่อข้าพเจ้าและได้ยินเสียงหัวเราะของเขาและเห็นเขาเป็นสัตภาวะที่ดีพร้อมและฟื้นคืนชีวิต ด้วยดวงตาแห่งศรัทธา ข้าพเจ้ามองเห็นภาพอลิซาที่ปราศจากปัญหาทางโลกใดๆ หรือเหล็กในความตายใดๆ—อลิซาผู้ชนะ ที่ฟื้นคืนชีวิต ดีพร้อม และมีความสมบูรณ์แห่งปีติ
อิสเตอร์สองสามปีที่แล้ว เธอเขียนอย่างเรียบง่ายว่า “ชีวิตผ่านพระนามของพระองค์ เปี่ยมด้วยความหวังตลอดเวลา ผ่านทางทุกสิ่ง ฉันรักอิสเตอร์ที่เตือนฉันถึงสิ่งนั้น”23
ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงความเป็นจริงของการฟื้นคืนพระชนม์ พระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์ และเพราะพระองค์ เราทั้งปวงจะมีชีวิตอีกครั้ง ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน