ระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา
ข้าพเจ้าเป็นพยานด้วยความนอบน้อมและสวดอ้อนวอนขอให้เราระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา—ในทุกเวลา ทุกสิ่ง และทุกแห่งที่เราจะอยู่
พี่น้องที่รักทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ารับใช้ในเอเชีย บางครั้งมีคนถามว่า “เอ็ลเดอร์กองครับ มีคนอยู่กี่คนในภาคเอเชียของศาสนจักรครับ”
ข้าพเจ้าตอบว่า “ประชากรครึ่งโลก—3.6 พันล้านคน”
มีคนถามว่า “จำชื่อทุกคนยากไหมครับ”
การจำ—และการลืม—เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งหลังจากหาโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ของภรรยาข้าพเจ้าจนทั่วแล้ว ในที่สุดเธอจึงตัดสินใจโทรจากโทรศัพท์อีกเครื่อง พอได้ยินเสียงโทรศัพท์ของเธอ เธอคิดว่า “ใครโทรมา ฉันยังไม่ได้ให้เบอร์โทรเครื่องนั้นกับใครเลย!”
การจำ—และการลืม—เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางนิรันดร์ของเราเช่นกัน เวลา สิทธิ์เสรี และความทรงจำช่วยให้เราเรียนรู้ เติบโต และเพิ่มพูนศรัทธา
ในเนื้อร้องของเพลงสวดที่เป็นเพลงโปรด กล่าวว่า
ทุกสัปดาห์ ในการรับส่วนศีลระลึก เราทำพันธสัญญาว่าจะระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา จากพระคัมภีร์เกือบ 400 ข้อที่พูดถึงคำว่า ระลึกถึง ข้าพเจ้าดึงมาไม่กี่ข้อและต่อไปนี้เป็นหกวิธีที่เราจะระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา
หนึ่ง เราระลึกถึงพระองค์ได้ตลอดเวลาโดยเชื่อมั่นในพันธสัญญา สัญญา และคำรับรองของพระองค์
พระเจ้าทรงจดจำพันธสัญญาอันเป็นนิจของพระองค์—ตั้งแต่สมัยของอาดัมจนถึงวันที่ลูกหลานของอาดัม “จะน้อมรับความจริง, และแหงนหน้ามอง, เมื่อนั้นไซอันจะมองลงมา, และฟ้าสวรรค์ทั้งปวงจะสั่นสะเทือนด้วยความยินดี, และแผ่นดินโลกจะสั่นด้วยปีติ”2
พระเจ้าทรงจดจำสัญญาของพระองค์ รวมทั้งสัญญาในการรวมอิสราเอลที่กระจัดกระจายตลอดพระคัมภีร์มอรมอน: พยานหลักฐานอีกเล่มหนึ่งของพระเยซูคริสต์ และสัญญาที่ประทานแก่สมาชิกและผู้สอนศาสนาทุกคนที่จดจำค่าของจิตวิญญาณ3
พระเจ้าทรงจดจำและรับรองประชาชาติและผู้คน ในความโกลาหลสมัยนี้4 “บ้างก็โอ้อวดเรื่องรถรบ บ้างก็เรื่องม้าศึก แต่พวกเราอวดเรื่องพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรา”5 ผู้ทรงชี้นำ “อนาคตเช่นที่ทรงชี้นำอดีต”6 ใน “เวลาที่น่ากลัว”7 เรา “จำไว้ว่ามิใช่งานของพระผู้เป็นเจ้าที่ล้มเหลว, แต่งานของมนุษย์”8
สอง เราระลึกถึงพระองค์ได้ตลอดเวลาโดยยอมรับพระหัตถ์ของพระองค์ตลอดชีวิตเราด้วยความสำนึกคุณ
พระหัตถ์ของพระเจ้าในชีวิตเรามักชัดเจนที่สุดหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว ดังโซเร็น เคียร์คีการ์นักปรัชญาชาวคริสต์กล่าว “เราเข้าใจชีวิต หลังผ่านพ้น แต่ … เราต้อง ดำเนินชีวิตไปข้างหน้า”9
มารดาที่รักของข้าพเจ้าเพิ่งฉลองครบรอบวันเกิดปีที่ 90 ท่านเป็นพยานถึงพรของพระผู้เป็นเจ้าด้วยความสำนึกคุณต่อทุกเหตุการณ์สำคัญในชีวิตท่าน ประวัติครอบครัว ประเพณีครอบครัว และสายใยครอบครัวช่วยให้เราระลึกถึงสิ่งที่ผ่านมาขณะให้รูปแบบอนาคตและความหวัง สายอำนาจฐานะปุโรหิตและปิตุพรเป็นพยานถึงพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าทั่วทุกรุ่น
ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าตัวท่านเป็นหนังสือแห่งความทรงจำที่มีชีวิต—สะท้อนว่าท่านเลือกจดจำอะไรและอย่างไร
ตัวอย่างเช่น เมื่อข้าพเจ้าอายุยังน้อย ข้าพเจ้าต้องการเล่นบาสเกตบอลโรงเรียนมาก ข้าพเจ้าฝึกแล้วฝึกอีก วันหนึ่งโค้ชชี้ให้ดูดาวรุ่งกองกลางสูง 6 ฟุต 4 นิ้ว (193 เซนติเมตร) และดาวรุ่งกองหน้าสูง 6 ฟุต 2 นิ้ว (1.88 เมตร) ของเราและบอกข้าพเจ้าว่า “ผมให้คุณอยู่ในทีมได้ แต่คุณจะไม่ได้เล่นเลย” ข้าพเจ้าจำได้ เขาให้กำลังใจอย่างอ่อนโยนว่า “ทำไมไม่ลองเล่นฟุตบอลล่ะ คุณจะเล่นได้ดีนะ” ครอบครัวข้าพเจ้าร้องเชียร์ตอนข้าพเจ้าเตะเข้าประตูครั้งแรก
เราสามารถจดจำคนที่ให้โอกาสเราครั้งหนึ่ง และครั้งที่สอง ด้วยความซื่อสัตย์ ความเมตตา ความอดทน และกำลังใจ เราสามารถเป็นคนที่คนอื่นนึกถึงเมื่อพวกเขาต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด การจดจำความช่วยเหลือของผู้อื่นและอิทธิพลนำทางของพระองค์ด้วยความสำนึกคุณเป็นวิธีหนึ่งที่เราระลึกถึงพระองค์ นี่ เป็นวิธีที่เรานับพรมากมายของเราและเห็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงทำ10
สาม เราระลึกถึงพระองค์ได้ตลอดเวลาโดยวางใจเมื่อพระเจ้าทรงรับรองกับเราว่า “คนที่กลับใจจากบาปของเขา, คนคนนั้นได้รับการให้อภัย, และเรา, พระเจ้า, ไม่จำมันอีก”11
เมื่อเรากลับใจอย่างเต็มที่ รวมทั้งสารภาพและละทิ้งบาป เราทูลถามพร้อมอีนัสเมื่อความผิดของเราถูกขจัดให้หมดไปว่า “ข้าแต่พระเจ้า, นี่เป็นไปได้อย่างไรหรือ?” และได้ยินคำตอบว่า “เพราะศรัทธาของเจ้าในพระคริสต์”12 และทรงเชื้อเชิญให้เรา “ฟื้นความจำ”13 ถึงพระองค์
เมื่อเรากลับใจและผู้นำฐานะปุโรหิตประกาศว่าเรามีค่าควร เราไม่จำเป็นต้องสารภาพแล้วสารภาพอีกกับบาปในอดีตเหล่านี้ การมีค่าควรไม่ได้หมายความว่าดีพร้อม แผนแห่งความสุขของพระบิดาบนสวรรค์เชื้อเชิญเราให้อยู่อย่างสงบนอบน้อมระหว่างการเดินทางของชีวิตเพื่อสักวันจะดีพร้อมในพระคริสต์14 อย่ากังวล ท้อแท้ หรือไม่มีความสุขตลอดเวลาในความไม่ดีพร้อมของเราวันนี้ จำไว้ว่าพระองค์ทรงรู้ทุกเรื่องที่เราไม่ต้องการให้ใครรู้เกี่ยวกับตัวเรา—และยังทรงรักเราอยู่
บางครั้งชีวิตทดสอบความไว้วางใจของเราในพระเมตตา ความยุติธรรม และการพิพากษาของพระคริสต์ และในพระดำรัสเชื้อเชิญให้เรายอมให้การชดใช้ของพระองค์เยียวยาเราขณะที่เราให้อภัยผู้อื่นและตัวเรา
หญิงสาวในประเทศหนึ่งสมัครงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ แต่เจ้าพนักงานที่จัดสรรงานเป็นคนไร้ความเมตตา เขาพูดกับเธอว่า “ด้วยลายเซ็นของผม ผมรับรองว่าคุณจะไม่ได้เป็นนักหนังสือพิมพ์แต่จะขุดท่อระบายน้ำ” เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มชายที่ขุดท่อระบายน้ำ
หลายปีต่อมา ผู้หญิงคนนี้กลายเป็นเจ้าพนักงาน วันหนึ่งชายคนหนึ่งต้องมาขอลายเซ็นจากเธอเพื่อสมัครงาน
เธอถามว่า “คุณจำฉันได้ไหม” เขาจำไม่ได้
เธอบอกว่า “คุณจำฉันไม่ได้ แต่ฉันจำคุณได้ ด้วยลายเซ็นของคุณคุณรับรองว่าฉันจะไม่ได้เป็นนักหนังสือพิมพ์ ด้วยลายเซ็นของคุณคุณส่งฉันไปขุดท่อระบายน้ำ ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มผู้ชาย”
เธอบอกข้าพเจ้าว่า “ดิฉันรู้ว่าควรปฏิบัติต่อชายคนนั้นให้ดีกว่าที่เขาปฏิบัติต่อดิฉัน—แต่ดิฉันไม่เข้มแข็งพอ” บางครั้งความเข้มแข็งนั้นไม่อยู่ในตัวเรา แต่พบได้ในการระลึกถึงการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเยซูคริสต์
เมื่อความไว้วางใจถูกทำลาย ความฝันสูญสลาย ใจชอกช้ำครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อเราต้องการความยุติธรรมและความเมตตา เมื่อเรากำหมัดแน่นและน้ำตาไหลพราก เมื่อเราต้องรู้ว่าจะยึดอะไรและปล่อยอะไร เราระลึกถึงพระองค์ได้ตลอดเวลา ชีวิตไม่โหดร้ายอย่างที่ดูเหมือนจะโหดร้ายได้บางครั้ง ความเห็นอกเห็นใจอันไม่มีขอบเขตของพระองค์ช่วยให้เราพบทาง ความจริง และชีวิต15
เมื่อเราระลึกถึงพระดำรัสและแบบอย่างของพระองค์ เราจะไม่ขุ่นเคืองหรือถูกทำให้ขุ่นเคือง
บิดาของเพื่อนข้าพเจ้าทำงานเป็นช่างเครื่อง งานที่เขาทำอย่างซื่อสัตย์แสดงให้เห็นแม้ในมือที่ล้างอย่างดีแล้ว วันหนึ่ง คนที่พระวิหารบอกบิดาของเพื่อนข้าพเจ้าว่าเขาควรล้างมือก่อนรับใช้ที่นั่น แทนที่จะขุ่นเคือง ชายที่ดีคนนี้เริ่มใช้มือล้างจานให้ครอบครัวด้วยน้ำสบู่ที่มากเป็นพิเศษก่อนเข้าพระวิหาร เขาเป็นแบบอย่างของคนที่ “ขึ้นไปบนภูเขาของพระยาห์เวห์” และ “ยืนอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์” ด้วยมือสะอาดที่สุดและใจบริสุทธิ์ที่สุด16
ถ้าเรามีความรู้สึกไม่ดี ความแค้นเคือง หรือความไม่พอใจหรือถ้าเรามีเหตุให้ต้องขอการอภัยจากผู้อื่น บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้องทำเช่นนั้น
สี่ พระองค์ทรงเชื้อเชิญเราให้จดจำว่าพระองค์ทรงต้อนรับเรากลับบ้านเสมอ
เราเรียนรู้โดยการถามและค้นคว้า แต่ได้โปรดอย่าหยุดสำรวจจนกว่าจะถึง— “จุดที่ [ท่าน] รู้สึกเหมือนมาที่นั่นครั้งแรก”17— ตามคำพูดของที. เอส. เอเลียต เมื่อท่านพร้อม โปรดเปิดใจท่านรับพระคัมภีร์มอรมอนเป็นครั้งแรกอีกครั้ง ได้โปรดสวดอ้อนวอนด้วยเจตนาแท้จริงเป็นครั้งแรกอีกครั้ง
จงวางใจความทรงจำที่เคยมีหรือเลือนราง ทำให้ความทรงจำนั้นขยายศรัทธาของท่านกับพระผู้เป็นเจ้าแล้วไม่มีจุดที่กลับไม่ได้
ศาสดาพยากรณ์สมัยโบราณและปัจจุบันขอร้องเราว่าอย่าปล่อยให้ข้อบกพร่อง ความผิดพลาด หรือความอ่อนแอของมนุษย์—ของผู้อื่นหรือของเราเอง—ทำให้เราพลาดความจริง พันธสัญญา และพลังการไถ่ในพระกิตติคุณที่ได้รับการพื้นฟู18 นี่สำคัญอย่างยิ่งในศาสนจักรที่เราแต่ละคนเติบโตผ่านการมีส่วนร่วมที่ไม่ดีพร้อมของเรา ศาสดาพยากรณ์โจเซฟกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยบอกท่านว่าข้าพเจ้าดีพร้อม แต่ไม่มีความผิดพลาดในการเปิดเผยที่ข้าพเจ้าสอน”19
ห้า เราระลึกถึงพระองค์ได้ตลอดเวลาในวันสะบาโตผ่านศีลระลึก เมื่อสิ้นสุดการปฏิบัติศาสนกิจขณะทรงเป็นมรรตัยและเริ่มการปฏิบัติศาสนกิจหลังการฟื้นคืนพระชนม์—ทั้งสองครั้ง—พระผู้ช่วยให้รอดทรงใช้ขนมปังและเหล้าองุ่น และทรงขอให้เราระลึกถึงพระวรกายและพระโลหิตของพระองค์20 “เพราะเมื่อเจ้าทำสิ่งนี้บ่อยเท่าใด เจ้าก็จะจดจำโมงนี้ที่เราอยู่กับเจ้า.”21
ในศาสนพิธีศีลระลึก เราเป็นพยานต่อพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาว่าเราเต็มใจรับพระนามของพระบุตรของพระองค์และระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลาและรักษาพระบัญญัติซึ่งพระองค์ประทานแก่เรา เพื่อเราจะมีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับเราตลอดเวลา22
ตามที่อมิวเล็คสอน เราระลึกถึงพระองค์เมื่อเราสวดอ้อนวอนให้เรือกสวนไร่นา ฝูงสัตว์เลี้ยง และครัวเรือนของเรา และเมื่อเรานึกถึงคนขัดสน คนเปลือยเปล่า คนเจ็บป่วย และคนทุกข์ยาก23
สุดท้าย หก พระผู้ช่วยให้รอดทรงเชื้อเชิญเราให้ระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงนึกถึงเราตลอดเวลา
ในโลกใหม่ พระผู้ช่วยให้รอดที่ฟื้นคืนพระชนม์ทรงเชื้อเชิญคนที่อยู่เวลานั้นให้แยงมือเข้าไปในพระปรัศว์และคลำรอยตะปูในพระหัตถ์และพระบาทของพระองค์ทีละคน24
พระคัมภีร์อธิบายการฟื้นคืนชีวิตว่า “ทุกแขนขาและข้อต่อจะทรงนำกลับคืน… สู่ร่างอันถูกต้องและบริบูรณ์” และ “แม้ผมเส้นหนึ่งบนศีรษะก็จะไม่หายไป”25 ด้วยเหตุนี้ โปรดพิจารณาว่าเหตุใดพระวรกายที่ดีพร้อมและฟื้นคืนพระชนม์แล้วของพระผู้ช่วยให้รอดจึงยังมีรอยแผลในพระปรัศว์และรอยตะปูในพระหัตถ์และพระบาทของพระองค์26
บางครั้งในประวัติศาสตร์ มนุษย์ถูกประหารด้วยการตรึงกางเขน แต่เฉพาะพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์เท่านั้นทรงโอบกอดเราทั้งที่ยังมีเครื่องหมายแห่งความรักอันบริสุทธิ์ของพระองค์ เฉพาะพระองค์เท่านั้นทรงทำให้คำพยากรณ์สำเร็จที่ว่าจะทรงถูกยกขึ้นบนกางเขนเพื่อจะทรงเรียกชื่อเราแต่ละคนมาหาพระองค์27
พระผู้ช่วยให้รอดทรงประกาศว่า
“แท้จริงแล้ว, พวกนางอาจลืม, แต่เราจะไม่ลืมเจ้า”
“ดูสิ เราได้สลักเจ้าไว้บนฝ่ามือของเรา”28
พระองค์ทรงเป็นพยานว่า “เราคือคนที่ถูกยกขึ้น. เราคือเยซูที่ถูกตรึงกางเขน. เราคือพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า”29
ข้าพเจ้าเป็นพยานด้วยความนอบน้อมและสวดอ้อนวอนขอให้เราระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา—ในทุกเวลา ทุกสิ่ง และทุกแห่งที่เราจะอยู่30 ในพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์ เอเมน