พลังอำนาจของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า
พระวิหารแต่ละแห่งเป็นพระนิเวศน์อันบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ และว่าในนั้นเราแต่ละคนอาจเรียนรู้และรู้ถึงพลังอำนาจของความเป็นพระผู้เป็นเจ้า
ไม่กี่เดือนก่อนการเสียชีวิตของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ ท่านพบกับอัครสาวกสิบสองเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับความต้องการสูงสุดที่ศาสนจักรกำลังเผชิญในช่วงเวลาที่ยุ่งยากนั้น ท่านกล่าวกับพวกเขาว่า “เราต้องการพระวิหารยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด”1 แน่นอนว่า วันนี้ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ เราแต่ละคนและแต่ละครอบครัวต้องการพระวิหารยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
ระหว่างการอุทิศพระวิหารครั้งล่าสุด ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นกับประสบการณ์ทั้งหมด ข้าพเจ้าชอบการเปิดให้สาธารณชนเยี่ยมชม การทักทายผู้มาเยือนที่มาดูพระวิหาร การเฉลิมฉลองทางวัฒนธรรมด้วยความมีชีวิตชีวาและความตื่นเต้นของเยาวชน ตามด้วยช่วงการอุทิศที่ยอดเยี่ยม พระวิญญาณนั้นหอมหวาน หลายคนได้รับพร และในเช้าวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าและภรรยาลงอ่างบัพติศมาเพื่อมีส่วนร่วมในพิธีบัพติศมาสำหรับบรรพบุรุษของพวกเราเอง ขณะที่ข้าพเจ้ายกแขนของข้าพเจ้าขึ้นเพื่อเริ่มศาสนพิธี ข้าพเจ้าเกือบถูกครอบงำไปด้วยพลังอำนาจของพระวิญญาณ ข้าพเจ้าตระหนักอีกครั้งว่าพลังอำนาจที่แท้จริงของพระวิหารอยู่ในศาสนพิธี
ดังที่พระเจ้าทรงเปิดเผย ความบริบูรณ์ของฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดคนั้นพบได้ในพระวิหารและศาสนพิธีพระวิหาร “เพราะในนั้นมีกุญแจของฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์แต่งตั้งไว้, เพื่อเจ้าจะรับเกียรติและรัศมีภาพ”2 “ฉะนั้น, ในศาสนพิธีของฐานะปุโรหิตนี้, พลังอำนาจของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าจึงแสดงให้ประจักษ์”3 คำสัญญานี้สำหรับท่านและสำหรับครอบครัวของท่าน
ความรับผิดชอบของเราคือเพื่อ “ได้รับ” สิ่งซึ่งพระบิดาของเราประทาน4 “เพราะแก่คนที่รับก็จะให้มากมายยิ่งขึ้น, แม้อำนาจ”:5 อำนาจที่จะได้รับ ทุกสิ่ง ที่พระองค์ทรงสามารถและจะประทานแก่เรา—ตอนนี้และชั่วนิรันดร์6 พลังเพื่อมาเป็นบุตรและธิดาของพระผู้เป็นเจ้า7 เพื่อรู้ “อำนาจแห่งสวรรค์”8 อำนาจที่จะพูดในพระนามของพระองค์9 และได้รับ “อำนาจพระวิญญาณของ [พระองค์]”10 อำนาจเหล่านี้มีให้แก่เราแต่ละคนเป็นส่วนตัวผ่านทางศาสนพิธีและพันธสัญญาของพระวิหาร
นีไฟมองเห็นวันเวลาของเราในนิมิตอันยิ่งใหญ่ของท่าน “ข้าพเจ้า, นีไฟ, เห็น เดชานุภาพ ของพระเมษโปดกของพระผู้เป็นเจ้า, ว่าลงมาบนวิสุทธิชนของศาสนจักรของพระเมษโปดก, และบน ผู้คนแห่งพันธสัญญา ของพระเจ้า, ซึ่งกระจัดกระจายอยู่บนทั่วพื้นพิภพ; และพวกเขา มีอาวุธคือความชอบธรรมและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าในรัศมีภาพอันยิ่งใหญ่”11
เมื่อไม่นานมานี้ ข้าพเจ้าได้รับเกียรติที่จะอยู่ในงานเปิดให้สาธารณชนเยี่ยมชมพระวิหารกับประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันและครอบครัวของท่านเมื่อท่านได้รวบรวมครอบครัวมาอยู่รอบแท่นผนึกและอธิบายกับพวกเขาว่าทุกสิ่งที่เราทำในศาสนจักร—ทุกๆ การประชุม กิจกรรม บทเรียน และการรับใช้—เป็นไปเพื่อเตรียมเราแต่ละคนให้มาพระวิหารและคุกเข่าลงที่แท่นนี้เพื่อรับพรที่สัญญาไว้ของพระบิดาทั้งหมดเพื่อนิรันดร12
ขณะที่เรารู้สึกถึงพรของพระวิหารในชีวิตของเราเอง จิตใจของเราจะหันไปหาครอบครัวของเราทั้งที่มีชีวิตอยู่และเสียชีวิตไปแล้ว
เมื่อเร็วๆ นี้ ข้าพเจ้าได้เห็นครอบครัวสามรุ่นมีส่วนร่วมในพิธีบัพติศมาสำหรับบรรพบุรุษของพวกเขาด้วยกัน แม้แต่คุณย่าก็มีส่วนร่วม—แม้ว่าเธอกลัวการลงไปใต้น้ำ เมื่อเธอโผล่ขึ้นมาจากน้ำและกอดสามีของเธอ เธอร้องไห้ด้วยความปีติ จากนั้นคุณปู่และคุณพ่อก็บัพติศมาให้กันและกันและให้หลานหลายๆ คน จะมีปีติใดที่ยิ่งใหญ่กว่าการที่ครอบครัวรับประสบการณ์ด้วยกัน พระวิหารทุกที่จะมีเวลาจัดไว้ให้ครอบครัวก่อนเพื่อให้ท่านและครอบครัวทำนัดเวลาสำหรับพิธีบัพติศมา
ไม่นานก่อนที่ ประธานโจเซฟ เอฟ. สมิธเสียชีวิต ท่านได้รับนิมิตเรื่องการไถ่คนตาย ท่านสอนว่าคนที่อยู่ในโลกวิญญาณพึ่งพาศาสนพิธีที่เราได้รับแทนพวกเขา พระคัมภีร์อ่านว่า “คนตายผู้ที่กลับใจจะได้รับการไถ่, โดยการเชื่อฟังศาสนพิธีแห่งพระนิเวศน์ของพระผู้เป็นเจ้า”13 เรารับศาสนพิธีแทนพวกเขา แต่พวกเขาทำและรับผิดชอบพันธสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับแต่ละศาสนพิธีเอง แน่นอนว่า ม่านนั้นบางสำหรับเราและเปิดหมดสำหรับพวกเขาในพระวิหาร
แล้วความรับผิดชอบส่วนตัวของเราในการทำงานนี้ ทั้งในฐานะเจ้าหน้าที่พระวิหารและคนทำงานคืออะไร ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธสอนวิสุทธิชนในปี 1840 ว่า “จะต้องมีความพยายามอย่างยิ่งยวดและจะต้องเรียกร้องทรัพย์สินจำนวนมาก—และเนื่องจากงาน [การสร้างพระวิหาร] จะต้องเร่งรีบในความชอบธรรม จึงเป็นการสมควรที่วิสุทธิชนประเมินความสำคัญของสิ่งเหล่านี้ ในความคิด … และจากนั้นทำขั้นตอนที่จำเป็นซึ่งพาไปสู่ขั้นตอนปฏิบัติการ สร้างขวัญและกำลังใจให้ตนเอง ลงมือทำทุกอย่างที่ทำได้ และทุ่มเทความเอาใจใส่เสมือนหนึ่งว่างานทั้งหมดจะสำเร็จได้ด้วยตนเองตามลำพัง”14
ในหนังสือวิวรณ์เราอ่านว่า
“คนที่สวมเสื้อผ้าสีขาวเหล่านี้คือใคร? และมาจากไหน?
“… คนเหล่านี้เป็นคนที่มาจากความยากลำบากครั้งยิ่งใหญ่ พวกเขาชำระล้างเสื้อผ้าของเขาด้วยพระโลหิตของพระเมษโปดกจนขาวสะอาด
“เพราะเหตุนี้ เขาทั้งหลายจึงได้อยู่หน้าพระที่นั่งของพระเจ้า และปรนนิบัติพระองค์ในพระวิหารของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน และพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งจะทรงคุ้มครองพวกเขา”15
ท่านนึกภาพคนเหล่านั้นที่รับใช้ในพระวิหารวันนี้ได้หรือไม่
มีคนทำศาสนพิธีมากกว่า 120,000 คนในพระวิหาร 150 แห่งทั่วโลก กระนั้น มีโอกาสมากขึ้นไปอีกในการมีประสบการณ์อันหอมหวานนี้ เมื่อประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์ประกาศแนวคิดในการสร้างพระวิหารขนาดเล็กทั่วโลก ท่านสอนว่า “เจ้าหน้าที่ผู้ประกอบศาสนพิธีทั้งหมดจะเป็นคนในท้องที่ซึ่งรับใช้ในหน้าที่อื่นๆ ที่วอร์ดและสเตคของพวกเขาด้วย”16 ปกติแล้วจะเรียกคนทำงานรับใช้สองหรือสามปี โดยมีความเป็นไปได้ที่จะขยายเวลา แต่ไม่ได้มีเจตนาว่าเมื่อท่านได้รับการเรียกแล้ว ท่านจะต้องอยู่นานเท่าที่ท่านทำได้ คนทำงานที่รับใช้มายาวนานหลายคนยังคงมีความรักพระวิหารต่อไปแม้เมื่อพวกเขาได้รับการปลดแล้วและยอมให้คนทำงานใหม่คนอื่นๆ มารับใช้
เกือบหนึ่งร้อยปีที่แล้ว อัครสาวกจอห์น เอ. วิดท์โซ สอนว่า “เราต้องการคนทำงานมากขึ้นเพื่อทำให้งานอันยอดเยี่ยม [นี้] บรรลุ … เราต้องการให้มีคนมากขึ้นที่เลื่อมใสในงานพระวิหาร มาจากทุกช่วงอายุ … เวลามาถึงแล้ว … ในความพยายามที่จะทำให้งานพระวิหารรอบใหม่นี้บรรลุ เพื่อนำไปสู่การรับใช้ที่แข็งขันของทุกคนในทุกช่วงอายุ … งานพระวิหาร … มีประโยชน์มากกับคนหนุ่มสาวและคนที่แข็งขันเช่นเดียวกับคนสูงอายุผู้ที่ปล่อยวางภาระในชีวิตของพวกเขาไว้เบื้องหลัง คนหนุ่มต้องการที่ของเขาในพระวิหารมากยิ่งกว่าพ่อและปู่ของเขา ผู้ที่มั่นคงเนื่องจากประสบการณ์ชีวิตแล้ว และหญิงสาวที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตต้องการพระวิญญาณ อิทธิพล และการนำทางที่มาจากการมีส่วนร่วมในศาสนพิธีพระวิหาร”17
ในพระวิหารหลายแห่ง ประธานพระวิหารกำลังต้อนรับผู้สอนศาสนาที่ได้รับการเรียกและเอ็นดาวเม้นท์ใหม่ เยาวชนชายและหญิง มารับใช้เป็นคนทำงานศาสนพิธีเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนเข้าศูนย์อบรมผู้สอนศาสนา คนหนุ่มสาวเหล่านี้ไม่เพียงแต่ได้รับพรที่ได้รับใช้ แต่ “พวกเขาเติมความสวยงามและวิญญาณให้กับทุกคนที่รับใช้ในพระวิหาร”18
ข้าพเจ้าขอให้คนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งที่เคยรับใช้เป็นเจ้าหน้าที่ศาสนพิธีก่อนและหลังการรับใช้งานเผยแผ่ของพวกเขาแบ่งปันประสบการณ์ พวกเขาใช้คำต่อไปนี้เพื่อบรรยายประสบการณ์ของพวกเขาในพระวิหาร
เมื่อฉันรับใช้ในพระวิหาร
-
ฉันมี “ความรู้สึกว่าอยู่ใกล้ชิดกับพระบิดาและพระผู้ช่วยให้รอดของฉันมากขึ้น”
-
ฉันรู้สึกถึง “สันติและความสุขอย่างบริบูรณ์”
-
ฉันมีความรู้สึกถึง “การได้กลับมาบ้าน”
-
ฉันได้รับ “ความศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจ และความเข้มแข็ง”
-
ฉันรู้สึกถึง“ความสำคัญของพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ของฉัน”
-
“พระวิหารกลายเป็นส่วนหนึ่งของฉัน”
-
“คนเหล่านั้นที่เรารับใช้อยู่ใกล้ระหว่างศาสนพิธี”
-
“ทำให้ฉันมีพลังที่จะเอาชนะการล่อลวง” และ
-
“พระวิหารเปลี่ยนชีวิตฉันไปตลอดกาล”19
การรับใช้ในพระวิหารเป็นประสบการณ์ที่มีค่าและทรงพลังสำหรับคนทุกวัย แม้คู่แต่งงานใหม่บางคู่ก็รับใช้ด้วยกัน ประธานเนลสันสอนว่า “การรับใช้ในพระวิหาร … เป็นกิจกรรมที่ประเสริฐสำหรับครอบครัว”20 ในฐานะคนทำงานพระวิหาร นอกจากการรับศาสนพิธีสำหรับบรรพบุรุษท่านแล้ว ท่านสามารถ ประกอบ ศาสนพิธีเพื่อพวกเขาได้ด้วย
ดังที่ประธานวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ์กล่าวไว้ว่า
“ไม่มีการเรียกอื่นใดที่ชาย [หรือหญิง] มีบนแผ่นดินโลกยิ่งใหญ่ไปกว่าการถือพลังอำนาจหรือสิทธิอำนาจในมือของเขา [หรือเธอ] ในการออกไปและปฏิบัติศาสนพิธีแห่งความรอด? …
“… ท่านกลายเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าในความรอดของจิตวิญญาณนั้น ไม่มีอะไรที่มอบให้แก่ลูกหลานมนุษย์ที่เทียบเท่าสิ่งนั้นแล้ว”21
ท่านกล่าวด้วยว่า
“เขาจะได้รับสุรเสียงกระซิบนุ่มนวลของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ทรัพย์สมบัติในสวรรค์ หรือการมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับเหล่าเทพจะเพิ่มขึ้นเสมอ”22
“สิ่งนี้คุ้มค่าแก่การที่ท่านหรือข้าพเจ้าจะเสียสละทุกอย่าง [ในช่วง] ไม่กี่ปีที่เราอยู่ในเนื้อหนัง”23
ไม่นานมานี้ ประธานโธมัส เอส. มอนสันเตือนเราว่า “พรของพระวิหารมีค่าสุดประมาณ”24 “ไม่มีการเสียสละใดมากเกินไป”25
จงมาพระวิหาร จงมาบ่อยๆ จงมากับครอบครัวและมาเพื่อครอบครัวของท่าน จงมาและช่วยคนอื่นๆ ให้มาด้วย
“คนที่สวมเสื้อผ้าสีขาวเหล่านี้คือใคร” พี่น้องชายหญิงของข้าพเจ้า พวกท่าน คือคนเหล่านั้น—ท่านผู้ที่ได้รับศาสนพิธีแห่งพระวิหาร ผู้ที่ได้รักษาพันธสัญญาแม้โดยการเสียสละ ท่านผู้ที่กำลังช่วยครอบครัวของท่านให้พบกับพรของการรับใช้พระวิหารและผู้ที่ได้ช่วยคนอื่นตลอดเส้นทาง ขอบคุณสำหรับการรับใช้ของท่าน ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระวิหารแต่ละแห่งเป็นพระนิเวศน์อันบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าและว่าในนั้นเราแต่ละคนอาจเรียนรู้และรู้ถึงพลังอำนาจของความเป็นพระผู้เป็นเจ้า ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน