2023
เราเป็นลูกของพระองค์
พฤศจิกายน 2023


9:42

เราเป็นลูกของพระองค์

เรามีต้นกำเนิดอันสูงส่งเหมือนกันและมีศักยภาพไร้ขีดจำกัดเหมือนกันผ่านพระคุณของพระเยซูคริสต์

ท่านจำประสบการณ์ของศาสดาพยากรณ์ซามูเอลได้ไหมเมื่อพระเจ้าทรงส่งเขาไปบ้านของเจสซีเพื่อเจิมกษัตริย์องค์ใหม่ของอิสราเอล? ซามูเอลเห็นเอลีอับบุตรคนแรกของเจสซี เอลีอับดูตัวสูงและมีลักษณะของผู้นำ ซามูเอลเห็นแบบนั้นและด่วนสรุป แต่กลายเป็นว่าเขาสรุปผิด และพระเจ้าทรงสอนซามูเอลว่า “อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกหรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา … เพราะมนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระยาห์เวห์ทอดพระเนตรจิตใจ”1

ท่านจำประสบการณ์ของสาวกอานาเนียได้ไหมเมื่อพระเจ้าทรงส่งเขาไปให้พรเซาโล? กิตติศัพท์ของเซาโลเลื่องลือไปทั่ว และอานาเนียเคยได้ยินเรื่องเซาโลและการข่มเหงวิสุทธิชนอย่างโหดร้ายไม่หยุดหย่อนของเขา อานาเนียได้ยินก็ด่วนสรุปว่าเขาคงช่วยเหลือเซาโลไม่ได้ แต่กลายเป็นว่าเขาสรุปผิด และพระเจ้าทรงสอนอานาเนียว่า “คนนี้เป็นภาชนะที่เราเลือก‍สรรไว้ เขาจะนำนามของเราไปถึงบรร‌ดาคน‍ต่าง‍ชาติและบรร‌ดากษัตริย์และไปถึงพวกอิสรา‌เอล”2

ปัญหาของซามูเอลและอานาเนียคืออะไรในทั้งสองกรณีนี้? พวกเขาเห็นกับตาและได้ยินกับหูและด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตัดสินผู้อื่นตามลักษณะภายนอกและคำบอกเล่า

เมื่อพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีเห็นผู้หญิงที่ถูกจับฐานล่วงประเวณี พวกเขาเห็นอะไร? ผู้หญิงเลวทราม คนบาปที่สมควรตาย เมื่อพระเยซูทรงเห็นเธอ พระองค์ทรงเห็นอะไร? ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยอมจำนนชั่วคราวต่อความอ่อนแอของเนื้อหนังแต่สามารถกลับคืนได้ผ่านการกลับใจและการชดใช้ของพระองค์ เมื่อผู้คนเห็นนายร้อยที่บ่าวของเขาป่วยเป็นง่อย พวกเขาเห็นอะไร? บางทีพวกเขาอาจจะเห็นผู้บุกรุก คนต่างด้าว คนที่ถูกดูหมิ่น เมื่อพระเยซูทรงเห็นเขา พระองค์ทรงเห็นอะไร? ผู้ชายคนหนึ่งที่ห่วงใยสวัสดิภาพของคนในครัวเรือน ผู้แสวงหาพระเจ้าด้วยความจริงใจและศรัทธา เมื่อผู้คนเห็นผู้หญิงเป็นโรคตกโลหิต พวกเขาเห็นอะไร? อาจจะเห็นผู้หญิงที่ไม่สะอาด คนที่สังคมรังเกียจ เมื่อพระเยซูทรงเห็นเธอ พระองค์ทรงเห็นอะไร? ผู้หญิงอมโรค อ้างว้างและถูกหมางเมินเนื่องจากสภาพการณ์ที่เธอควบคุมไม่ได้ ผู้หวังจะหายป่วยและอยู่ในสังคมอีกครั้ง

ในทุกกรณี พระเจ้าทรงเห็นบุคคลเหล่านี้ตามที่พวกเขาเป็นและทรงปฏิบัติศาสนกิจต่อแต่ละคนตามนั้น ดังนีไฟและเจคอบน้องชายของเขาประกาศว่า:

“พระองค์ทรงเชื้อเชิญพวกเขาทั้งหมดให้มาหาพระองค์ … ไม่ว่าดำและขาว, ทาสและไท, ชายและหญิง; และพระองค์ทรงคำนึงถึงคนนอกศาสนา; และทุกคนเหมือนกันหมดสำหรับพระผู้เป็นเจ้า”3

“ในสายพระเนตรของพระองค์สัตภาวะหนึ่งมีค่าเท่ากับอีกสัตภาวะหนึ่ง”4

ขอเราอย่าปล่อยให้ตา หู หรือความกลัวของเรานำเราไปผิดทาง แต่เปิดใจและเปิดความคิดของเรา และปฏิบัติศาสนกิจต่อคนรอบข้างอย่างเสรีดังพระองค์ทรงทำ

หลายปีก่อน อิซาเบลภรรยาข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติศาสนกิจที่ผิดจากปกติทั่วไป เธอถูกขอให้ไปเยี่ยมหญิงม่ายสูงอายุคนหนึ่งในวอร์ดของเรา ซิสเตอร์ท่านนี้มีปัญหาสุขภาพ และความโดดเดี่ยวนำความขมขื่นมาสู่ชีวิตเธอ ม่านหน้าต่างปิดหมด อะพาร์ตเมนต์อุดอู้ เธอไม่อยากให้ใครมาเยี่ยมและบอกชัดเจนว่า “ไม่มีอะไรที่ฉันทำให้ใครได้” อิซาเบลตอบกลับทันทีว่า “มีสิคะ! คุณสามารถทำบางอย่างให้เราได้ด้วยการยอมให้เรามาเยี่ยมคุณไงคะ” อิซาเบลจึงไปไม่ขาด

ต่อมา ซิสเตอร์ที่ดีคนนี้ผ่าตัดเท้า ซึ่งต้องเปลี่ยนผ้าพันแผลทุกวันและเป็นสิ่งที่เธอทำให้ตนเองไม่ได้ อิซาเบลไปที่บ้านของเธอ ล้างเท้า และเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เธอหลายวัน อิซาเบลไม่เคยเห็นความไม่น่าดู เธอไม่เคยได้กลิ่นเหม็นเลย เธอเห็นเพียงธิดาที่งดงามของพระผู้เป็นเจ้าผู้ต้องการความรักและการดูแลเอาใจใส่

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าและคนอีกนับไม่ถ้วนได้รับพรจากของประทานของอิซาเบลในการมองดังพระเจ้าทรงมอง ไม่ว่าท่านเป็นประธานสเตคหรือเจ้าหน้าที่ต้อนรับของวอร์ด ไม่ว่าท่านเป็นกษัตริย์ของอังกฤษหรืออาศัยอยู่ในกระท่อม ไม่ว่าท่านพูดภาษาของเธอหรือภาษาอื่น ไม่ว่าท่านรักษาพระบัญญัติทั้งหมดหรือมีปัญหากับบางข้อ เธอจะเสิร์ฟอาหารที่ดีที่สุดให้ท่านบนจานที่ดีที่สุดของเธอ สถานะทางเศรษฐกิจ สีผิว ภูมิหลังทางวัฒนธรรม สัญชาติ ระดับความชอบธรรม สถานะทางสังคม หรือตัวบ่งชี้ หรือป้ายนิยามอื่นๆ ไม่มีผลอะไรกับเธอ เธอมองด้วยใจ เธอเห็นทุกคนเป็นลูกของพระผู้เป็นเจ้า

ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันสอนว่า:

“ปฏิปักษ์ชื่นชอบป้ายนิยามเพราะมันแบ่งแยกเราและจำกัดวิธีที่เราคิดเกี่ยวกับตัวเราเองและต่อกัน น่าเศร้าเมื่อเราให้เกียรติป้ายนิยามมากกว่าให้เกียรติกัน

“ป้ายนิยามจะนำไปสู่การตัดสินและความเกลียดชัง การข่มเหง หรือ อคติ ต่อกันเพราะสัญชาติ เชื้อชาติ รสนิยมทางเพศ เพศสภาพ ระดับการศึกษา วัฒนธรรม หรือคำระบุตัวตนอื่นๆ ล้วนทำให้พระผู้รังสรรค์ของเราขุ่นเคือง!”5

ฝรั่งเศสไม่ใช่คนที่ข้าพเจ้าเป็น แต่เป็นที่ที่ข้าพเจ้าเกิด คนขาวไม่ใช่คนที่ข้าพเจ้าเป็น แต่เป็นสีผิวของข้าพเจ้า หรือเป็นผิวที่ไม่มีสี ศาสตราจารย์ไม่ใช่คนที่ข้าพเจ้าเป็น แต่เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าทำเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว สาวกเจ็ดสิบเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ไม่ใช่คนที่ข้าพเจ้าเป็น แต่เป็นตำแหน่งที่ข้าพเจ้ารับใช้ในอาณาจักรเวลานี้

“สำคัญที่สุดอย่างแรก” ตามที่ประธานเนลสันเตือนเรา ข้าพเจ้าเป็น “ลูกของพระผู้เป็นเจ้า”6 ท่านก็เช่นกัน และทุกคนรอบตัวเราก็เช่นกัน ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้เราสำนึกคุณมากขึ้นต่อความจริงอันน่าอัศจรรย์นี้ นั่นเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง!

เราอาจเติบโตในวัฒนธรรมต่างกัน เราอาจมาจากสภาพทางเศรษฐกิจสังคมต่างกัน มรดกในชีวิตมรรตัย รวมถึงสัญชาติ สีผิวอาหารที่ชอบ รสนิยมทางการเมือง ฯลฯ อาจต่างกันมาก แต่เราเป็นลูกของพระองค์ เราทุกคนไม่มียกเว้น เรามีต้นกำเนิดอันสูงส่งเหมือนกันและมีศักยภาพไร้ขีดจำกัดเหมือนกันผ่านพระคุณของพระเยซูคริสต์

ซี. เอส. ลูอิสกล่าวไว้ดังนี้: “การดำเนินชีวิตในสังคมของผู้ที่อยู่ในวิสัยจะเป็นพระเป็นเจ้าได้นั้น เป็นเรื่องสำคัญที่จะระลึกว่าคนโง่เขลาที่สุดและไม่น่าสนใจที่สุดที่ท่านจะสนทนาด้วย วันหนึ่งอาจเปลี่ยนเป็นบุคคลที่เมื่อมองเห็นในตอนนี้ท่านจะอยากเข้าไปกราบไหว้ … คน ธรรมดา นั้นไม่มี เราไม่เคยพูดคุยกับมนุษย์ธรรมดาเลย ชาติ วัฒนธรรม ศิลปะ อารยธรรม—สิ่งเหล่านี้มีวันตาย และชีวิตของสิ่งเหล่านี้เหมือนชีวิตของแมลงเล็กๆ เมื่อเทียบกับชีวิตเรา แต่คนที่ท่านล้อเล่นด้วย ทำงานด้วย แต่งงานด้วย ดูแคลน และเอาเปรียบล้วนแต่เป็นอมตะทั้งนั้น”7

ครอบครัวเรามีโอกาสอยู่ในหลายประเทศและหลายวัฒนธรรม ลูกๆ ของเราได้รับพรให้แต่งงานกับคนต่างเชื้อชาติ ข้าพเจ้าตระหนักได้ว่าพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เป็นสิ่งที่สร้างความเสมอภาคได้ดียิ่ง เมื่อเราน้อมรับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์จริงๆ “พระ‍วิญ‌ญาณ​นั้น​เป็น​พยาน​ร่วม​กับ​จิต‍วิญ‌ญาณ​ของ​เรา​ว่าเรา​เป็น​ลูก​ของ​พระ‍เจ้า”8 ความจริงอันน่าอัศจรรย์นี้ทำให้เราเป็นอิสระ ป้ายนิยามและความแตกต่างทั้งหมดที่อาจส่งผลต่อเราและความสัมพันธ์ที่เรามีต่อกันล้วน “ถูกกลืนเข้าไปใน … พระคริสต์”9 ในไม่ช้าจะเห็นชัดว่าเราและคนอื่นๆ “ไม่ใช่คนนอกและคนต่างด้าวอีกต่อไป แต่เป็นพลเมืองเดียวกับบรรดาธรรมิกชน และเป็นครอบครัวของพระเจ้า”10

เมื่อเร็วๆ นี้ข้าพเจ้าได้ยินประธานสาขาของหน่วยหลากภาษาและวัฒนธรรมหน่วยหนึ่งของเรา เขาเรียกสิ่งนี้ตามที่เอ็ลเดอร์เกอร์ริท ดับเบิลยู. กองเคยเรียกว่า การเป็นคนในพันธสัญญา11 นี่เป็นแนวคิดที่งดงามมาก! เราเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่ทุกคนพยายามให้พระผู้ช่วยให้รอดและพันธสัญญาของตนเป็นศูนย์กลางของชีวิตและดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณอย่างเบิกบาน ด้วยเหตุนี้ แทนที่จะมองกันผ่านเลนส์บิดเบี้ยวของความเป็นมรรตัยของเรา พระกิตติคุณยกระดับสายตาเราและช่วยให้เรามองกันผ่านเลนส์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงและไร้ที่ติของพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ที่เราทำ ในการทำเช่นนั้น เราเริ่มขจัดความลำเอียงตามธรรมชาติและอคติต่อผู้อื่น ซึ่งช่วยพวกเขาลดความลำเอียงและอคติต่อเราด้วย12 เป็นวัฏจักรคุณธรรมอันน่าอัศจรรย์ ตามจริงแล้ว เราทำตามคำเชื้อเชิญของศาสดาพยากรณ์ที่รักของเราที่ว่า: “พี่น้องที่รัก วิธีที่เราปฏิบัติต่อกันสำคัญอย่างยิ่ง! วิธีที่เราพูดคุยกับคนอื่นและพูดเกี่ยวกับคนอื่นที่บ้าน ที่โบสถ์ ที่ทำงาน และทางออนไลน์สำคัญอย่างยิ่ง วันนี้ข้าพเจ้าขอให้เราปฏิสัมพันธ์กันในวิธีที่สูงขึ้นและศักดิ์สิทธิ์ขึ้น”13

บ่ายวันนี้ ตามเจตนารมณ์ของคำเชื้อเชิญนั้น ข้าพเจ้าขอกล่าวคำปฏิญาณพร้อมกับเด็กปฐมวัยที่ยอดเยี่ยมของเราว่า

แม้เธอเดินไม่ได้ดังเช่นใครๆ

บางคนอาจเดินหนีจากเธอไป

แต่ฉันไม่! ฉันไม่!

แม้เธอพูดไม่ได้ดังเช่นใครๆ

บางคนอาจหัวเราะเยาะชอบใจ

แต่ฉันไม่! ฉันไม่!

ฉันเดินกับเธอ ฉันพูดกับเธอ

เพื่อให้เธอรู้ว่าฉันรักเธอ

พระคริสต์ไม่เคยหนีจากใคร

พระองค์ทรงให้ความรักห่วงใย

ฉันจะทำ! จะทำ!14

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระองค์ผู้ที่เรากล่าวถึงในฐานะพระบิดาในสวรรค์ทรงเป็นพระบิดาของเราจริงๆ พระองค์ทรงรักเรา ทรงรู้จัก​ลูกแต่ละคนของพระองค์อย่างใกล้ชิด ทรงห่วงใยแต่ละคนอย่างลึกซึ้ง และเราทุกคนเหมือนกันสำหรับพระองค์จริงๆ ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าวิธีที่เราปฏิบัติต่อกันเป็นการสะท้อนความเข้าใจและความสำนึกคุณของเราต่อการพลีพระชนม์ขั้นสูงสุดและการชดใช้ของพระบุตรของพระองค์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้เรารักผู้อื่นเหมือนพระองค์ เพราะนั่นคือสิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่เพราะคนเหล่านั้นกำลังทำสิ่งที่ถูกต้องหรือเป็นแบบที่คนอื่นคิดว่า“ถูกต้อง” ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน