2023
มองครอบครัวพระผู้เป็นเจ้าผ่านเลนส์ภาพรวม
พฤศจิกายน 2023


11:30

มองครอบครัวพระผู้เป็นเจ้าผ่านเลนส์ภาพรวม

ดิฉันเชื่อว่าเราสามารถซูมออกและมองตนเองกับครอบครัวด้วยความหวังและปีติผ่านดวงตาแห่งศรัทธา

เมื่อเบิร์คลีย์ลูกสาวคนเล็กของเรายังเล็ก ดิฉันเริ่มใช้แว่นอ่านหนังสือ―แบบที่ซูมเข้าและขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น วันหนึ่ง ขณะนั่งอ่านหนังสือด้วยกัน ดิฉันมองดูเธอด้วยความรักแต่ก็เศร้าด้วยเพราะดูเหมือนเธอจะโตไวมาก ดิฉันคิดว่า “เวลาไปไหนหมด? เธอตัวโตมาก!”

ขณะยกแว่นอ่านหนังสือขึ้นเช็ดน้ำตา ดิฉันรู้ทันทีว่า “เดี๋ยวนะ—เธอไม่ได้โตขึ้น แว่นนี่ต่างหาก! งั้นก็แล้วไป!”

บางครั้งเราจะเห็นแต่ภาพคนที่เรารักแบบขยายระยะใกล้แบบนั้น คืนนี้ดิฉันขอเชิญชวนท่านให้ซูมออกและมองผ่านเลนส์อื่น—เลนส์นิรันดร์ที่โฟกัสภาพใหญ่ เรื่องราวที่ใหญ่ขึ้นของท่าน

ในช่วงที่มนุษย์ขึ้นไปในอวกาศครั้งแรก จรวดไร้คนขับไม่มีหน้าต่าง แต่ตอน อะพอลโล 8 ไปดวงจันทร์ นักบินอวกาศมีหน้าต่าง ขณะลอยอยู่ในอวกาศ พวกเขาประทับใจกับพลังของการมองเห็นโลกของเราและถ่ายภาพอันงดงามนี้ที่ดึงดูดความสนใจของคนทั้งโลก! นักบินอวกาศเหล่านั้นประสบความรู้สึกที่ทรงพลังมากจนตั้งชื่อให้ว่า: อิทธิพลของภาพรวม

โลกในมุมมองจากอวกาศ

นาซา

การมองจากจุดที่เห็นได้กว้างขวางจะเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่ง มนุษย์อวกาศคนหนึ่งกล่าวว่ามุมมองนี้ “ลดขนาดสิ่งต่างๆ ลงไปเป็นขนาดที่คุณคิดว่าทุกสิ่งสามารถจัดการได้ … เราจัดการได้ สันติสุขบนแผ่นดินโลก—ไม่มีปัญหา มันให้พลังงานแบบนั้น … พลังแบบนั้นแก่ผู้คน”1

ในฐานะมนุษย์ เรามีมุมมองแบบบนพื้นโลก แต่พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นภาพรวมอันกว้างใหญ่ของจักรวาล ทรงเห็นงานสร้างทั้งหมด เห็นเราทุกคน และทรงเปี่ยมด้วยความหวัง

เป็นไปได้ไหมที่จะเริ่มเห็นดังที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็น แม้ขณะอยู่บนพื้นโลกใบนี้—ที่จะสัมผัสถึงความรู้สึกแบบ ภาพรวม นี้? ดิฉันเชื่อว่าเราสามารถซูมออกและมองตนเองกับครอบครัวด้วยความหวังและปีติผ่านดวงตาแห่งศรัทธา

พระคัมภีร์เห็นด้วย โมโรไนพูดเกี่ยวกับคนที่ศรัทธา “มั่นคงยิ่งนัก” จนพวกเขา “เห็นอย่างแท้จริง … ด้วยดวงตาแห่งศรัทธา, และพวกเขายินดี2

ด้วยดวงตาที่จดจ่ออยู่ที่พระผู้ช่วยให้รอด พวกเขาจึงรู้สึกถึงปีติและรู้ความจริงนี้: เพราะพระคริสต์ ทุกอย่างจึงเป็นไปด้วยดี ทุกอย่างที่ ท่าน และ ท่าน และ ท่าน กังวลอยู่—ทุกอย่างจะโอเค! และคนที่มองด้วยดวงตาแห่งศรัทธาจะ รู้สึก ได้ว่า ตอนนี้ มันจะโอเค

ดิฉันประสบปัญหามากมายในช่วงเรียนมัธยมปลายปีสุดท้ายเมื่อดิฉันทำการเลือกที่ไม่ดี ดิฉันจำได้ว่าเห็นคุณแม่ร้องไห้และสงสัยว่าดิฉันทำให้ท่านผิดหวังหรือเปล่า เวลานั้นดิฉันกังวลว่าน้ำตาของคุณแม่หมายความว่าท่านหมดหวังในตัวดิฉันแล้ว และถ้าท่านรู้สึกไม่มีหวังในตัวดิฉัน อาจไม่มีหนทางให้กลับไปก็ได้

แต่คุณพ่อถูกฝึกให้ซูมออกและมองไกล คุณพ่อได้เรียนรู้จากประสบการณ์ว่าความกังวลให้ความรู้สึกเหมือนความรักมาก แต่ไม่เหมือนกัน3 คุณพ่อใช้ดวงตาแห่งศรัทธามองว่าทุกสิ่งจะเป็นไปด้วยดี และแนวทางที่มีความหวังของท่านเปลี่ยนแปลงดิฉัน

เมื่อดิฉันจบมัธยมปลายมาเรียนที่บีวายยู คุณพ่อส่งจดหมายมาเตือนว่าดิฉันเป็นใคร ท่านกลายเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของดิฉัน และทุกคนต้องการเชียร์ลีดเดอร์—คนที่ไม่บอกว่า “คุณวิ่งไม่เร็วพอ” แต่กำลังย้ำเตือนท่านด้วยความรักว่าท่านวิ่งเร็วได้

คุณพ่อเป็นแบบอย่างถึงความฝันของลีไฮ ท่านเหมือนลีไฮคือรู้ว่าเราไม่ต้องไล่ตามคนที่เรารักเมื่อพวกเขารู้สึกหลงทาง “เราอยู่กับที่และเรียกพวกเขา เราไปที่ต้นไม้นั้น อยู่ตรงต้นไม้ กินผลไม้ไปเรื่อยๆ และกวักมือเรียกคนที่เรารักต่อไปพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า และแสดงตัวอย่างให้เห็นว่าการกินผลไม้นั้นเป็นสิ่งที่มีความสุข!”4

ภาพนี้ช่วยดิฉันในช่วงเวลาเศร้าๆ เมื่อพบตนเองอยู่ตรงต้นไม้ กำลังกินผลไม้พลางร้องไห้เพราะกังวล แต่กังวลแล้วมีประโยชน์แค่ไหน? เรามาเลือกความหวังกันดีกว่า—ความหวังในพระผู้สร้างของเราและในกันและกัน เติมพลังความสามารถของเราให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้

ไม่นานหลังจากเอ็ลเดอร์นีล เอ. แม็กซ์เวลถึงแก่กรรม นักข่าวคนหนึ่งถามลูกชายท่านว่าเขาจะคิดถึงอะไรมากที่สุด เขาตอบว่าจะคิดถึงอาหารค่ำที่บ้านพ่อกับแม่ เพราะหลังจากนั้นเขามักจะรู้สึกเหมือนกับว่าพ่อเชื่อในตัวเขา

ช่วงเวลาราวๆ นั้น ลูกที่โตแล้วของเรากับคู่ชีวิตของพวกเขาเริ่มมากินอาหารเย็นวันอาทิตย์ที่บ้านเรา ระหว่างสัปดาห์ดิฉันจะคิดเรื่องที่จะเตือนพวกเขาในวันอาทิตย์ออกมาเป็นข้อๆ เช่น “อาจลองช่วยเหลือลูกๆ มากขึ้นตอนอยู่บ้าน” หรือ “อย่าลืมเป็นผู้ฟังที่ดี”

เมื่อได้อ่านความเห็นของบราเดอร์แม็กซ์เวล ดิฉันโยนสิ่งที่เขียนไว้ทิ้งและเงียบเสียงวิจารณ์นั้น ดังนั้นเมื่อเจอลูกๆ ที่โตแล้วแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ในแต่ละสัปดาห์ ดิฉันจึงจดจ่อกับสิ่งดีๆ มากมายที่พวกเขาทำอยู่แล้ว เมื่อไรอันลูกชายคนโตเสียชีวิตในอีกไม่กี่ปีต่อมา ดิฉันจำได้ว่ารู้สึกสำนึกคุณที่เวลาอยู่ด้วยกันเรามีความสุขมากขึ้นและเป็นช่วงเวลาดีๆ

ก่อนปฏิสัมพันธ์กับคนที่เรารัก เราถามตนเองได้ไหมว่า “สิ่งที่ฉันกำลังจะทำหรือจะพูดเกิดผลดีหรือผลเสีย?” คำพูดของเราเป็นหนึ่งในพลังพิเศษของเรา และสมาชิกครอบครัวเหมือนมนุษย์กระดานดำที่ยืนพูดตรงหน้าเราว่า “เขียนสิ่งที่คุณคิดเกี่ยวกับฉันสิ!” ข้อความเหล่านี้ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ควรให้ความหวังและกำลังใจ5

หน้าที่เราคือไม่สอนคนที่กำลังประสบปัญหามากมายว่าพวกเขาไม่ดีหรือน่าผิดหวัง น้อยครั้งมากที่เราอาจรู้สึกได้รับการกระตุ้นเตือนให้แก้ไข แต่ส่วนใหญ่ขอให้เราบอกข้อความซึ่งคนที่เรารักอยากได้ยินผ่านคำพูดและการแสดงออกว่า “ครอบครัวเรารู้สึกเพียบพร้อมสมบูรณ์เพราะมีคุณอยู่ในครอบครัว” “เราจะรักคุณไปตลอดชีวิต—ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

บางครั้ง สิ่งที่เราต้องการคือความเห็นใจมากกว่าคำแนะนำ การฟังมากกว่าคำสั่งสอน คนที่ได้ยินและสงสัยว่า “ฉันต้องรู้สึกอย่างไรถึงจะพูดสิ่งที่พวกเขาเพิ่งพูดไป?”

จำไว้ว่าครอบครัวเป็นห้องทดลองที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้เราคิดหาคำตอบ ดังนั้นการทำผิดขั้นตอนและการคำนวณผิดจึงไม่ใช่แค่เป็นไปได้ แต่น่าจะเป็นด้วย และนั่นไม่น่าสนใจหรอกหรือ ถ้าในบั้นปลายชีวิต เราได้เห็นว่าความสัมพันธ์เหล่านั้น แม้ช่วงเวลาท้าทายเหล่านั้น เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราเป็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอดมากขึ้น? ปฏิสัมพันธ์ยากๆ แต่ละครั้งเป็นโอกาสให้เรียนรู้วิธีรักในระดับที่ลึกขึ้น—ระดับที่เหมือนพระผู้เป็นเจ้า6

ขอให้เราซูมออกเพื่อมองความสัมพันธ์ครอบครัวเหมือนเป็นเครื่องมืออันทรงพลังคอยสอนบทเรียนที่เรามาที่นี่เพื่อเรียนรู้เมื่อเราหันไปหาพระผู้ช่วยให้รอด

ขอให้เรายอมรับว่าในโลกที่ตกนี้เราไม่มีทางเป็นคู่ชีวิต พ่อแม่ ลูกชายหรือลูกสาว หลาน ผู้ให้คำปรึกษา หรือเพื่อนที่สมบูรณ์แบบได้—แต่มีล้านวิธีให้เราเป็นได้ดี7 ขอให้เราอยู่ตรงต้นไม้ รับส่วนความรักของพระผู้เป็นเจ้า และแบ่งปัน เรายกระดับไปด้วยกันด้วยการยกคนรอบข้าง

น่าเสียดายที่ความทรงจำเรื่องการกินผลไม้ยังไม่เพียงพอ เราต้องรับส่วนครั้งแล้วครั้งเล่าจนเปลี่ยนตำแหน่งเลนส์ของเราและเชื่อมโยงเรากับภาพรวมของสวรรค์โดยเปิดพระคัมภีร์ซึ่งเต็มไปด้วยความสว่างเพื่อขับไล่ความมืด คุกเข่าจนกว่าคำสวดอ้อนวอนแบบผิวเผินของเราจะมีพลังยิ่ง นี่เป็นเวลาที่ใจอ่อนลง และเราเริ่มเห็นดังที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็น

ในวันเวลาสุดท้ายนี้ งานยิ่งใหญ่ที่สุดของเราอาจอยู่กับคนที่เรารัก—คนดีๆ ที่อยู่ในโลกอันชั่วร้าย ความหวัง ของเรา เปลี่ยนวิธีที่พวกเขามองตนเองและตัวตนจริงๆ ของพวกเขา และโดยผ่านเลนส์แห่งความรักนี้ พวกเขาจะเห็นว่าตน จะ เป็นใคร

แต่ปฏิปักษ์ไม่ต้องการให้เราหรือคนที่เรารักกลับบ้านด้วยกัน และ เพราะ เราอยู่บนโลกที่มีเงื่อนเวลาและจำนวนปีจำกัด8 เขาจึงพยายามทำให้เรารู้สึกหวั่นวิตกตลอดเวลา เมื่อเราถูกซูมเข้ามา เป็นเรื่องยากที่จะเห็นว่าทิศทางของเราสำคัญกว่าความเร็ว

จำไว้ว่า “ถ้าท่านอยากไปเร็ว ให้ไปคนเดียว ถ้าท่านอยากไปไกล ให้ไปด้วยกัน”9 ขอบพระทัยที่พระผู้เป็นเจ้าที่เรานมัสการทรงมีเวลา ไม่ จำกัด พระองค์ทรงเห็นตัวตนจริงๆ ของคนที่เรารัก ตัวตนจริงๆ ของ เรา10 ด้วยเหตุนี้จึงทรงอดทนกับเรา โดยหวังว่าเราจะอดทนต่อกัน

ดิฉันยอมรับว่ามีหลายครั้งที่รู้สึกว่าแผ่นดินโลกซึ่งเป็นบ้านชั่วคราวของเราเหมือนเกาะแห่งความโศกเศร้า—ช่วงเวลาที่ดิฉันมีดวงตาแห่งศรัทธาข้างเดียวและอีกข้างกำลังร้องไห้11 ท่านรู้จักความรู้สึกนี้ไหม?

ดิฉันรู้สึกเมื่อวันอังคาร

เราจะเลือกเจตคติของศาสดาพยากรณ์เมื่อท่านสัญญาเรื่องปาฏิหาริย์ในครอบครัวของเราแทนได้ไหม? ถ้าเราเลือกเช่นนั้น ปีติของเราจะเพิ่มขึ้น แม้ความวุ่นวายจะเพิ่มขึ้นก็ตาม ท่านสัญญาว่าเราสามารถประสบอิทธิพลของภาพรวม ตอนนี้ ไม่ว่าสภาวการณ์ของเราเป็นเช่นไร12

การมีดวงตาแห่งศรัทธา ตอนนี้ คือการหวนคืนหรือสะท้อนศรัทธาที่เรามีก่อนมาบนโลกใบนี้ ตาดวงนี้มองผ่านความไม่แน่นอนของชั่วขณะหนึ่ง เปิดโอกาสให้เรา “ทำสิ่งทั้งปวงที่อยู่ในอำนาจของเราอย่างรื่นเริง; และจากนั้น … ยืนนิ่ง”13

มีเรื่องยากๆ ในชีวิตท่านตอนนี้ไหม เรื่องที่ท่านกังวลว่าจะแก้ไม่ได้? หากไม่มีดวงตาแห่งศรัทธา ท่านอาจจะรู้สึกเหมือนพระผู้เป็นเจ้าทรงสูญเสียการควบคุมสิ่งต่างๆ และนั่นจริงหรือ?

หรือที่ท่านกลัวมากกว่านั้นคือท่านจะต้องผ่านช่วงเวลายากๆ นี้ด้วยตัวเอง แต่นั่นย่อมหมายความว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงทอดทิ้งท่านแล้ว และนั่นจริงหรือ?

ดิฉันเป็นพยานว่าเพราะการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์จึงทรงสามารถเปลี่ยนฝันร้ายที่ท่านประสบให้กลายเป็นพรได้ พระองค์ทรงสัญญากับเรา “ด้วยพันธสัญญาที่ไม่แปรเปลี่ยน” ว่าเมื่อเราพยายามรักและติดตามพระองค์ “สิ่งทั้งปวง เหล่านั้นที่ [เรา] เป็นทุกข์มาก็จะร่วมกันส่งผลเพื่อความดี [ของเรา]”14 สิ่ง ทั้งปวง

และเพราะเราเป็นลูกหลานแห่งพันธสัญญา เราจึงสามารถขอความรู้สึกที่มีความหวังนี้ได้ ตอนนี้!

แม้ครอบครัวเราไม่สมบูรณ์แบบ แต่เราสามารถทำให้ความรักที่มีต่อผู้อื่น สมบูรณ์แบบ ได้จนกลายเป็นความรักอันมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น—ความรักแบบที่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลง เปิดโอกาสให้เติบโตและกลับมา

งานของพระผู้ช่วยให้รอดคือนำคนที่เรารักกลับมา นี่คืองาน ของพระองค์ และเวลา ของพระองค์ งาน ของเรา คือให้ความหวังและหัวใจที่พวกเขากลับบ้านมาหาได้ “เราไม่มีสิทธิอำนาาจ [ของพระผู้เป็นเจ้า] ที่จะกล่าวโทษ ทั้งไม่มีพลังอำนาจของพระองค์ที่จะไถ่ แต่เราได้รับอนุญาตให้ใช้ความรักของพระองค์”15 ประธานเนลสันสอนเช่นกันว่าผู้อื่นต้องการความรักของเรามากกว่าการตัดสินของเรา “พวกเขาต้องการประสบความรักอันบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์ที่สะท้อนอยู่ในคำพูดและการกระทำ [ของเรา]”16

ความรักคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงใจ คือเจตนาที่บริสุทธิ์ที่สุด และผู้อื่นรู้สึกได้ ขอให้เรายึดมั่นคำพยากรณ์เหล่านี้ที่มอบให้เมื่อ 50 ปีก่อน: “ไม่มีบ้านใดล้มเหลวเว้นแต่จะเลิกพยายาม”17 แน่นอนว่าคนที่รักมากที่สุดและยาวนานที่สุดย่อมชนะ!

ในครอบครัวบนแผ่นดินโลก เรากำลังทำสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงทำกับเรา—คือชี้ทางและหวังว่าคนที่เรารักจะไปในทิศทางนั้น โดยรู้ว่าเส้นทางที่พวกเขาเดินคือเส้นทางที่พวกเขาเลือก

และเมื่อพวกเขาผ่านไปอีกด้านหนึ่งของม่านและเข้ามาใกล้ “แรงดึงดูด” อันเปี่ยมด้วยความรักของบ้านบนสวรรค์18 ดิฉันเชื่อว่าพวกเขาจะรู้สึกคุ้นเคยเพราะพวกเขาเคยได้รับความรักแบบนั้นที่นี่

ขอให้เราใช้ เลนส์ภาพรวม นี้มองคนที่เรารักและคนที่เราอยู่ด้วยเหมือนเพื่อนร่วมทางบนโลกที่สวยงามของเรา

ท่านกับดิฉัน? เราทำสิ่งนี้ได้! เราอดทนและหวังต่อไปได้! เราสามารถอยู่ตรงต้นไม้และรับส่วนผลไม้ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า โดยปล่อยให้แสงสว่างของพระคริสต์ในดวงตาของเรากลายเป็นสิ่งที่พวกเขาพึ่งพาได้ในชั่วโมงมืดมิดที่สุด และเมื่อพวกเขาเห็นแสงสว่างปรากฏในสีหน้าของเรา พวกเขาจะถูกดึงเข้าหาแสงนั้น จากนั้นเราจะช่วยให้พวกเขามุ่งความสนใจกลับไปที่แหล่งกำเนิดของความรักและแสงสว่าง “ดาวประจำรุ่งอันสุกใส” องค์พระเยซูคริสต์19

ดิฉันแสดงประจักษ์พยานว่าทั้งหมดนี้จะออกมาดีกว่าที่ท่านและดิฉันสามารถจินตนาการได้อย่างมาก! ด้วยดวงตาแห่งศรัทธาในพระเยซูคริสต์ ขอให้เราเห็นว่าทุกอย่างจะดีในที่สุด และรู้สึกว่ามันจะดี ตอนนี้ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน