บทที่ 2
ฉันเป็นใคร?
การรู้วาเราเป็นใครซ่วยให้เราได้รับชีวิตนิรันดร์อย่างไร?
บทนำ
“วันหนึ่ง ครูสาวของโรงเรียนวันอาทิตย์ [มา] ถามคำถามที่น่าสนใจพอสมควรกับ ข้าพเจ้า ซึ่งเป็นคำถามที่นักเรียนในชั้นถามเธอเมื่อวันอาทิตย์ก่อน” ประธานฮาโรลด์ บี. ลี กล่าวกับสิทธิซนที่มาร่วมการประชุม “เธออธิบายว่า ขณะกำลังพูดถึงชีวิตก่อน หน้านี้ชีวิตนี้ และชีวิตหลังจากนี้นักเรียนในชั้นถามขึ้นว่า ‘ชีวิตก่อนหน้านี้สินสุดเมื่อ เราเกิดในชีวิตมตะ ชีวิตนี้สินสุดเมื่อเรารับความตายในชีวิตมตะ แล้วชีวิตหน้าจะสิน สุดอย่างไร? เป็นภาวะที่ทุกสิงจะเลือนหายไปจากความทรงจำใช่หรือไม่?’ ครูโรงเรียน วันอาทิตย์ผู้นี้ตอบว่า ‘ดิฉันไม่ทราบเหมือนกันค่ะ’
“ขณะที่ข้าพเจ้าคิดถึงเรื่องนี้ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าเราใช้คำค่อนข้างกำกวมเมื่อ พูดถึง ‘ชีวิตก่อนหน้านี้ ชีวิตนี้ และชีวิตหน้า’ ราวกับเราเป็นแมวเก้าชีวิต ซึ่งจริงๆ แล้ว เรามืแคํชีวิตเดียว ชีวิตนี้ที่เราพูดถึงไม่ได้เรื่มต้นด้วยการเกิดในชีวิตมตะ และไม่ ได้สินสุดลงด้วยความตายในชีวิตมตะ มีบางสิงไม่ได้ถูกสร้างหรือถูกทำขึ้น พระ คัมภีร์ เรียกสิงนี้ว่า ‘ดวงความรู้แจ้ง’ ซึ่งถูกจัดให้เป็น ‘วิญญาณ’ ในชั้นหนึ่งของการ เป็นอยู่ก่อนเกิด หลังจากวิญญาณนั้นเติบโตถึงระดับหนึ่งแล้ว พระบิดาผู้ทรงปรีชา ญาณในทุกเรื่องก็ทรงเป็ดโอกาสให้มาสู่อีกชั้นหนึ่งเพื่อความเจริญก้าวหน้า วิญญาณ ดังกล่าวได้รับเพิ่มเดิม และหลังจากมีชีวิตอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง อีกนั้งบรรลุถึงจุดประ สงคํในชีวิตมตะแล้ว การเปลี่ยนแปลงอีกอย่างหนึ่งจึงเกิดขึ้น เราไปสู่อีกชั้นหนึ่งของ ชีวิตเดียวกันนี้ ไม่ใช่อีกชีวิตหนึ่ง มีบางสิงไม่ได้ถูกสร้างหรือถูกทำขึ้น มีบางสิงที่ไม่ ตาย และสิงนั้นจะคงอยู่ตลอดกาล”1
บทนี้จะพูดถึงลักษณะนิรันดร์ของเรา และความรู้ที่เรามีเกี่ยวกับลักษณะนี้จะส่ง ผลต่อชีวิตของเราอย่างไร
คำสอนของฮาโรลด์ บี. ลี
การรู้ว่าเราเป็นบุตรและธิดาทางวิญญาณของพระบิดา บนสวรรค์เป็นพรต่อเราอย่างไร?
เราเป็นใคร?…อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “อีกประการหนึ่ง เราทั้งหลายมีบิดาเป็น มนุษย์ที่ได้ตีสอนเรา และเราก็นับถือบิดานั้น ยิ่งกว่านั้นอีก เราควรจะอยู่ใต้บังคับของ พระบิดาแห่งวิญญาณจิต และมีชีวิตจำเริญมิใซ่หรือ” [สืบรู 12:9] ข้อความนี้บอกให้ ทราบว่าทุกคนที่อยู่บนโลกนี้และมีบิดาเป็นมนุษย์ต่างก็มีบิดาแห่งวิญญาณ ด้วย…พระเจ้าตรัสกับโมเสสและแอรันว่า “จงแยกตัวออกเสียจากชุมนุมซนนี้ เพื่อ เราจะผลาญเขาเสียในพริบตาเดียว” พระพิโรธของพระองค์ก่อขึ้นกับคนที่ไม่ชอบ ธรรมเหล่านี้ แต่โมเสสกับแอรันซบหน้าลงถึงดินและทูลว่า “ข้าแค่พระเจ้าผู้ทรงเป็น พระเจ้าแห่งจิตวิญญาณของมนุษย์ทั้งสิน เมื่อคนเดียวกระทำผิด พระองค์จะพิโรธแก ’ชุมนุมซนทั้งหมดหรือ” [กันดารวิถี 16:21-22] ท่านสังเกตเห็นไหมว่าทั้งสองคน เรียกพระองค์ว่าอย่างไร? เรียกว่าพระเจ้าแห่งจิตวิญญาณของมนุษย์ทั้งสิน…
เรามีพระคัมภีร์เก่าแก่ที่สุดเล่มหนึ่งซึ่งตกทอดมาถึงเทได้อย่างน่าอัศจรรย์-เรา เรียกพระคัมภีร์เล่มนี้ว่าไข่มุกอันลํ้าค่า หนึ่งในหนังสือที่ยอดเยี่ยมของพระคัมภีร์อัน ลํ้าค่านี้คือหนังสือเอบราแฮม ในหนังสือนั้น…เราอ่านได้ว่า
“บัดนี้ พระเจ้าทรงแสดงแก่ข้าพเจ้าเอบราแฮม ถึงดวงความรู้แจ้งที่ถูกจัดวางไว้ ก่อนโลกเป็นมา และในบรรดาคนทั้งหมดนี้มีดวงที่สง่าและใหญ่ยิ่งหลายดวง
“และพระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นจิตวิญญาณเหล่านี้ว่าเขาตีและพระองค์ประทับยืน ทำมกลางพวกเขา และพระองค์ตรัส: เราจะทำให้คนเหล่านี้เป็นผู้ปกครองของเรา เพราะพระองค์ประทับยืนในบรรดาคนเหล่านั้นที่เป็นวิญญาณ และพระองค์ทรงเห็น ว่าเขาตี และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้า: เอบราแฮม เจ้าเป็นคนหนึ่งของพวกเขาเจ้าถูก เลือกก่อนเจ้าเกิด
“และมีคนหนึ่งยืนอยู่ในบรรดาพวกเขาที่เหมีอนกับพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ ตรัสกับคนเหล่านั้นผู้ที่อยู่กับพระองค์: พวกเราจะลงไป เพราะมีที่ว่างที่นั้น และเรา จะเอาจากสารเหล่านี้ และเราจะทำแผ่นดินโลกซึ่งบนนั้นคนเหล่านี้จะอาคัยอยู่
“และพวกเราจะพิสูจน์เขาพร้อมกันนั้นเพื่อดูว่าเขาจะทำสิงทั้งหมดอะไรก็ตามที่ พระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าของเขาจะบัญชาเขาหรือไม่
“และคนที่รักษาสถานะแรกของเขาจะได้รับเพิ่มเดิม และคนที่หารักษาสถานะแรก ของเขาไม่จะไม่มีรัศมีภาพในอาณาจักรเดียวกับคนเหล่านั้นที่รักษาสถานะแรกของ เขาและคนที่รักษาสถานะที่สองของเขาจะมีรัศมีภาพเพิ่มเติมบนคืรษะของเขาตลอด กาลและตลอดไป” [เอบราแฮม 3:22-26]
เวลานี้เราพบความจริงอันลํ้าค่ามากมายในพระคัมภีร์ดังกล่าว ประการแรก เรา พอทราบเป็นนัยๆ หรือเข้าใจได้บ้างว่าวิญญาณคืออะไร ตามที่ท่านได้ยินเอบราแฮม กล่าว วิญญาณคือดวงความรู้แจ้งที่ถูกจัดวางไว้ นี่คือความเข้าใจแรกสุดของเรา ในเรื่องที่วำ วิญญาณคืออะไรคือดวงความรู้แจ้งที่ลูกจัดวางไร้ซึ่งดำรงอยู่เป็นวิญญาณ ก่อนโลกนี้เป็นมา แล้ววิญญาณมีรูปลักษณะอย่างไรหรือ? ท่านคิดว่าวิญญาณนั้น เป็นอย่างไร? พระเจ้าประทานดำตอบที่ได้รับการดลใจผ่านศาสดาโจเซฟ สมิธ ซึ่ง ตอนหนึ่งอ่านได้ความว่า “สิงซึ่งเป็นฝ่ายวิญญาณในรูปลักษณะของสิงซึ่งเป็นฝ่าย โลก และสิงซึ่งเป็นฝ่ายโลกในรูปลักษณะของสิงซึ่งเป็นฝ่ายวิญญาณ” ขอให้ฟังข้อ ความนี้ “วิญญาณของมนุษยํในรูปลักษณะของตัวเขา ตังวิญญาณของสัตว์ด้วย และ สิงมีชีวิตอื่นทุกสิงซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างไว้” [ค.พ. 77:2]
แน่นอนว่า ตอนนี้ ท่านเห็นข้าพเจ้าที่นี่ในสภาพของมนุษย์ทางกายภาพที่เป็นผู้ ใหญ่ แต่มีส่วนหนึ่งของข้าพเจ้าที่ท่านมองเห็นไม่ได้ด้วยตาฝ่ายธรรมชาติ ส่วนนั้นคือ วิญญาณ ที่มองออกมาทางดวงตาของข้าพเจ้า ซึ่งให้พลังแห่งการเคลื่อนไหว ให้สติ ปัญญาและความสามารถในการเข้าใจแก่ข้าพเจ้า…
และนึ่คือความจริงข้อแรกที่เราเรียนรู้ นั้นคือ มีดวงความรู้แจ้งที่ถูกจัดวางไร้ซึ่ง เรียกว่า…วิญญาณ พระเจ้า [พระเยโฮวาห้] ผู้ทรงเป็นวิญญาณที่ยิ่งใหญ่และรุ่งโรจน์ เหมือนพระผู้เป็นเจ้า [พระบิดา] เสด็จมาในบรรดาดวงความรู้แจ้งเหล่านั้นที่ถูดจัด วางไร้ซึ่งเรียกว่าวิญญาณ และพระองค์ตรัสกับเขาว่า เราจะท่าแผ่นดินโลกให่วิญญาณ ของเจ้าอยู่ และผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างมีค่าควรที่นึ่ในโลกแห่งวิญญาณจะได้ลงไปยังแผ่น ดินโลกและได้รับเพิ่มเติม ด้วยเหตุนี้ วิญญาณเหล่านั้นที่รักษาศรัทธาของเขา ข้าพ- เจ้าจะกล่าวว่า หรือที่มีค่าควรได้รับอนุญาตให้มายังโลกนี้และเพิ่มเติมร่างกายทาง กายภาพบนโลกนึ่ให้แก่ร่างกายทางวิญญาณของเขา…ข้อเท็จจริงที่ว่าท่านกับข้าพเจ้า อยู่บนโลกนี๋โดยมีร่างกายทางกายภาพ คือ หลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเราอยู่ในบรรดา ผู้ที่รักษาสถานะแรก เราผ่านการทดสอบและได้รับอนุญาตให้มาที่นึ่ หากเราไม่ผ่าน การทดสอบ เราจะไม่ได้มาที่นึ่เราจะลงไปอยู่กับซาตานซึ่งกำลังพยายามล่อลวงคนที่มี ร่างกาย…
ทำไมเราจึงต้องที่อสัตย์เพื่อให้การกิจที่เราไต้รับแต่งตั้งล่วงหน้า บรรลุผลสำเร็จบนโลกนี้?
เมื่อเราทราบลักษณะก่อนเกิดของตนเอง ทราบว่าเราเป็นใคร-เป็นบุตรและธิดา ของพระผู้เป็นเจ้าก่อนโลกนี้เป็นมา พระองค์ผู้ทรงเป็นพระบิดาของวิญญาณมนุษย์ ทั้งปวงที่มีซีวิดในเนื้อหนังบนโลกนี้-เมื่อนั้นเราก็พร้อมจะตอบคำถามข้อต่อไป จาก สิงที่ข้าพเจ้าอ่านให้ท่านฟังจากหนังสือเอบราแฮมข้อ 23 ท่านได้ยินว่า พระผู้เป็นเจ้า ทรงบอกเอบราแฮมว่าเขาได้รับการแต่งตั้งหรือถูกเสือกก่อนเกิด ข้าพเจ้าสงสัยว่า ท่านคิดถึงเรื่องนี้หรือไม่ พระผู้เป็นเจ้าทรงบอกโมเสสด้วยเซ่นกัน…
“และโดยเรียกหาพระนามของพระผู้เป็นเจ้า ท่านเห็นรัศมีภาพของพระองค์อีก เพราะมันอยู่บนท่าน และท่านได้ยินพระสุรเสิยงมีความว่า: เจ้าเป็นสุขแล้วโมเสส เพราะเราพระผู้ทรงฤทธานุภาพเสือกเจ้า และเจ้าจะลูกทำให้แข็งแรงกว่าผืนนั้ามาก หลาย เพราะมันจะทำตามคำสั่งของเจ้าราวกับเจ้าเป็นพระผู้เป็นเจ้า” [โมเสส 1:25] ภารกิจของเขาคือ เป็นผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่และเรืองอำนาจ พระเจ้าตรัสกับเยเรมีย์ ท่านองเตยวกันว่า “เราเด้รูจ้กเจ้าก่อนทเราเด้ก่อร่างตัวเจ้าท๒ครรภ์ และก่อนทเจ้า คลอดจากครรภ์ เราก็ได้กำหนดตัวเจ้าไว้ เราได้แต่งตั้งเจ้าเป็นผู้เผยพระวจนะให้แก่ บรรดาประซาชาติ” [เยเรมีย์ 1:5] โจเซฟ สมีธให้ความกระจ่างมากขึ้นในเรื่องนี่โดย กล่าวกับเราว่า “มนุษย์ทุกคนที่มีการเรียกให้ปฏิบัติต่อผู้อาศัยของโลกได้รับแต่งตั้งสู่ จุดประสงค์ตังกล่าวในสภาใหญ่ของสวรรค์ก่อนโลกนี้เป็นมา” ท่านกล่าวต่อจาก นั้นว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งสู่ตำแหน่งนี้ในสภาใหญ่นั้น” [History of the Church, 6:364]
ไม่ว่าการเรียกนั้นจะเป็นอย่างไร แตนคือพระดำรัสเตือนอันน่ากลัวที่พระเจ้าทรง ใส่ไว้ในความติดของศาสดาโจเซฟ สมีธ และท่านได้บันทึกไว้… “ดูเถิด มีหลายคน ลูกเรียก แค่น้อยคนได้รับเลือก” อีกนัยหนึ่ง…เพราะเรามีอำเภอใจที่นี่ จึงมีหลายคน ได้รับแต่งตั้งล่วงหน้าสู่งานที่ใหญ่ยิ่งกว่าที่เขาเตรียมตัวมาท่าบนโลกนี้ ท่านกล่าวว่า “และทำไมเขาจึงไม่ได้รับเลือกเล่า?” จากนั้นท่านได้ให้เหตุผลสองประการที่ว่า ทำไมมนุษย์จึงล้มเหลวในการแต่งตั้งของเขา “เพราะใจของเขาหมกมุ่นอยู่กับของ ของโลกนี้” และสองเขา “ต้องการเกียรติของมนุษย์จนเขาไม่เรียนรู้บทเรียนบทหนึ่ง นี้-ว่าสิทธของฐานะปุโรหิตเกี่ยวข้องกับอำนาจของสวรรค์อย่างแยกกันไม่ได้” [ค.พ. 121:34-36]2
อย่าเข้าใจผิดคิดว่าการเรียกและการแต่งตั้งล่วงหน้าเซ่นนั้นกำหนดไว้แล้วว่าท่าน ต้องท่าอะไร ศาสดาในทวีปตะวันตกพูดไว้อย่างซัดเจนในเรื่องนี้ “โดยถูกเรียกและ ลูกเตรียมไว้นับแต่การวางรากฐานของโลกตามความรู้ล่วงหน้าของพระผู้เป็นเจ้าอัน เนื่องมาจากศรัทธายิ่งและงานดีของเขา โดยที่ในตอนแรกถูกปล่อยไว้ให้เลือกความ ดีหรือความชั่ว” (แอลมา 13:3) …พระผู้เป็นเจ้าอาจทรงเรียกและเลือกมนุษยํใน โลกแห่งวิญญาณหรือในสถานะแรกให้ทำงานบางอย่าง แต่เขาจะยอมรับและขยาย การเรียกดังกล่าวที่นี่ โดยการรับใซ้ที่ซื่อสัตย์และงานดีขณะอยู่ในชีวิตมตะหรือไม่นั้น เป็นสิฑธี้และอภิสิทธึของเขาที่จะใช้อำเภอใจของตนเพื่อเลือกความดีหรือความชั่ว3
การรู้ว่าเราเป็นใครส่งผลต่อการใช้อำเภอใจอย่างไร?
เราทราบว่าเราเป็นอะไรอก? เราเป็นตัวแทนอิสระไม่ขึ้นกับใครและบางคนคดที่ จะทำตามความพอใจ แต่นั้นไม่ค่อยถูกต้องนัก เราต่างก็มีอำเภอใจ แต่ตอนนี้ช้าพเจ้า จะขออำนบางสิ่งเกี่ยวกับเรื่องนี๋ให้ท่านพึง ขอให้ท่านทำเครื่องหมาย 2 นีไฟ บทที่ 2 ข้อ 15-16 ข้าพเจ้าบอกท่านว่าข้าพเจ้าคิดว่านี่เป็นงานเกี่ยงมากที่พระบิดาทรงส่งเรา มายังโลกนี้พร้อมด้วยอภิสิทธึของอำเภอใจในการเลือก เพื่อให้เราได้เลือกและได้ รางวัลนิรันดร จึงต้องมีบางสิงเกิดขึ้นกับเรา ขอให้ตั้งข้อสังเกตดังนี้ นี่เป็นคำอธิบาย ที่พ่อพูดกับลูกชายเกี่ยวกับเรื่องนี้ “และเพื่อนำมาซึ่งจุดมุ่งหมายอันเป็นนิรันดร้ฃอง พระองคํในที่สุดของมนุษย์ หลังจากพระองค์ทรงสร้างบิดามารดาแรกของเราและ สัตวํในทุ่งและนกในอากาศแล้ว และโดยสรุป ทุกกี่งที่ถูกสร้างขึ้นจำต้องเป็นว่ามีการ ตรงกันข้าม แม้ผลไม้ต้องห้ามเป็นการตรงกันข้ามกับด้นไม้แห่งชีวิต อย่างหนึ่งหวาน และอีกอย่างหนึ่งขม” [2 นิไฟ 2:15]
นั่นคือสิงที่เรามักได้ยินบ่อย ๆ ก็อย่างที่เราพูด ๆ กัน สิงใดต้องห้าม สิงนั่นนำพึง ปรารถนาที่สุด และสิงที่ถูกต้องสำหรับเราบางครั้งก็เปรียบเสมือนยาฃมที่เราต้อง’ฝืน กลืนลงคอ เพื่อให้มนุษย์มีโอกาสเลือก “ดังนั่นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงประทานให้ มนุษย์ เพื่อเขาจะกระท่าด้วยตนเอง ดังนั่นมนุษย์กระท่าด้วยตนเองไม่ไต้นอกจากจะ เป็นว่า เขาถูกซักจูงโดยอย่างหนึ่งหรืออีกอย่างหนึ่ง” [2 นิไพ่ 2:16] เพื่อให้เราเป็น บุคคลที่มีความคิดเป็นของตัวเอง จึงต้องไม่มีเพียงความดีเท่านั่นแต่ต้องมีความชั่ว ด้วยเพื่อจะเลือกไต้ระหว่างสองสิง ตอนนี้ฃอให้ท่านคิดถึงเรื่องนี้สักครู่ หากมีแค่สิง ดีๆ ในโลกนี้ ไม่มีกี่งชั่วเลย ท่านจะเลือกสิงอื่นไต่ไหมนอกเหนือจากความดี? หากมีแค่สิงชั่วในโลกนี้ โดยไม่มีสิ่งดี ๆ ให้เลือกเลย ท่านจะเลือกสิงอื่นไต่ไหมนอก เหนือจากความชั่ว? เมื่อท่านคิดถึงเรื่องนี้ครู่หนึ่ง วิธีเดียวที่ผู้อาศัยอยู่บนโลกนี้จะมี อำเภอใจ คือ ต้องมีทั้งความดีและความชั่ว และเราทุกคนต้องมีโอกาสเลือกเพื่อตัว …ท่านเห็นหรือไม่ว่าอำเภอใจมีความเกี่ยง พระเจ้าทรงยอมเกี่ยง ทั้งนี้เพื่อเราจะไต้ ดำเนินชีวิตด้วยศรัทธา และเลือกสิงดีในฐานะผู้กระ ท่าที่ไม่ขึ้นกับใคร4
อะไรคือศักยภาพนิรันดร์ของเราในฐานะลูกของพระผู้เป็นเจ้า?
จุดประสงค์ของชีวิต คือ ที่จะท่าให้เกิดความเป็นอมตะและชีวิตนิรันดร ความเป็น อมตะหมายถึงการมีร่างกายในที่สุด โดยไม่ต้องขึ้นอยู่กับความเจ็บปวดของชีวิตมตะ อีกต่อไป ไม่ต้องขึ้นอยู่กับความตายในชีวิตมตะอีกต่อไป และจะไม่สูญสลายอีกต่อ ไป เพราะสิ่งเดิม ๆ ทั้งหมดนึ่ใต้ผ่านพ้นไปแล้ว การไต่ชีวิตนิรันดร์คิอสิทธิที่จะอยู่ใน ที่ประทับของพระองค์ผู้ทรงเป็นนิรันดร แม้พระผู้เป็นเจ้า พระบิดาบนสวรรค์ของเรา และพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ ด้วยจุดมุ่งหมายสองประการดังกล่าว เรา ทุกคนจึงถูกวางไว้บนโลกนี้5
เราอยู่ที่นี่เวลานี้เพื่อเตรียมรับความเป็นอมตะ “ระยะเวลาอันไม่มีที่สินสุดซึ่งคือ ชีวิตจริงของมนุษย์” เราต่างก็เป็นจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ เพราะเราสืบทอดมาจากเชื้อ สายอันสูงส่ง เรามีสิทชื้ที่จะเป็นกษัตริย์และผู้ปกครองเนื่องด้วยบทบาทของเราในโลก วิญญาณก่อนมาที่นื่ เราถูกเลือกให้ออกมาในยุคนี้ และถูกกำหนดให้รับความเป็น อมตะ เซ่นเดียวกับเยาวชนทุกคนของศาสนาจักรนี้ เราควรรู้ด้วยว่า “สิงใดไม่เป็น นิรันดร สิงนั้นสั้นเกินไป และ สิงใดมีที่สุด สิงนั้นเล็กเกินไป” และเราด้องไม่ฝืดตัวลง ไปเกลือกกลั้วกับสิงดังกล่าว6
ข้าพเจ้าจะอ่านจากคำสอนและพันธสัญญาภาคที่ 132… “และอนึ่ง ตามจริงแล้ว เรากล่าวกับเจ้า หากชายแต่งภริยาโดยคำของเรา ซึ่งเป็นกฎของเรา และโดยพันธ- สัญญาใหม่และเป็นนิจ และผนึกมันไว้กับคนทั้งสองโดยพระวิญญาณอันคักดี้สิทชื้ แห่งคำสัญญา” และข้าพเจ้าจะข้ามบางประโยคไปเพื่อให้ท่านเข้าใจความหมาย “มัน จะเป็นไปกับเขาในทุกสิง อะไรก็ตามที่ผู้รับใข้ของเรา’ให้ไว้กับเขา’ในกาลเวลา และ ตลอดชั่วนิรันดร และจะมีผลบังคับเต็มที่เมื่อเขาออกไปจากโลก และเขาจะผ่านพวก เทพและพวกพระผู้เป็นเจ้าซึ่งประจำอยู่ที่นั้นไปสู่ความสูงส่งและรัศมีภาพของเขาใน ทุกสิง” ตอนนี้ จงฟ้งข้อความนี้: และจะมี “ความต่อเนื่องของลูกหลานตลอดกาล และตลอดไป” [ค.พ. 132:19]
ศาสดาโจเซฟ สมีธกล่าวว่า นี่หมายความว่าผู้ที่แต่งงานในพันธสัญญาใหม่และ เป็นนิจ และซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญานั้น หลังจากพื่นคืนชีวิตแล้วเขาจะสามารถอยู่ด้วย กันฉันสามีภรรยาอีกครั้ง และมีสิงที่เขาเรียกที่นี่ว่าความต่อเนื่องของลูกหลาน นี่หมาย ความว่าอะไรหริอ? ข้าพเจ้าจะอ่านจากพระ คัมภีร์อีกข้อหนึ่งให้ท่านฟัง…
“ในรัศมีภาพชั้นสูงมีสวรรค์หรือระดับสามชั้น
“และเพื่อจะให้บรรลุถึงชั้นสูงสุด มนุษย์ต้องเข้าสู่ฐานะนี้ของฐานะปุโรหิต (หมาย ถึงพันธสัญญาใหม่และเป็นนิจของการแต่งงาน)
“และหากเขาไม่ท่าเขาจะบรรลุไม่ไต้
“เขาจะเข้าไปที่อื่น แต่นั่นคือที่สุดของอาณาจักรของเขา” สังเกตตรงนี้ว่า “เขาจะ มีการเพิ่มไม่ไต้” [ค.พ. 131:1-4]
เพิ่มอะไรหรือ? เพิ่มลูกหลาน หรืออีกนัยหนึ่ง จากการเชื่อฟังพระบัญชาสวรรค์ ของพระองค์ เราซึ่งเป็นมนุษยํในที่นี้จะไต้รับพลังอำนาจเพื่อร่วมมือกับพระผู้เป็นเจ้า ในการสร่างจิตวิญญาณมนุษย์ที่นี่ และหลังจากเสิยชีวิตไปแล้ว เราจะมีการเพิ่มนิรันดรในล้มพันธภาพครอบครัวหลังจากงานของโลกนี้สินสุดลง
…บัดนี้จะกลำวถึงบุคคลเหล่านั้นที่ทั้นคืนชีวิตแล้วผู้ขึ่งรักษาพันธสัญญาของการ แต่งงานอันศักดี้สิทธี้และได้รับการผนึกโดยพระวิญญาณอันศักดสิทธี้แห่งคำสัญญา “เมื่อนั้นเขาจะเป็นพระผู้เป็นเจ้า เพราะเขาไม่มีที่สุด ฉะนั้น เขาจะเป็นอยู่จากความ เป็นนิจถึงความเป็นนิจ เพราะเขาดำเนินต่อไป เมื่อนั้น เขาจะอยู่เหนือทุกสิง เพราะ ทุกสิงขึ้นอยู่กับเขา เมื่อนั้นพวกเขาจะเป็นพระผู้เป็นเจ้าเพราะเขามีอำนาจทั้งหมดและ เทพขึ้นอยู่กับเขา” [ค.พ. 132:20]…
…ขอให้เราดำเนินชีวิตจนทุกคนที่อยู่กับเราจะเห็น ไมใช่เห็นเราแต่เห็นสิงศักด- สิทขึ้ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า และในภาพปรากฏนั้นที่ว่าเราเป็นใครและจะเป็นอะไร ขอให้เราได้รับพลังที่จะปีนให้สูงขึ้นลู่เป็าหมายที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตนิรันดร ข้าพเจ้าสวด อ้อนวอนด้วยความถ่อมใจในพระนามของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ เอเมน7
ข้อแนะนำสำหรับการสีกษาและการสนทนา
-
อะไรเสริมสร้างประจักษ์พยานของท่านที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดาของ ท่าน?
-
เหตุใดบางครั้งผู้คนจึงไม่สามารถทำงานที่ได้รับแต่งตั้งล่วงหน้าให้ทำบนโลกนี่ได้ สำเร็จ?
-
อำเภอใจคืออะไร? ทำไมการตรงกันข้ามจึงจำเป็นต่อการใช้อำเภอใจของเรา?
-
ความรู้ถึงศักยภาพนิรันดร์ฃองเราส่งผลต่อความประพฤติของเราในแต่ละวัน อย่างไร?
-
อะไรทำให้ท่านมีพลังขณะที่ท่านพยายาม “ปีนให้สูงขึ้นลู่เป็าหมายที่ยิ่งใหญ่ของ ชีวิตนิรันดร”?