เรียนรู้—ใช้เวลาไม่เกิน 45 นาที
1. ป้องกันไม่ให้ครอบครัวท่านลำบาก
-
อ่าน:การเตรียมพร้อมเป็นหลักธรรมพระกิตติคุณที่มีอานุภาพ พระเจ้าทรงสัญญาว่า “หากเจ้าพร้อมเจ้าจะไม่กลัว” (คพ. 38:30)
หลังจากทำสัญญาผูกมัดว่าเราจะจ่ายให้พระเจ้าผ่านส่วนสิบและเงินบริจาคอื่นๆ ก่อน สัญญาผูกมัดข้อสองของเราคือทำงานเพื่อป้องกันไม่ให้ครอบครัวลำบาก เราทำเช่นนี้ได้ต่อเมื่อเรามองการณ์ไกลเท่านั้น ในบทนี้เราจะเรียนสองขั้นตอนที่ป้องกันไม่ให้ครอบครัวเราลำบากเรื่องเงิน
-
ตั้งกองทุนฉุกเฉินหนึ่งเดือน
-
ทำประกันภัยที่เพียงพอ
-
-
สนทนา:ใช้เวลาสองสามนาทีเพื่อดูแผนที่ความสำเร็จด้านการพิทักษ์การเงิน ท่านคิดว่าเหตุใดการป้องกันไม่ให้ครอบครัวท่านลำบากจึงมีความสำคัญเป็นอันดับสองหลังการจ่ายส่วนสิบและเงินบริจาค
2. ตั้งกองทุนฉุกเฉินหนึ่งเดือน
-
อ่าน:การติดตามรายจ่ายของท่านอย่างน้อยสี่สัปดาห์ควรทำให้ท่านทราบจำนวนเงินที่ต้องใช้จ่ายในหนึ่งเดือนแล้ว กองทุนฉุกเฉินหนึ่งเดือนของท่านควรเท่ากับจำนวนนี้
สำหรับกองทุนฉุกเฉินหนึ่งเดือน ท่านควรเก็บเงินสดไว้ในที่ปลอดภัยและนำออกมาใช้ได้ง่ายเช่นบัญชีธนาคาร อย่าใช้เงินส่วนนี้กับสิ่งอื่นที่ไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน ถ้าท่านมีกรณีฉุกเฉินและต้องใช้เงินจากกองทุนฉุกเฉินหนึ่งเดือน ให้เริ่มคืนเงินเข้ากองทุนทันทีจนกว่าจะครบ ต่อมา หลังจากท่านชำระหนี้ผู้บริโภคครบหมดแล้ว ท่านจะเริ่มออมเงินให้มากพอครอบคลุมค่าใช้จ่ายสามถึงหกเดือน (เราจะพูดถึงขั้นตอนนี้ในบทที่ 9)
ท่านควรพยายามตั้งกองทุนฉุกเฉินหนึ่งเดือนให้เร็วที่สุด นำเงินพิเศษที่ท่านได้มาใส่ไว้ในกองทุนฉุกเฉินจนกว่าจะครบ ถึงแม้ท่านมีหนี้ จงชำระหนี้ขั้นต่ำสุดเท่านั้นจนกว่าท่านตั้งกองทุนฉุกเฉินหนึ่งเดือนแล้ว เพื่อช่วยเร่งกระบวนการนี้ ท่านอาจต้องการหางานพิเศษทำหรืองานที่ดีกว่าเดิม ขายของบางอย่างที่ท่านไม่จำเป็นต้องใช้ หรือตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกบ้าง
-
สนทนา:พรใดจะมาถึงครอบครัวท่านได้บ้างผ่านการมีกองทุนฉุกเฉินหนึ่งเดือน เหตุใดท่านจึงควรตั้งกองทุนฉุกเฉินก่อนชำระหนี้ให้หมด
3. ทำประกันภัยที่เพียงพอ
-
อ่าน:ท่านหรือครอบครัวท่านจะได้รับผลกระทบทางการเงินอย่างไรถ้าคนหนึ่งคนใดป่วยหนักหรือพิการ หรืออาจจะเสียชีวิต ไฟไหม้บ้านหรืออุบัติเหตุร้ายแรงจะส่งผลกระทบทางการเงินอย่างไรบ้าง ความลำบากแบบนี้เกิดขึ้น และถ้าเราไม่พร้อม จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่เรื่องเงิน แหล่งป้องกันความลำบากที่อาจเกิดขึ้นคือการทำประกัน การประกันภัย เป็นการเตรียมการซึ่งองค์กรหนึ่ง (โดยปกติคือบริษัทตัวแทนประกันภัย) รับรองว่าจะชดเชยความลำบากของบุคคลนั้น แลกกับเงินที่ชำระตามกำหนด
ประธานเอ็น. เอ็ลดัน แทนเนอร์สอนว่า “ดูเหมือนไม่มีอะไรแน่นอนเท่ากับเหตุการณ์ไม่คาดคิดในชีวิตเรา เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น ประกันสุขภาพจึงเป็นวิธีเดียวที่ครอบครัวส่วนใหญ่สามารถจ่ายค่าอุบัติเหตุร้ายแรง ความเจ็บป่วย หรือค่าคลอดบุตรได้ … ประกันชีวิตให้รายได้ต่อเนื่องเมื่อผู้ทำประกันเสียชีวิตก่อนกำหนด ทุกครอบครัวควรทำประกันสุขภาพและประกันชีวิตตามสมควร” (“Constancy amid Change,” Ensign, Nov. 1979, 82)
-
สนทนา:เหตุใดการทำประกันจึงสำคัญอย่างยิ่ง พรใดจะมาจากการมีประกันเพียงพอได้บ้าง
ประโยชน์ของการทำประกัน
-
อ่าน:การทำประกันจะช่วยป้องกันท่านจากหายนะทางการเงินที่เกิดจากอุบัติเหตุหรือความลำบากอื่นๆ
ประเภทของประกัน
-
อ่าน:ท่านไม่จำเป็นต้องทำประกันทุกอย่าง—นั่นคือสาเหตุที่ท่านตั้งกองทุนฉุกเฉินและเงินออมอื่นๆ แต่สำคัญอย่างยิ่งที่ท่านต้องป้องกันไม่ให้ตนเองลำบากอันจะทำให้เกิดหายนะด้านการเงิน ประธานแมเรียน จี. รอมนีย์สอนว่า “เรา … ได้รับคำแนะนำให้มีเงินสดสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉินและมีประกันสุขภาพ ประกันบ้าน และประกันชีวิตที่เพียงพอ” (“Principles of Temporal Salvation,” Ensign, Apr. 1981, 6)
มีประกันภัยหลายประเภท แต่ที่ทำกันมากสุดมีสี่ประเภทได้แก่
-
ประกันทรัพย์สิน: ประกันทรัพย์สิน เช่น เจ้าของบ้าน ผู้เช่า และประกันรถยนต์ จะช่วยครอบคลุมค่าทดแทนหรือค่าซ่อมทรัพย์สินในกรณีเสียหายร้ายแรง ถูกขโมย หรือถูกทำลาย
-
ประกันสุขภาพ: ประกันสุขภาพจะช่วยครอบคลุมค่าบริการด้านสุขภาพ ตั้งแต่ค่าตรวจและค่ารักษาโรคไปจนถึงค่ารักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูง บริการด้านสุขภาพอาจมาจากรัฐบาลและความจำเป็นของการทำประกันสุขภาพอาจต่างกันขึ้นอยู่กับพื้นที่อยู่อาศัยของท่าน
-
ประกันชีวิต: ประกันชีวิตให้เงินก้อนหนึ่งแก่ครอบครัวถ้าสมาชิกครอบครัวที่ทำประกันเสียชีวิต
-
ประกันทุพพลภาพ: ประกันทุพพลภาพรับรองว่าจะจ่ายรายได้ส่วนหนึ่งให้ผู้ทำประกันถ้าเขาทุพพลภาพและไม่สามารถทำงานได้ช่วงหนึ่ง
-
ค่าทำประกัน
-
อ่าน:เรามีความเข้าใจในเบื้องต้นเรื่องประกันและผลประโยชน์บางอย่างของประกันแล้ว ต่อไปเราจะสนทนาเรื่องค่าใช้จ่ายบางอย่าง ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับประกันมีสองแบบในเบื้องต้นได้แก่เบี้ยประกันและค่าเสียหายส่วนแรก
เบี้ยประกัน หมายถึงค่าประกันภัย—หรือเงินที่ท่านจ่ายให้บริษัทประกันโดยตรง (มักจะจ่ายรายเดือนหรือรายปี) แลกกับค่าคุ้มครอง
ค่าเสียหายส่วนแรก หมายถึงจำนวนเงินที่ท่านต้องจ่าย (เช่นค่ารักษาพยาบาลหรือค่าซ่อมรถ) ก่อนบริษัทประกันจะจ่ายส่วนที่เหลือ
การวิเคราะห์ความคุ้มค่า
-
อ่าน:เมื่อเปรียบเทียบแผนประกันภัย ท่านจำเป็นต้องพยายามเปรียบเทียบส่วนที่แผนจะให้ท่านจ่ายกับส่วนที่แผนจะให้ความคุ้มครอง การเปรียบเทียบสถานการณ์ดีที่สุดกับเลวร้ายที่สุดอาจจะช่วยได้
ค่าประกันต่ำสุดต่อปี (สถานการณ์ดีที่สุด)
เพื่อคำนวณค่าประกันต่ำสุดต่อปี ให้เอา 12 คูณเบี้ยประกันรายเดือนของท่าน (12 x เบี้ยประกันรายเดือน) หรือดูเบี้ยประกันรายปีถ้าเรียกเก็บปีละครั้ง สถานการณ์นี้สมมติว่าท่านไม่มีเหตุให้ใช้ประกันได้ในปีนั้น
ค่าประกันสูงสุดต่อปี (สถานการณ์แลวร้ายที่สุด)
เพื่อคำนวณค่าประกันสูงสุดต่อปี ให้บวกค่าประกันต่ำสุดต่อปีกับค่าเสียหายส่วนแรกต่อปี ([12 x เบี้ยประกันรายเดือน] + ค่าเสียหายส่วนแรก) สถานการณ์นี้สมมติว่ารายจ่ายของเหตุให้ใช้ประกันมากกว่าค่าเสียหายส่วนแรกต่อปี
ตอนนี้ท่านสามารถใช้ข้อมูลนี้เปรียบเทียบค่าผันแปรของแผนต่างๆ ตัวอย่างต่อไปนี้แสดงให้เห็นวิธีที่ท่านจะเปรียบเทียบแผนต่างๆ
การพิจารณาผลประโยชน์อื่นๆ
-
อ่าน:ในกิจกรรมที่เราเพิ่งทำไปแล้ว เราประเมินแผนประกันภัยทรัพย์สินแบบหนึ่ง (ประกันผู้เช่า) เราสามารถใช้กระบวนการเดียวกันเมื่อเปรียบเทียบประกันภัยแบบอื่น แต่มักจะมีองค์ประกอบอื่นให้พิจารณานอกเหนือจากค่าประกันสูงสุดและต่ำสุด ต่อไปนี้เป็นคำถามเพิ่มเติมที่ต้องถามเมื่อวิเคราะห์แผนประกันภัยแบบต่างๆ:
-
ครอบคลุมการบริการหรือเหตุการณ์อะไรบ้าง
-
แบบและข้อจำกัดของความคุ้มครองมีอะไรบ้าง
-
อะไรคือชื่อเสียงของผู้รับประกัน
-
มีส่วนลดอะไรให้ท่านบ้าง
-
แนวโน้มที่ท่านจะควักกระเป๋าจ่ายน้อยที่สุดเป็นอย่างไร
-
แนวโน้มที่ท่านจะควักกระเป๋าจ่ายมากที่สุดเป็นอย่างไร
-
สนทนาเรื่องกองทุนฉุกเฉินและการประกันภัยในสภาครอบครัวของท่าน
-
อ่าน:ในสภาครอบครัวของท่านสัปดาห์นี้ ให้สนทนาวิธีตั้งกองทุนฉุกเฉินหนึ่งเดือน พิจารณาว่าแผนประกันภัยใดสำคัญต่อครอบครัวท่าน และตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัย ท่านอาจต้องการใช้โครงร่าง “ตัวอย่างการสนทนาในสภาครอบครัว” ด้านล่าง