ให้พร คนที่ แข็งขันน้อย
เมื่อเราดำเนินชีวิตสอดคล้องกับพระวิญญาณและแสวงหาความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระองค์จะทรงอวยพรเมื่อเราพยายามนำแกะหายของพระองค์กลับเข้าฝูง
เราค้นพบความจริงที่สวยงามมากมายของชีวิตผ่านสัมผัสทางวิญญาณของเรามากกว่าผ่านสัมผัสทางกาย อันที่จริง สิ่งสำคัญมากมาย—รวมทั้งสิ่งถาวรนิรันดร์—รู้สึกได้แต่มองไม่เห็น
อัครสาวกเปาโลสอนหลักธรรมนี้ต่อวิสุทธิชนชาวโครินธ์ “เราไม่ได้เอาใจใส่ในสิ่งที่มองเห็นแต่เอาใจใส่ในสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งที่มองเห็นนั้นไม่ยั่งยืนแต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นถาวรนิรันดร์” (2 โครินธ์ 4:18)
ส่วนใหญ่แล้วเราเรียนรู้และรู้สึกถึงความรักผ่านสัมผัสทางวิญญาณ ในทำนองเดียวกัน ความเห็นอกเห็นใจ มิตรภาพ ความอดกลั้น และศรัทธาเป็นผลของพระวิญญาณ (ดู กาลาเทีย 5:22) พระบิดาบนสวรรค์ทรงใช้ความรู้สึกเหล่านี้ของพระวิญญาณอวยพรบุตรธิดาของพระองค์ รวมทั้งคนที่หลงผิด
ข้าพเจ้าใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในภูมิภาคแปซิฟิก ประชาชนส่วนมากของแปซิฟิกมีความเข้าใจลึกซึ้งถึงความสำคัญของสิ่งที่มองไม่เห็นดังที่เปาโลพูดถึง และเห็นได้ชัดว่าคนส่วนใหญ่ให้เรื่องทางวิญญาณสำคัญกว่าความต้องการทางร่างกาย
ศาสนจักรในภูมิภาคนี้มีความแตกต่างหลากหลาย มีประเทศที่พัฒนาแล้วและสวยงามอย่างออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์ มีประเทศทำการเกษตรและการประมงอย่างตองกาและซามัวซึ่งสมาชิกศาสนจักรมีอัตราส่วนสูงเมื่อเทียบกับประชากร นอกจากนี้ยังมีประเทศกำลังพัฒนาอย่างปาปัวนิวกินีและหมู่เกาะโซโลมอนซึ่งผู้คนเผชิญความท้าทายต่างกันไป
ความหลากหลายดังกล่าวเปิดโอกาสให้เรียนรู้
รีบไปเยี่ยมคนแข็งขันน้อย
ข้าพเจ้าจำประสบการณ์การเรียนรู้ครั้งหนึ่งได้ชัดเจน ในฐานะสาวกเจ็ดสิบภาค ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้เป็นประธานการประชุมใหญ่สเตคในนิวซีแลนด์ เพียงไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น ประธานโธมัส เอส. มอนสันกล่าวคำปราศรัยอันเปี่ยมด้วยพลังต่อสาวกเจ็ดสิบทุกคนของโลก คำปราศรัยของท่านเน้นเรื่องการช่วยคนที่หลบออกไปจากศาสนพิธีของพระกิตติคุณ
เนื่องจากคำปราศรัยของประธานมอนสันและคำท้าทายที่ท่านให้เราต่อจากนั้น ข้าพเจ้าจึงรู้สึกว่าต้องรีบไปเยี่ยมและชวนคนที่ไม่มีส่วนร่วมโดยสมบูรณ์ในพระกิตติคุณกลับมาสู่พันธสัญญาและศาสนพิธีแห่งความรอด ข้าพเจ้าขอให้ประธานสเตคพาข้าพเจ้าไปกับพวกเขาในช่วงสุดสัปดาห์ของการประชุมใหญ่สเตคเพื่อเยี่ยมสมาชิกแข็งขันน้อย การเยี่ยมเหล่านั้นดีมากทุกครั้ง
วันเสาร์ในช่วงสุดสัปดาห์ของการประชุมใหญ่สเตคครั้งหนึ่ง ประธานสเตคกับข้าพเจ้าไปเยี่ยมหลายครอบครัว สามีภรรยาของครอบครัวหนึ่งแต่งงานกันได้ 10 ปีและผนึกในพระวิหารแล้วแต่เวลานี้แข็งขันน้อย พวกเขาต้อนรับเราอย่างอบอุ่น และเรามีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องทางวิญญาณ เมื่อการเยี่ยมสิ้นสุด ข้าพเจ้ารู้สึกถึงการกระตุ้นเตือนให้ถามสามีว่าเขาอยากได้พรหรือไม่ และจากนั้นก็ขอให้เขาให้พรภรรยา
นี่เป็นการกระตุ้นเตือนที่ผิดธรรมดา ข้าพเจ้าได้รับการสอนว่าเมื่อเป็นแขกของบ้านอื่น ข้าพเจ้าจะมีบทบาทเป็นรองและหัวหน้าครอบครัวควรเป็นคนตัดสินใจว่าจะทำอะไร อย่างไรก็ดี บราเดอร์ท่านนี้ ขอบคุณที่ข้าพเจ้าเสนอตัวให้พร และเขาตื้นตันอย่างเห็นได้ชัดหลังจากข้าพเจ้ากับประธานสเตคให้พรเสร็จ
แต่เมื่อเขาลุกขึ้น เขาถามว่าเราคนใดคนหนึ่งจะให้พรภรรยาเขาได้ไหม เขาบอกเราว่าถึงแม้จะแต่งงานมาแล้ว 10 ปี แต่เขาไม่เคยให้พรเธอและไม่สะดวกใจจะทำเช่นนั้น
“เราจะช่วยคุณ” ข้าพเจ้าบอก พลางให้กำลังใจเขา
หลังจากเราอธิบายวิธีให้พรและช่วยเขาฝึกพูดขณะเริ่มและจบการให้พรแล้ว เขาจึงให้พรที่ยอดเยี่ยมแก่ภรรยา เมื่อเขาให้พรเสร็จ เราทุกคนน้ำตารื้น เขากับภรรยายอมรับคำเชิญให้หวนคืนสู่พระกิตติคุณ
สืบเนื่องจากประสบการณ์ที่ละเอียดอ่อนนี้ ประธานสเตคจึงรู้สึกได้รับการดลใจในช่วงปราศรัยกับสมาชิกสเตควันรุ่งขึ้นให้ท้าทายผู้ดำรงฐานะปุโรหิตว่าหลังจากเลิกการประชุมใหญ่สเตคแล้วให้กลับบ้านไปให้พรสมาชิกครอบครัว
ได้รับการกระตุ้นเตือนว่าต้องให้พร
เมื่อการประชุมใหญ่สเตคภาควันอาทิตย์สิ้นสุด ข้าพเจ้ารู้สึกถึงการกระตุ้นเตือนอีกครั้ง—ครั้งนี้ให้เดินไปหาหญิงสาวที่นั่งอยู่ราวๆ แถวที่ 10 จากด้านหน้าและถามว่าเธอต้องการพรหรือไม่ ข้าพเจ้าไม่รู้จักเธอ แต่การกระตุ้นเตือนแรงกล้าจนต้านไม่อยู่
เธอประหลาดใจและพูดว่า “ไม่ค่ะ ขอบคุณ”
ข้าพเจ้าขอบคุณสำหรับคำตอบของเธอ แต่รู้สึกว่าข้าพเจ้าได้ทำตามที่พระวิญญาณทรงนำแล้ว ข้าพเจ้ากลับไปหน้าห้องนมัสการเพื่อทักทายสมาชิกทันใดนั้นหญิงสาวคนเดียวกันนี้ก็เดินมาถามข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้ายังยินดีจะให้พรเธอหรือไม่ ข้าพเจ้าบอกเธอว่า “แน่นอน” และบอกให้เธอไปที่ห้องทำงานของประธานสเตค เราจะไปพบเธอที่นั่นอีกไม่นาน
ขณะข้าพเจ้ากับประธานสเตคเดินไปที่ห้องทำงานของเขา ข้าพเจ้าถามเกี่ยวกับเธอ เขาอธิบายว่าเธอเพิ่งกลับเข้ามาในศาสนจักรหลังจากไม่เข้าร่วมราว 10 ปี เธออยู่คนเดียว แต่ช่วง 10 ปีนั้นเธอใช้ชีวิตขัดกับมาตรฐานพระกิตติคุณ
ก่อนให้พร หญิงสาวคนนี้บอกเราว่าเธอรู้สึกไม่มีค่าควร เธอบอกว่าช่วงที่เธอออกห่างจากศาสนจักร เธอทำแต่สิ่งที่อยากทำโดยไม่คิดถึงเรื่องทางวิญญาณเลย จากนั้นเธอจึงเริ่มนึกถึงพระกิตติคุณอีกครั้งแต่รู้สึกว่าเธอออกมาไกลมากจนเธอไม่มีหวังว่าจะพัฒนาทางวิญญาณได้อีก
เราสอนเธอว่าคนที่เข้ามาทำงานในสวนองุ่นทีหลัง—และคนที่กลับมาสวนองุ่นหลังจากออกไประยะหนึ่ง—จะยังได้รับรางวัลเหมือนคนที่ทำงานมานาน (ดู มัทธิว 20:1-16) จากนั้นเราให้พรฐานะปุโรหิตแก่เธอ
ขณะเปล่งเสียงให้พร ข้าพเจ้าท่วมท้นด้วยความรักที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าพระเจ้าทรงเทให้เธอ ความรู้สึกนั้นแรงกล้าอย่างที่ข้าพเจ้าไม่เคยรู้สึกมาก่อน—ความรู้สึกที่ทำให้ข้าพเจ้าตระหนักว่าข้าพเจ้าอยู่ต่อหน้าดวงวิญญาณที่สูงส่งอย่างยิ่ง เมื่อเราให้พรจบ เธอลุกจากเก้าอี้ มาสคาราสีดำตรงขอบตาสองข้างกำลังไหลลงมา ข้าพเจ้าตื้นตันจนน้ำตาไหลเช่นกัน
พระเจ้าทรงยอมให้ข้าพเจ้าเห็นว่าสตรีสาวที่พิเศษคนนี้อยู่ในช่วงต้นๆ ของกระบวนการที่เราทุกคนต้องประสบเพื่อจะบรรลุศักยภาพอันสมบูรณ์ของเราบนแผ่นดินโลก เมื่อเราหลงทางทางวิญญาณและเมื่อเราทำบาป เราทุกคนต้องนอบน้อมถ่อมตนและกลับใจ
ดังที่อัครสาวกเปาโลสอนชาวกาลาเทียว่าชีวิตนี้เป็นเวลาให้วิญญาณเอาชนะเนื้อหนัง “เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังขัดแย้งพระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ขัดแย้งเนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน ดังนั้นท่านทั้งหลายจึงไม่สามารถทำสิ่งที่ท่านปรารถนาจะทำ” (กาลาเทีย 5:17)
เราบรรลุศักยภาพของเราหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าวิญญาณเราปกครองร่างกายเราหรือไม่ เราชนะ “ความเป็นมนุษย์ปุถุชน” หรือไม่ (โมไซยาห์ 3:19) ในโลกทุกวันนี้ ดูเหมือนคนส่วนใหญ่ไม่ยอมต่อสู้เรื่องนี้ ความอยากของเนื้อหนังปกครองชีวิตพวกเขา และเนื้อหนังเอาชนะวิญญาณของพวกเขา
หญิงสาวคนนี้อยู่บนเส้นทางที่ทำให้วิญญาณเธอสามารถเอาชนะเนื้อหนังได้ เธอเริ่มต้นการแข่งขันที่เธอตั้งใจจะชนะให้ได้
“ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ”
เมื่อข้าพเจ้าออกจากสเตควันนั้น ข้าพเจ้าขอให้ประธานสเตคเตรียมข้อมูลติดต่อคนที่ข้าพเจ้าพบสุดสัปดาห์นั้นให้ข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะสามารถกระตุ้นให้พวกเขาดำเนินต่อไปบนเส้นทางพระกิตติคุณและจดจำคำมั่นสัญญาที่ทำไว้
หญิงสาวคนนั้นก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยศรัทธาของเธอ เธอเริ่ม “ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ” และ “มีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ” (กาลาเทีย 5:16, 25) เธอติดต่อกับข้าพเจ้าอยู่เนืองๆ และเผยเรื่องความท้าทายต่างๆ ที่เธอเผชิญและเอาชนะ เธอกลายเป็นเพื่อนรักของครอบครัวเรา และเราเห็นความเข้มแข็งของวิญญาณเธอขณะเธอเข้าใกล้พระผู้ช่วยให้รอด
เวลานี้เธอได้รับพรของพระวิหาร รับใช้เป็นเจ้าหน้าที่ศาสนพิธี และแสดงให้เห็นของประทานทางวิญญาณแห่งจิตกุศลและความดีงาม จากนั้นเธอแต่งงานกับชายหนุ่มที่มีค่าควรในพระวิหาร
เห็นชัดว่าฝ่ายวิญญาณเอาชนะฝ่ายโลกในสตรีสาวคนนี้ เราเห็นว่าใจเธอบริสุทธิ์ และเธอ “ไม่มีใจที่จะทำความชั่วอีก, แต่จะทำความดีโดยตลอด” (โมไซยาห์ 5:2)
บางทีสิ่งที่พระเจ้าทรงทราบเกี่ยวกับความสูงส่งของจิตวิญญาณเธออาจเป็นสาเหตุที่ข้าพเจ้าได้รับการกระตุ้นเตือนในวันนั้น การกระตุ้นเตือนดังกล่าวทำให้ข้าพเจ้าเห็นเดชานุภาพและพระคุณของพระบิดาบนสวรรค์ประจักษ์ชัดในชีวิตเธอ
เราทุกคนมีความรับผิดชอบต่อการช่วยพี่น้องที่แข็งขันน้อยของเรา และเราทุกคนสามารถรับการกระตุ้นเตือนได้หลายวิธีเพื่อเป็นพรแก่พวกเขา เมื่อเราดำเนินชีวิตจนสามารถฟังพระวิญญาณได้และแสวงหาความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระองค์จะทรงอวยพรเมื่อเราพยายาม “นำพวกเขามารวมฝูง” (“ของรักจากใจพระผู้เลี้ยงแกะ,” เพลงสวด, บทเพลงที่ 107; ดู แอลมา 26:4ด้วย)