2017
แปดกลยุทธ์ช่วยเด็กปฏิเสธสื่อลามก
สิงหาคม 2017


แปดกลยุทธ์ ช่วยเด็กปฏิเสธสื่อลามก

ผู้เขียนอาศัยอยู่ในรัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา

ดัดแปลงจาก “Arm Your Kids for the Battle,” BYU Magazine, ฤดูใบไม้ผลิ 2015

ภาพ
little boy with armor

ภาพจาก bagotaj/bokan76/ikryannikovgmailcom/Getty Images and Andrey_Kuzmin/Shutterstock

สถิติสามารถทำให้พ่อแม่หนักใจได้ Extremetech.com ประมาณการว่าราว 30 เปอร์เซ็นต์ของข้อมูลทั้งหมดที่ส่งผ่านอินเทอร์เน็ตคือสื่อลามก1 สื่อลามกมีอยู่บนเว็บเพจหลายร้อยล้านเพจรวมทั้งยักษ์ใหญ่ด้านสื่อสังคมอย่างเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ และยูทูป สื่อลามกเข้าถึงได้ผ่านโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน

“เนื้อหาที่เด็กพบโดยบังเอิญทำให้สมองที่อ่อนเยาว์และเปราะบางของเด็กบอบช้ำ” ดร. จิลล์ ซี. แมนนิงก์นักบำบัดผู้นำเสนอผลกระทบของสื่อลามกซึ่งมักจะเกิดขึ้นกับชีวิตแต่งงานและครอบครัวชี้ให้เห็น

แต่มีความหวัง

แม้ดูเหมือนจะพบเห็นสื่อลามกได้แพร่หลาย แต่พ่อแม่มีพลังคุ้มครองลูกๆ ของตนและเตรียมพวกเขาให้พร้อมเผชิญและปฏิเสธสื่อลามก

แปดกลยุทธ์ต่อไปนี้จากผู้นำศาสนจักรและผู้เชี่ยวชาญจะช่วยพ่อแม่สร้างปราการป้องกันครอบครัวของตน

1. จัดการกับการเข้าถึงข้อมูล และกฎของครอบครัว

เริ่มจากการป้องกันรอบนอก “เราคุ้มกันลูกๆ ของเราจนถึงเวลาที่พวกเขาสามารถคุ้มกันตนเองได้” เจสัน เอส. คาร์รอลล์อาจารย์สอนวิชาชีวิตครอบครัวที่มหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์กล่าว เขาอธิบายว่าก้านสมองซึ่งเป็นศูนย์ความพอใจของสมองจะพัฒนาก่อน แต่ความสามารถในการตัดสินใจและใช้เหตุผลในสมองกลีบหน้าพัฒนาเต็มที่ในภายหลัง “ด้วยเหตุนี้เด็กจึงมีคันเร่งแต่ไม่มีเบรค” เขากล่าว ฉะนั้น ตัวกรองภายนอกและการเฝ้าสังเกตจึงสำคัญอย่างยิ่งต่อเยาวชน

ขั้นตอนและกฎเกณฑ์ที่เรียบง่ายสามารถคุ้มครองเด็ก (และผู้ใหญ่) จากการเห็นสื่อโดยไม่ตั้งใจและช่วยให้พวกเขาคิดอีกครั้งเกี่ยวกับเนื้อหาที่พวกเขาเลือกดู

  • ใช้ตัวกรองที่คอมพิวเตอร์ เราต์เตอร์ และที่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตของท่าน

  • เปิดการควบคุมเนื้อหาและการใช้คอมพิวเตอร์ของลูกผ่านผู้ให้บริการเคเบิลและบริการสื่อออนไลน์

  • ตั้งค่าจำกัดเนื้อหาบนอุปกรณ์มือถือ

  • เก็บคอมพิวเตอร์และแท็บเล็ตไว้ในบริเวณที่ทุกคนใช้ร่วมกัน

  • ขอให้เด็กและวัยรุ่นฝากโทรศัพท์และอุปกรณ์มือถือไว้กับท่านในช่วงกลางคืน

  • กำหนดนโยบายให้เปิดดูได้ พ่อแม่สามารถดูข้อความและบัญชีสื่อสังคมได้ทุกเมื่อ

สอนลูกว่าต้องทำอะไรหากเจอสื่อลามก (1) หลับตาและปิดอุปกรณ์ (2) บอกผู้ใหญ่ และ (3) หันเหความคิดของพวกเขา ปลอบพวกเขาว่าพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิดและไม่ได้สร้างปัญหา

2. สั่งสอนเรื่องพระคริสต์

“ตัวกรองเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ตัวกรองที่ดีที่สุดในโลก ตัวกรองเดียวที่จะได้ผลสูงสุด คือตัวกรองภายในบุคคลนั้นซึ่งเกิดจากประจักษ์พยานอันลึกซึ้งและยั่งยืนถึงความรักของพระบิดาบนสวรรค์และการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดเพื่อเราแต่ละคน” ลินดา เอส. รีฟส์ ที่ปรึกษาที่สองในฝ่ายประธานสมาคมสงเคราะห์สามัญกล่าว2

เพื่อช่วยให้เด็กมีตัวกรองภายใน ซิสเตอร์รีฟชี้ไปที่คำแนะนำของนีไฟดังนี้ “เราพูดถึงพระคริสต์, เราชื่นชมยินดีในพระคริสต์, เราสั่งสอนเรื่องพระคริสต์, เราพยากรณ์ถึงพระคริสต์, และเราเขียนตามคำพยากรณ์ของเรา, เพื่อลูกหลานของเราจะรู้ว่าพวกเขาจะมองหาแหล่งใดเพื่อการปลดบาปของพวกเขา” (2 นีไฟ 25:26)

ผู้เชี่ยวชาญเห็นด้วย งานวิจัยยืนยันว่าความเชื่อและการปฏิบัติศาสนาในบ้าน ควบคู่กับ “รูปแบบการเป็นพ่อแม่ที่อบอุ่น” มีประสิทธิผลในการป้องกันสื่อลามก3

“มาตรการป้องกันที่ดีที่สุดและมาตรการซ่อมแซมความเสียหายจากสื่อลามกที่ดีที่สุดคือการสอนพระกิตติคุณอย่างจริงจังในบ้าน” ทิโมธี ราริคอาจารย์สอนวิชาการเป็นบิดามารดาที่มหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์–ไอดาโฮและสมาชิกคณะที่ปรึกษา United Families International กล่าว “สิ่งดีที่สุดที่เราทำได้คือช่วยลูกของเราสร้างการเชื่อมต่อกับสวรรค์”

3. สอนลูกให้รู้วิธีกรองภายใน

ภาพ
parents with son

พ่อแม่สามารถสอนกลยุทธ์พิเศษสำหรับกรองสื่อผ่านมาตรฐานพระกิตติคุณ สำหรับ ดร. แมนนิงก์ หลักแห่งความเชื่อข้อสิบสามเป็นตัวกรองชั้นยอดสำหรับการเลือกสื่อทั้งหมด

“‘เราเชื่อในการเป็นคนซื่อสัตย์, แน่วแน่, บริสุทธิ์, มีเมตตา, มีคุณธรรม, และในการทำดีต่อมนุษย์ทั้งปวง [ชายและหญิง] … หากมีสิ่งใดที่เป็นคุณธรรม, งดงาม, หรือกล่าวขวัญกันว่าดีหรือควรค่าแก่การสรรเสริญ, เราแสวงหาสิ่งเหล่านี้’ [หลักแห่งความเชื่อข้อ 13] มีเนื้อหามากมายในยุคสุดท้ายที่ไม่สอดคล้องกับเกณฑ์ดังกล่าว และหากสิ่งที่เราพบไม่สอดคล้อง เราต้องเฝ้าระวัง” ดร. แมนนิงก์กล่าว

แต่การทำเช่นนั้นทำให้วิสุทธิชนยุคสุดท้ายแตกต่าง ประธานมอนสันกล่าวว่า “ขณะที่โลกนับวันจะยิ่งห่างไกลจากหลักธรรมและแนวทางซึ่งพระบิดาบนสวรรค์ผู้เปี่ยมด้วยความรักประทานแก่เรา เราจะโดดเด่นท่ามกลางฝูงชน … เราจะแตกต่างเมื่อเราตัดสินใจไม่เติมความคิดเราด้วยการเลือกสื่อที่ต่ำช้าและเสื่อมทราม ที่จะขับไล่พระวิญญาณออกจากบ้านและชีวิตเรา”4

4. สอนให้ลูกเรียนรู้เพศศึกษาที่เหมาะสม

หลักธรรมของ “การตรงกันข้ามในสิ่งทั้งปวง” (2 นีไฟ 2:11) ประยุกต์ใช้ได้กับสื่อลามก การบอกว่าสื่อลามกไม่ดีเท่านั้นยังไม่พอ พ่อแม่ต้องสอนลูกด้วยว่าอะไรดี

“กันชนและเครื่องป้องกันที่ใช้ได้ผลมากที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับเยาวชนของเราคือสอนพวกเขาในบ้านตั้งแต่เยาว์วัยให้เรียนรู้เพศศึกษาที่เหมาะสม” ดร. แมนนิงก์กล่าว “เยาวชนของเราเผชิญความลำบากเพราะพวกเขาเติบโตในสุญญากาศของข่าวสารที่เป็นพิษและข่าวสารเชิงบวกในแง่พระกิตติคุณมีน้อยเกินไป”

มาร์ค เอช. บัทเลอร์ศาสตราจารย์สอนวิชาชีวิตครอบครัวที่มหาวิทยาลัยบริคัมยังก์ให้คำอธิบายที่ตรงไปตรงมาดังนี้ “วงจรการตอบสนองทางเพศเกิดขึ้นตามธรรมชาติในเราซึ่งเป็นมนุษย์ ความปรารถนาและแรงขับทางเพศเป็นของประทานที่พระผู้เป็นเจ้าประทานไว้เพื่อเป็นพรแก่เรา โดยดึงเราเข้าหาเพศตรงข้าม การแต่งงาน และชีวิตครอบครัวอย่างเป็นธรรมชาติและด้วยเสน่หา”

การสนทนาที่เหมาะสมกับวัยเกี่ยวกับเพศศึกษาที่เหมาะสมสามารถเริ่มแต่เนิ่นๆ ศาสตราจารย์คาร์รอลล์ชี้ให้เห็นว่าการสนทนาเรื่องการจับต้องที่เหมาะสมกับการจับต้องที่ไม่เหมาะสมและความเป็นส่วนตัว พร้อมด้วยศัพท์บัญญัติที่ถูกต้องสำหรับอวัยวะต่างๆ ของร่างกายเริ่มสอนได้ตั้งแต่เยาว์วัย เขากล่าวว่าเมื่ออายุแปดขวบ เด็กสามารถรับความเข้าใจขั้นพื้นฐานเรื่องเพศในสถานการณ์แวดล้อมทางร่างกาย วิญญาณ อารมณ์ และความสัมพันธ์

เยาวชนชอบให้พูดตรงไปตรงมาและถูกต้องเช่นกัน เยาวชนชายคนหนึ่งกล่าวว่า “ถ้าคุณพูดอ้อมค้อม คนจะเข้าใจผิดได้ ผมได้รับการสอนเรื่องกฎแห่งความบริสุทธิ์ทางเพศเป็นสิบๆ ครั้งกว่าจะรู้ว่าพวกเขากำลังพูดเรื่องเพศ”

ศาสตราจารย์คาร์รอลล์กล่าวว่าพ่อแม่ควรเอาใจใส่สถานการณ์แวดล้อมของการสนทนาเหล่านี้ด้วย “พยายามอย่าทำให้การสนทนาเหล่านี้เคร่งเครียดมีพิธีรีตอง” เขากล่าว “อย่างเช่น เราพาลูกออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน เราสวมชุดไปโบสถ์ หรือเรามีการสนทนาในที่จอดรถของพระวิหาร” เขากล่าว แต่ถ้าเด็กเข้าใจว่าเราสนทนาเรื่องเพศได้เฉพาะภายใต้สภาวการณ์เหล่านั้น พวกเขาอาจไม่รู้วิธีสร้างสภาวการณ์ดังกล่าวเมื่อพวกเขามีคำถาม

แต่พ่อแม่ควรสื่อสารตรงไปตรงมาและเปิดโอกาสให้ลูกซักถามได้ตลอดเมื่อพวกเขามีคำถาม “ถ้าการสนทนาเกิดขึ้นขณะนั่งบนพื้นห้องนอนหรือในรถกระบะหรือขณะเก็บสตรอเบอรี พวกเขาจะรู้วิธีสร้างสภาวการณ์เหล่านั้น” คาร์รอลล์กล่าว

“ประสบการณ์ของผมสอนผมว่าวัยรุ่นที่มีพลังทางเพศมากที่สุดมักจะมีข้อมูลน้อยที่สุด” แบรดลีย์ อาร์. วิลค็อกซ์รองศาสตราจารย์บีวายยูชี้ให้เห็น “เยาวชนที่ได้คำตอบจากพ่อแม่แต่เนิ่นๆ มักเป็นคนที่หลีกเลี่ยงการทดลองทางเพศ”

5. ขจัดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสื่อลามก

ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์ (1910–2008) กล่าวความจริงเกี่ยวกับสื่อลามกไว้อย่างชัดเจน “มันเป็นความชั่วร้าย” ท่านกล่าว “เป็นความต่ำช้าและสกปรก น่าหลงใหลและเพาะนิสัย แน่นอนว่ามันจะทำให้ [ท่าน] ลงไปสู่ความพินาศเช่นเดียวกับสิ่งอื่นในโลกนี้ มันเป็นความสกปรกโสมมที่ทำให้ผู้คิดค้นร่ำรวย แต่ทำให้เหยื่อสิ้นเนื้อประดาตัว”5

วิทยาลัยกุมารแพทย์อเมริกันชี้ให้เห็นว่า “การใช้สื่อลามกของวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวมักทำให้เกิดทัศนะบิดเบือนเกี่ยวกับเรื่องเพศและบทบาทของเพศในการสร้างสัมพันธภาพส่วนตัวที่เหมาะสม” “ความบิดเบือนเหล่านี้รวมถึงการประเมินค่าความความดาษดื่นของกิจกรรมทางเพศในชุมชนสูงเกินไป ความเชื่อที่ว่าการสำส่อนทางเพศเป็นเรื่องปกติ และความเชื่อที่ว่าการไม่มีเพศสัมพันธ์จะส่งผลเสียต่อสุขภาพ”6

ในการสนทนาเรื่องสื่อลามก พ่อแม่ควรชี้ให้เห็นว่ามีแนวคิดผิดๆ มากมายเกี่ยวกับสื่อลามก พฤติกรรมที่เห็นในสื่อลามกไม่ใช่ภาวะปกติทั้งไม่ใช่สะท้อนถึงสิ่งที่ควรคาดหวังในความสัมพันธ์อันดี “สื่อลามกเป็นสิ่งน่าดึงดูดต่อเมื่อยอมรับแนวคิดผิดๆ เกี่ยวกับสื่อลามกเท่านั้น” ศาสตราจารย์คาร์รอลล์กล่าว

6. เปลี่ยนการสนทนาเกี่ยวกับปัญหา

ภาพ
father with son

ผู้เชี่ยวชาญและผู้นำศาสนจักรเตือนไม่ให้ด่วนสรุปเร็วเกินไปว่าการเกี่ยวข้องกับสื่อลามกบ่งบอกว่าติดสื่อลามก

“ไม่ใช่ทุกคนที่จงใจใช้สื่อลามกจะติดสื่อลามก” เอ็ลเดอร์ดัลลิน เอช. โอ๊คส์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองอธิบาย “อันที่จริง เยาวชนชายและเยาวชนหญิงส่วนใหญ่ที่ต่อสู้กับสื่อลามกไม่ติดสื่อลามก นี่เป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องแยกแยะให้ออก—ไม่เฉพาะบิดามารดา คู่ครอง และผู้นำที่ปรารถนาจะช่วยเท่านั้น แต่คนที่ต่อสู้กับปัญหานี้ต้องแยกแยะให้ออกเช่นกัน”7

“เยาวชนชายและเยาวชนหญิงข้องแวะกับสื่อลามกเพราะความอยากรู้อยากเห็น เพราะเปิดดูได้ง่ายและเพราะยังไม่เป็นผู้ใหญ่” ศาสตราจารย์คาร์รอลล์กล่าว “พวกเราทุกคนประสบพลังของวงจรตอบสนองทางเพศในวัยแรกรุ่นเป็นเวลานานก่อนที่เราจะมีวุฒิภาวะทางอารมณ์หรือทางวิญญาณพอจะเข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้”

ริชาร์ด นีทเซล โฮลแซพเฟล อาจารย์บีวายยูประจำภาควิชาประวัติศาสนจักรและอาจารย์ที่ปรึกษาเรื่องการแก้ปัญหาสื่อลามกให้สโมสรนักศึกษา ตั้งข้อสังเกตว่า “ปัญหามีจริงและมีผลลัพธ์น่ากลัว แต่การพูดปัญหาครอบคลุมเกินไปมักผลักปัญหาให้ลึกลงไปในจิตวิญญาณของคนที่กำลังพยายามเอาชนะ”

เอ็ลเดอร์โอ๊คส์ชี้ให้เห็นว่าปัญหาสื่อลามกมีได้ตั้งแต่ “ใช้เป็นครั้งคราวหรือจงใจใช้ซ้ำ ใช้ถี่มากไป จนถึงใช้แบบควบคุมไม่ได้ (เสพติด) … ถ้าจำแนกผิดว่าเป็นพฤติกรรมเสพติด ผู้ใช้อาจคิดว่าเขาสูญเสียสิทธิ์เสรีและไม่สามารถเอาชนะปัญหาได้ … ในทางกลับกัน การเข้าใจความลึกซึ้งของปัญหาชัดเจนขึ้น—ว่าปัญหานั้นอาจไม่ได้ฝังแน่นหรือรุนแรงมากอย่างที่กลัว—จะให้ความหวังและสามารถ … กลับใจได้มากขึ้น”8

เมื่อพูดถึงวิธีแก้ปัญหา ศาสตราจารย์บัทเลอร์เสนอแนะให้พ่อแม่ใช้วิธีคัดแยกอาทิ ปัญหานั้นเกิดมานานเท่าใด พวกเขาดูสื่อลามกบ่อยแค่ไหน พวกเขาเข้าไปดูได้อย่างไร จากนั้นพ่อแม่จะทำงานกับเยาวชนเพื่อพิจารณาระดับของการกระทำ

“เข้าใจบุคคลนั้นและความเป็นตัวเขา” ศาสตราจารย์โฮลเซพเฟลกล่าว “ปัญหาของพวกเขาลงลึกเพียงใด จริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น พวกเขามีเหตุผลอะไรที่ดูสื่อลามก และเราจะแก้ปัญหาที่ลึกกว่านั้นได้อย่างไร”

7. สอนเรื่องการควบคุมอารมณ์

“การแก้ปัญหาลึกกว่านั้นอาจเป็นกุญแจป้องกันปัญหาสื่อลามกเช่นกัน นาธาน เอครีนักบำบัดในยูทาห์กล่าว นอกจากสนองความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติแล้ว บุคคลมักจะใช้สื่อลามกเป็นวิธีรับมือกับอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์ที่ยากจะต่อต้าน”

ศาสตราจารย์บัทเลอร์เสริมว่า “บางกรณี เยาวชนชายหรือเยาวชนหญิงมีประสบการณ์ทางจิต ความสัมพันธ์ หรือทางวิญญาณที่ยุ่งยาก” เขากล่าวว่าประสบการณ์เชิงลบสามารถชักนำสมองวัยรุ่นให้วกไปหา “ประสบการณ์ที่ทำให้รู้สึกดี” เช่นการดูสื่อลามกและพัวพันกับพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องเช่นการสำเร็จความใคร่ จากนั้นอารมณ์อันเกิดจากพฤติกรรมดังกล่าวจะเข้าแทนที่หรือปกปิดอารมณ์อันยุ่งยาก และมีอันตรายอยู่ในนั้น “บุคคลเขยิบจากประสบการณ์ที่ทำให้รู้สึกดีเป็นการเริ่มต้นของอาการทางจิต เขากำลังใช้พฤติกรรมเป็นวิธีควบคุมชีวิต”

ภาพ
parents with young daughter

บราเดอร์อาครีบอกว่าบิดามารดาควรสอนลูกว่าอารมณ์ทั้งพอใจและไม่พอใจเป็นภาวะปกติ และไม่เป็นไรเมื่อประสบความรู้สึกเชิงลบ เช่น เสียใจ โกรธ หงุดหงิด หรือเจ็บปวด พ่อแม่มักจะรู้สึกว่าต้องควบคุมอารมณ์ของลูก แต่การยอมให้พวกเขาประสบและเผชิญกับความรู้สึกเชิงลบจะสร้างทักษะอันสำคัญยิ่ง

ถ้ามีปัญหาสื่อลามก พ่อแม่ควรระวังอย่าเพิ่มภาระทางอารมณ์ของลูกโดยการทำให้อับอาย เจมส์ เอ็ม. ฮาร์เปอร์ศาสตราจารย์บีวายยูสอนวิชาชีวิตครอบครัวกล่าวว่าแม้ ความรู้สึกผิด เป็นการตอบสนองตามธรรมชาติต่อการทำผิดที่สามารถผลักดันให้เปลี่ยนแปลง แต่ ความอับอาย เป็นความรู้สึกบ่อนทำลายที่สามารถทำให้เกิดความรู้สึกสิ้นหวังได้

อีกนัยหนึ่ง การทำให้เด็กรู้สึกอับอายหรืออับอายยิ่งกว่าเดิมจะทำให้เด็กไม่สามารถพัฒนาการตอบสนองทางอารมณ์เชิงบวกและไม่รับรู้อิทธิพลของพระวิญญาณ ซึ่งเป็นแหล่งช่วยที่ได้ผลมากที่สุดในการป้องกันและเลิกใช้สื่อลามก

เยาวชนชายคนหนึ่งที่ต่อสู้กับสื่อลามกจำได้ชัดเจนว่าพ่อแม่ตอบสนองอย่างไรเมื่อทราบปัญหาของเขา “แม่ผมโต้กลับอย่างรุนแรง ตะโกนและแผดเสียง และนั่นทำให้ผมรู้สึกแย่แทนที่จะมีความหวังว่าจะเอาชนะได้” เขากล่าว “สิ่งที่ช่วยได้มากที่สุดคือพ่อบอกผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าท่านรักผมมาก”

“โปรดอย่าประณามพวกเขา” เอ็ลเดอร์โอ๊คส์ขอร้อง “พวกเขาไม่ใช่คนชั่วหรือไม่มีความหวัง พวกเขาเป็นบุตรและธิดาของพระบิดาบนสวรรค์ของเรา”9

8. สอนว่าการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดได้ผล

ในคำพูด บทเรียน และเนื้อหาที่อ่าน เยาวชนได้รับข่าวสารชัดเจนว่าสื่อลามกเป็นความชั่วร้ายที่อันตราย แต่เราต้องเน้นหลักคำสอนเรื่องการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ให้มากขึ้น

สำหรับเยาวชน ศาสตราจารย์บัทเลอร์เชื่อว่าสมองวัยรุ่นอาจเป็นสมองที่มีเหตุอันควรประการหนึ่งให้ต้องสอนพวกเขาเรื่องการชดใช้ “สมองวัยรุ่นยังไม่สมบูรณ์ และนั่นนำไปสู่ปัญหาบางอย่างเช่น การควบคุมแรงกระตุ้นและขาดความยั้งคิด” เขาอธิบาย “วัยรุ่นที่ดิ้นรนแสวงหาและจริงจังทางวิญญาณหยุดก้าวหน้าเพราะความรู้สึกผิดท่วมท้นเมื่อเขาเผชิญความอ่อนแอที่จู่โจมเขาได้ง่ายเพราะเขายังมีสมองวัยรุ่น สำคัญอย่างยิ่งที่ท่านจะสอนวัยรุ่นเรื่องการชดใช้ควบคู่กับการสอนเรื่องพระบัญญัติ—เพื่อช่วยให้พวกเขาอดทนกับพัฒนาการส่วนตัวและไม่ย่อท้อในชีวิต”

“เราทุกคนต้องการการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ … โดยผ่านการกลับใจอย่างถูกต้องสมบูรณ์ [ทุกคน] จะสะอาด บริสุทธิ์ และมีค่าควรรับพันธสัญญาทุกประการและพรพระวิหารที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญา” เอ็ลเดอร์โอ๊คส์กล่าว10 ทั้งหมดนี้รวมถึงคนที่ใช้สื่อลามกด้วย

ข่าวสารที่ให้ความหวังคือ มีมากมายที่พ่อแม่ทำได้เพื่อเตรียมลูกๆ ให้พร้อมปฏิเสธสื่อลามก และเมื่อพวกเขาล้มเหลว การชดใช้อันไม่มีขอบเขตของพระผู้ช่วยให้รอดจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการกลับใจ

“นั่นหมายความว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พระบิดาบนสวรรค์จะไม่มีวันหยุดรักท่าน และเรา พ่อแม่ของท่าน จะไม่มีวันหยุดรักท่าน” ศาสตราจารย์ราริคกล่าว สำหรับลูก ไม่มีความหวังใดมากกว่านั้นอีกแล้ว

อ้างอิง

  1. Sebastian Anthony, “Just How Big Are Porn Sites?” ExtremeTech, Apr. 4, 2012, extremetech.com.

  2. ลินดา เอส. รีฟส์, “การปกป้องให้พ้นสื่อลามก—บ้านที่มุ่งเน้นพระคริสต์,” เลียโฮนา, พ.ค. 2014, 17.

  3. ดู Sam A. Hardy and others, “Adolescent Religiousness as a Protective Factor against Pornography Use,” Journal of Applied Developmental Psychology, vol. 34 (May–June 2013), 131–39, sciencedirect.com. ผู้เขียนสัมภาษณ์นักวิจัยชั้นนำด้วย

  4. โธมัส เอส. มอนสัน, “จงเป็นแบบอย่างและแสงสว่าง,” เลียโฮนา, พ.ย. 2015, 88.

  5. กอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์, “สันติของลูกหลานของเจ้าจะใหญ่ยิ่ง,” เลียโฮนา, ม.ค. 2001, 72.

  6. “The Impact of Pornography on Children,” American College of Pediatrics, June 2016, acpeds.org.

  7. ดัลลิน เอช. โอ๊คส์, “หลุดพ้นจากกับดักของสื่อลามก,” เลียโฮนา, ต.ค. 2015, 52.

  8. ดัลลิน เอช. โอ๊คส์, “หลุดพ้น,” 52–53.

  9. ดัลลิน เอช. โอ๊คส์, “หลุดพ้น,” 55.

  10. ดัลลิน เอช. โอ๊คส์, “หลุดพ้น,” 55.

พิมพ์