มาตรฐานอันสูงส่งของ ความซื่อสัตย์
จากคำปราศรัยให้ข้อคิดทางวิญญาณเรื่อง “ความซื่อสัตย์—หัวใจของความเข้มแข็งทางวิญญาณ” ที่มหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์ เมื่อวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 2011 ดูบทความเต็มเป็นภาษาอังกฤษที่ speeches.byu.edu
สำหรับสานุศิษย์ของพระคริสต์ ความซื่อสัตย์เป็นหัวใจของความเข้มแข็งทางวิญญาณ
พระผู้เป็นเจ้าพระบิดาของเราและพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์สัตภาวะที่มีความซื่อสัตย์และความจริงอันดีเลิศ เพียบพร้อม และสมบูรณ์ เราเป็นบุตรและธิดาของพระผู้เป็นเจ้า จุดหมายของเราคือเป็นเหมือนพระองค์ เราพยายามเป็นคนซื่อสัตย์และซื่อตรงอย่างดีเลิศเหมือนพระบิดาของเราและพระบุตรของพระองค์ ความซื่อสัตย์เป็นอุปนิสัยของพระผู้เป็นเจ้า (ดู อิสยาห์ 65:16) ด้วยเหตุนี้ความซื่อสัตย์จึงเป็นหัวใจของการเติบโตทางวิญญาณและของประทานฝ่ายวิญญาณของเรา
พระเยซูทรงประกาศว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต” (ยอห์น 14:6; ดู ยอห์น 18:37; คพ. 84:45; 93:36)
พระเจ้าตรัสถามพี่ชายของเจเร็ดว่า “เจ้าเชื่อถ้อยคำที่เราจะพูดหรือไม่?”
พี่ชายของเจเร็ดทูลตอบว่า “เชื่อ, พระองค์เจ้าข้า, ข้าพระองค์รู้ว่าพระองค์รับสั่งความจริง, เพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าแห่งความจริง, และตรัสเท็จไม่ได้” (อีเธอร์ 3:11, 12)
และนี่คือพระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดพระองค์เอง “เราคือพระวิญญาณแห่งความจริง” (คพ. 93:26; ดู ข้อ 24 ด้วย) “เราจะบอกความจริงกับพวกท่าน” (ยอห์น 16:7; ดู ข้อ 13 ด้วย)
ในทางกลับกัน ซาตานได้ชื่อว่าเป็นบิดาของความเท็จ “และเขากลายเป็นซาตาน, แท้จริงแล้ว, แม้มาร, บิดาของความเท็จทั้งปวง, ที่จะหลอกลวงและทำให้มนุษย์มืดบอด, และชักนำพวกเขาไปเป็นทาสตามความประสงค์ของเขา, แม้มากเท่าที่จะไม่สดับฟังเสียงของเรา” (โมเสส 4:4)
พระเยซูตรัสว่า “มาร … ไม่ได้ตั้งอยู่ในสัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ เมื่อมันพูดเท็จมันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา” (ยอห์น 8:44; ดู คพ. 93:39ด้วย)
พระผู้ช่วยให้รอดทรงตำหนิคนเหล่านั้นที่แสดงตนต่อหน้าสาธารณชนอย่างหนึ่งแต่ดำเนินชีวิตอีกอย่างหนึ่งในใจตน (ดู มัทธิว 23:27) พระองค์ทรงสรรเสริญคนที่ดำเนินชีวิตปราศจากการหลอกลวง (ดู คพ. 124:15) ท่านเห็นความแตกต่างชัดเจนหรือไม่ ด้านหนึ่งมีการพูดเท็จ การหลอกหลวง ความหน้าซื่อใจคด และความมืด อีกด้านหนึ่งมีความจริง ความสว่าง ความซื่อสัตย์ และความสุจริตใจ พระเจ้าทรงลากเส้นแบ่งชัดเจน
ประธานโธมัส เอส. มอนสันกล่าวไว้ว่า
“ครั้งหนึ่งมาตรฐานของศาสนจักรกับมาตรฐานของสังคมสอดคล้องกันแทบทุกอย่าง แต่บัดนี้มีความแตกต่างกว้างขึ้นระหว่างเรา ซึ่งกำลังกว้างออกไปเรื่อยๆ …
“พระผู้ช่วยให้รอดของมนุษยชาติทรงดำเนินพระชนม์ชีพในโลกแต่ไม่ทรงเป็นของโลก [ดู ยอห์น 17:14; คพ. 49:5] เราสามารถอยู่ในโลกแต่ไม่เป็นของโลกได้เช่นกันเมื่อเราปฏิเสธแนวคิดและคำสอนผิดๆ และแน่วแน่ต่อสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา”1
โลกจะบอกเราว่าความจริงกับความซื่อสัตย์นิยามได้ยาก โลกเห็นเป็นเรื่องขบขันในการพูดเท็จแบบไม่ตั้งใจและแก้ตัวทันควันโดยเรียกว่าการหลอกลวงแบบ “ไร้เดียงสา” ความแตกต่างระหว่างถูกกับผิดไม่ชัดเจน และผลของความไม่ซื่อสัตย์ลดน้อยลง
เพื่อได้รับพระวิญญาณแห่งความจริง—พระวิญญาณบริสุทธิ์—อยู่เสมอ เราต้องเติมชีวิตเราด้วยความจริงและความซื่อสัตย์ เมื่อเราซื่อสัตย์อย่างสมบูรณ์ ดวงตาทางวิญญาณของเราจะเปิดรับความสว่างทางปัญญามากขึ้น
ท่านจะเข้าใจได้โดยง่ายว่าพลังทางวิญญาณดังกล่าวยกระดับการเรียนรู้ในห้องเรียนของท่านอย่างไร แต่ท่านจะเห็นได้เช่นกันว่าหลักธรรมนี้ประยุกต์ใช้กับการตัดสินใจสำคัญๆ ได้อย่างไร เช่น ท่านใช้เวลาอย่างไร ท่านใช้เวลากับใคร และท่านวางแผนชีวิตท่านอย่างไร
ให้คำมั่นว่าจะซื่อสัตย์ในตนเอง
ท่านจะแยกการประสาทความจริงทางวิญญาณที่ท่านจำเป็นต้องมีและต้องการออกจากการเป็นคนมีความซื่อสัตย์และความจริงไม่ได้ ความจริงที่ท่านแสวงหาสัมพันธ์กับตัวตนที่ท่านเป็น ความสว่าง คำตอบทางวิญญาณ และการนำทางจากสวรรค์ล้วนเชื่อมโยงอย่างเปลี่ยนแปลงไม่ได้กับความซื่อสัตย์และความจริงของท่าน ความพึงพอใจอันยั่งยืนส่วนใหญ่ในชีวิตท่านจะเกิดขึ้นเมื่อท่านให้คำมั่นว่าจะซื่อสัตย์มากขึ้นเรื่อยๆ
รอย ดี. อัทคินเล่าเรื่องต่อไปนี้
“หลังจากนักศึกษาจำนวนหนึ่งลาออกหลังจากเรียนปีหนึ่ง คณะทันตแพทย์ที่ข้าพเจ้าเรียนยิ่งแข่งขันกันหนักกว่าเดิม ทุกคนพยายามจะเป็นที่หนึ่งของรุ่นให้ได้ เมื่อการแข่งขันเพิ่มขึ้น นักศึกษาบางคนตัดสินใจว่าหนทางสู่ความสำเร็จคือโกง สิ่งนี้ทำให้ข้าพเจ้ากังวลใจมาก …
“… ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าโกงไม่ได้ ข้าพเจ้าอยากถูกต้องกับพระผู้เป็นเจ้ามากกว่าอยากเป็นทันตแพทย์
“[ระหว่าง] เรียนปีสาม มีคนเสนอจะให้สำเนาข้อสอบวิชาสำคัญที่ข้าพเจ้าจะสอบ นั่นหมายความว่าเพื่อนร่วมชั้นบางคนรู้ข้อสอบล่วงหน้า ข้าพเจ้าปฏิเสธสิ่งที่เสนอ เมื่อได้กระดาษข้อสอบที่ตรวจแล้วคืน คะแนนเฉลี่ยของชั้นปีสูงมาก ทำให้คะแนนของข้าพเจ้าต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย อาจารย์ขอพูดกับข้าพเจ้า
“‘รอย’ อาจารย์พูด ‘ปกติคุณทำข้อสอบได้ดีนี่ เกิดอะไรขึ้นหรือ’
“‘ครับ’ ข้าพเจ้าบอกอาจารย์ ‘สอบคราวหน้า ถ้าอาจารย์ให้ทำข้อสอบที่ไม่เคยใช้สอบมาก่อน ผมเชื่อว่าผมจะทำได้ดีมากครับ’ ไม่มีคำตอบ
“เรามีสอบอีกครั้งในวิชาเดียวกัน ขณะแจกข้อสอบ มีเสียงพึมพำแสดงความผิดหวัง เพราะเป็นข้อสอบที่อาจารย์ไม่เคยใช้สอบมาก่อน เมื่อรับคืนข้อสอบที่คิดคะแนนแล้ว ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่ได้คะแนนสูงสุดในชั้นปี นับจากนั้นเป็นต้นมาข้อสอบทั้งหมดเป็นข้อสอบใหม่”2
เพราะเราเป็นสานุศิษย์ของพระคริสต์ มาตรฐานอันสูงส่งของความซื่อสัตย์จึงงอกงามในเรา ในพระคัมภีร์มอรมอน คำตักเตือนของกษัตริย์เบ็นจามินให้ “ทิ้งความเป็นมนุษย์ปุถุชน” (โมไซยาห์ 3:19) เป็นส่วนหนึ่งของคำขอร้องให้สร้างสำนึกในความซื่อสัตย์และความจริงมากขึ้น
อัครสาวกเปาโลแนะนำชาวเอเฟซัสให้ “ทิ้งตัวเก่า … ซึ่งถูก … ทำให้พินาศไป … และให้วิญญาณและจิตใจของพวกท่านได้รับการเปลี่ยนใหม่” จากนั้นเปาโลให้คำแนะนำที่เจาะจงเรื่องการสวม “สภาพใหม่” สิ่งแรกที่เขาบอกให้คนเหล่านั้นทำคือ “ละทิ้งความเท็จ ให้พวกท่านแต่ละคนพูดความจริง” (ดู เอเฟซัส 4:22–25; ดู โคโลสี 3:9; 3 นีไฟ 30:2 ด้วย)
ข้าพเจ้าชอบนิยามของความซื่อสัตย์ที่ว่า “ความซื่อสัตย์ถูกต้อง ตรงไปตรงมา และเที่ยงธรรมอย่างแท้จริง” ความสุจริตคือ “[การ] มีความกล้าหาญทางศีลธรรมเพื่อให้ความประพฤติของ [ท่าน] สอดคล้องกับความรู้ผิดชอบชั่วดีของ [ท่าน]”3
ประธานเจมส์ อี. เฟาสท์ (1920–2007) ที่ปรึกษาที่สองในฝ่ายประธานสูงสุดเคยเล่าเรื่องการสมัครเข้าโรงเรียนเตรียมทหารของกองทัพสหรัฐ ท่านกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าถูกเรียกตัวไปอยู่ต่อหน้าคณะกรรมการสอบข้อมูล คุณสมบัติของข้าพเจ้ามีไม่กี่อย่าง แต่ข้าพเจ้าเคยเรียนมหาวิทยาลัยสองปีและจบการเป็นผู้สอนศาสนาของศาสนจักรในอเมริกาใต้
“คำถามที่คณะกรรมการถามข้าพเจ้าทำให้ข้าพเจ้าประหลาดใจมาก แทบทุกคนมุ่งความสนใจมาที่ความเชื่อของข้าพเจ้า ‘คุณสูบบุหรี่หรือเปล่า’ ‘คุณดื่มเหล้าไหม’ ‘คุณคิดอย่างไรกับคนที่สูบบุหรี่และดื่มเหล้า’ ข้าพเจ้าไม่กังวลใจเลยขณะตอบคำถามเหล่านี้
“‘คุณสวดอ้อนวอนหรือเปล่า’ ‘คุณเชื่อไหมว่าทหารควรสวดอ้อนวอน’ คนที่ถามคำถามเหล่านี้เป็นทหารอาชีพที่กรำศึกมานาน เขาดูเหมือนไม่ใช่คนที่สวดอ้อนวอนบ่อยนัก … ข้าพเจ้าอยากเป็นทหารมาก …
“ข้าพเจ้าตัดสินใจว่าจะไม่พูดอ้อมค้อม ข้าพเจ้ายอมรับว่าสวดอ้อนวอนและรู้สึกว่าทหารน่าจะขอการนำทางจากพระเจ้าเหมือนนายพลคนสำคัญบางคนเคยทำมาแล้ว …
“คำถามที่น่าสนใจกว่านั้นตามมา ‘ในช่วงสงคราม ไม่ควรหย่อนมาตรฐานทางศีลธรรมหรอกหรือ ความตึงเครียดของสงครามไม่สมควรให้ผู้ชายได้ทำสิ่งที่พวกเขาจะไม่ทำขณะอยู่บ้านภายใต้สถานการณ์ปกติหรอกหรือ
“… ข้าพเจ้าคิดว่าคนที่กำลังถามคำถามนี้ไม่ได้ดำเนินชีวิตตามมาตรฐานที่ข้าพเจ้าได้รับการสอนมา ข้าพเจ้าคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าบางทีข้าพเจ้าน่าจะพูดว่าข้าพเจ้ามีความเชื่อของตนเอง แต่ข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะยัดเยียดให้ใคร แต่ดูเหมือนจะมีใบหน้าของหลายคนที่ข้าพเจ้าเคยสอนเรื่องกฎแห่งความบริสุทธิ์ทางเพศสมัยเป็นผู้สอนศาสนาแวบเข้ามาในความคิด ข้าพเจ้าพูดออกไปในที่สุดว่า ‘ผมไม่เชื่อว่ามาตรฐานทางศีลธรรมมีสองมาตรฐาน’
“ข้าพเจ้าออกจากห้องพิจารณาพร้อมกับยอมรับว่าทหารที่กรำศึกมานานเหล่านี้จะ … ให้คะแนนข้าพเจ้าต่ำมากแน่นอน ไม่กี่วันต่อมาเมื่อประกาศคะแนน ยังความประหลาดใจแก่ข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าสอบผ่าน ข้าพเจ้าอยู่ในกลุ่มแรกที่ได้เข้าโรงเรียนเตรียมทหาร!”
และโดยทราบดีว่าการตัดสินใจเล็กๆ น้อยๆ จะมีผลอันใหญ่หลวงได้อย่างไร ประธานเฟาสท์จึงกล่าวต่อจากนั้นว่า “นี่เป็นทางแยกที่สำคัญมากทางหนึ่งของชีวิตข้าพเจ้า”4
ความซื่อสัตย์ ความสุจริต และความจริงเป็นหลักธรรมนิรันดร์ที่หล่อหลอมประสบการณ์ในความเป็นมรรตัยของเราอย่างมากและช่วยกำหนดจุดหมายนิรันดร์ของเรา สำหรับสานุศิษย์ของพระคริสต์ ความซื่อสัตย์เป็นหัวใจของความเข้มแข็งทางวิญญาณ
ให้เกียรติคำพูดของท่าน
ความซื่อสัตย์ครอบคลุมทุกส่วนของชีวิตประจำวันของท่าน แต่ข้าพเจ้าจะขอยกตัวอย่างสักสองสามเรื่อง ในสมัยเป็นนักศึกษา ข้าพเจ้าจำได้ว่าดัลลิน เอช. โอ๊คส์อธิการบดีมหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์สมัยนั้น ปัจจุบันเป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสอง ได้แบ่งปันคำพูดอ้างอิงต่อไปนี้จากคาร์ล จี. เมเซอร์ “เพื่อนหนุ่มสาวทั้งหลาย มีคนถามข้าพเจ้าว่าคำสัตย์ปฏิญาณหมายถึงอะไร ข้าพเจ้าจะบอกท่าน จงวางข้าพเจ้าไว้หลังกำแพงคุก—กำแพงหินสูงมาก หนามาก หยั่งลงไปในดินลึกมาก—มีความเป็นไปได้ว่าข้าพเจ้าจะสามารถหนีออกไปได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ให้ข้าพเจ้ายืนบนพื้นนั่นและใช้ชอล์กขีดวงรอบข้าพเจ้าและให้ข้าพเจ้ากล่าวคำสัตย์ปฏิญาณว่าจะไม่ข้ามเส้นนั้น ข้าพเจ้าจะออกจากวงนั้นไหม ไม่ ไม่เด็ดขาด ข้าพเจ้าขอตายก่อน!”5
มีหลายครั้งที่เราทำตามคำมั่นสัญญาเพียงเพราะเรารับปากว่าจะทำ ท่านจะมีสถานการณ์ในชีวิตเมื่อท่านจะถูกล่อลวงให้ไม่สนใจข้อตกลงที่ทำไว้ ท่านจะทำข้อตกลงในตอนแรกเพียงเพราะท่านประสงค์จะได้บางอย่างตอบแทน ต่อมา เพราะสภาวการณ์เปลี่ยน ท่านจะไม่ต้องการทำตามเงื่อนไขของข้อตกลงนั้นอีก จงเรียนรู้เสียแต่ตอนนี้ว่าเมื่อท่านรับปากใคร เมื่อท่านสัญญากับใคร เมื่อท่านลงนาม ความซื่อสัตย์และความสุจริตของตัวท่านผูกมัดท่านไว้กับคำพูด คำมั่นสัญญา และข้อตกลงของท่าน
เราซาบซึ้งใจยิ่งนักที่ท่าน “เชื่อในการเป็นคนซื่อสัตย์” (หลักแห่งความเชื่อข้อ 13) ที่ท่านพูดความจริง ที่ท่านจะไม่โกงการสอบ ขโมยผลงานของผู้อื่น หรือหลอกลวงกัน พระเจ้ารับสั่งกับเราว่า
“และความจริงคือความรู้ถึงสิ่งทั้งหลายดังที่เป็นอยู่, และดังที่เป็นมา, และดังที่จะเป็น;
“และสิ่งใดก็ตามที่มากหรือน้อยกว่านี้เป็นวิญญาณของคนชั่วคนนั้น ซึ่งเป็นผู้กล่าวเท็จมานับจากกาลเริ่มต้น” (คพ. 93:24–25)
ความท้าทายของเรามักเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดเล็กๆ น้อยๆ —การล่อลวงเล็กๆ น้อยๆ ไม่ให้ซื่อสัตย์อย่างสมบูรณ์ สมัยเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง ข้าพเจ้าติดข้อความที่ประธานเดวิด โอ. แมคเคย์ (1873-1970) ยกมาพูดบ่อยๆ ไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ อ่านว่า “การต่อสู้ครั้งใหญ่ที่สุดของชีวิตเกิดขึ้นภายในห้องอันเงียบสงัดของจิตวิญญาณ”6
ท่านคิดว่าพระเจ้าทรงรู้สึกอย่างไรเมื่อเราตัดสินใจเรื่องยากๆ เกี่ยวกับความซื่อสัตย์ มีพลังทางวิญญาณมากมายในการเป็นคนแน่วแน่และซื่อสัตย์ทั้งที่ผลของความซื่อสัตย์อาจจะดูเหมือนเป็นความเสียเปรียบ แต่ละท่านจะเผชิญการตัดสินใจเช่นนั้น ช่วงเวลาสำคัญเหล่านี้จะทดสอบความสุจริตของท่าน เมื่อท่านเลือกความซื่อสัตย์และความจริง—ไม่ว่าสถานการณ์จะออกมาอย่างที่ท่านหวังหรือไม่—ท่านจะตระหนักว่าทางแยกสำคัญๆ เหล่านี้กลายเป็นเสาหลักของความเข็มแข็งในการเติบโตทางวิญญาณของท่าน
“จงเป็นคนชอบธรรมในความมืด”
ประธานบริคัม ยังก์ (1801–1877) เคยกล่าวไว้ว่า “เราต้องฝึกเป็นคนชอบธรรมในความมืด”7 นิยามหนึ่งของข้อความนี้คือเราต้องฝึกเป็นคนซื่อสัตย์แม้เมื่อไม่มีใครรู้ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าท้าทายให้ท่านเป็นคน “ชอบธรรมในความมืด” จงเลือกเส้นทางที่พระผู้ช่วยให้รอดจะทรงเลือก
กวีเอ็ดการ์ เอ. เกสต์เขียนว่า
ข้าไม่ต้องการเก็บความลับมากมาย
เกี่ยวกับตนเองไว้บนหิ้งในห้องลับ
และหลอกตัวเองไปวันๆ
ให้คิดว่าใครที่ไหนเลยจะล่วงรู้8
จงจดจำถ้อยคำที่ไพเราะของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ “ข้าพเจ้ารู้เรื่องนี้, และข้าพเจ้ารู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงทราบเรื่องนี้, และข้าพเจ้าไม่สามารถปฏิเสธเรื่องนี้ได้, ทั้งข้าพเจ้าไม่กล้าปฏิเสธเรื่องนี้; อย่างน้อยข้าพเจ้าก็รู้ว่าโดยการทำเช่นนั้นข้าพเจ้าจะทำให้พระผู้เป็นเจ้าทรงขุ่นเคือง, และจะอยู่ภายใต้การกล่าวโทษ” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:25)
มีแรงกดดันให้ทำจนสำเร็จ แรงกดดันให้ทำเกรดสูงๆ แรงกดดันให้หางานทำ แรงกดดันให้หาเพื่อน แรงกดดันให้เอาใจคนรอบข้าง แรงกดดันให้เรียนจนจบ อย่ายอมให้แรงกดดันเหล่านี้ทำลายอุปนิสัยความซื่อสัตย์ของท่าน จงซื่อสัตย์เมื่อผลลัพธ์ดูเหมือนไม่ส่งผลดีต่อท่าน จงสวดอ้อนวอนให้มีความซื่อสัตย์มากขึ้น นึกถึงด้านที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้ท่านซื่อสัตย์มากขึ้น และกล้าทำสิ่งจำเป็นเพื่อยกวิญญาณท่านให้มีความตั้งใจแน่วแน่มากขึ้นว่าจะซื่อสัตย์อย่างครบถ้วน
ประธานมอนสันเคยเตือนเราว่า “ขอให้เราเป็นแบบอย่างของความซื่อสัตย์สุจริตไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนหรือทำสิ่งใดก็ตาม”9 ท่านอาจจะติดคำแนะนำนี้ของศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้าไว้ในที่ซึ่งท่านจะเห็นได้บ่อยๆ
เอ็ลเดอร์โอ๊คส์แนะนำดังนี้ “เราไม่ควรใช้ขันติธรรมกับตนเอง เราควรอยู่ใต้กฎเกณฑ์ข้อเรียกร้องของสัจธรรม”10 จงอย่าอะลุ้มอล่วยกับตนเอง พระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า “ถ้าใครต้องการจะติดตามเรา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกและตามเรามา” (มัทธิว 16:24)
ข้าพเจ้าจบตรงที่เริ่มไว้ พระบิดาบนสวรรค์ของเราและพระบุตรของพระองค์ทรงเป็นองค์สัตภาวะที่มีความซื่อสัตย์อย่างสมบูรณ์ ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระบิดาในสวรรค์ของเราและพระบุตรที่รักของพระองค์ทรงพระชนม์ พระองค์ทรงรู้จักท่านเป็นการส่วนตัว พระองค์ทรงรักท่าน จุดหมายของท่านในฐานะบุตรหรือธิดาของพระผู้เป็นเจ้าคือเป็นเหมือนพระองค์ เราเป็นสานุศิษย์ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ขอให้เรากล้าติดตามพระองค์