ปัจฉิมวาทะ
ข้าพเจ้าเห็นนิมิต
ในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1820 โจเซฟ สมิธวัย 14 ปีสงสัยว่าท่านควรนับถือนิกายใด ท่านเปิดพระคัมภีร์เพื่อหาคำตอบ ใน ยากอบ 1:5 ท่านอ่านว่าถ้าเราขาดสติปัญญา ให้เราทูลขอจากพระผู้เป็นเจ้า
ในที่สุดข้าพเจ้าตัดสินใจว่าข้าพเจ้าต้องคงอยู่ในความมืดมนและความสับสน, หรือมิฉะนั้นก็ต้องทำดังที่ยากอบชี้แนะ, นั่นคือ, ทูลขอจากพระผู้เป็นเจ้า. …
ดังนั้น, เพื่อให้เป็นไปตามนี้ … ข้าพเจ้าจึงเข้าไปในป่าเพื่อลองดู. วันนั้นเป็นเวลาเช้าของวันที่สวยงาม, แจ่มใส, ต้นฤดูใบไม้ผลิของปีหนึ่งพันแปดร้อยยี่สิบ. …
หลังจากไปถึงสถานที่ซึ่งข้าพเจ้าหมายไว้ก่อนแล้วว่าจะไป, โดยมองไปรอบๆ, และพบว่าตนเองอยู่ตามลำพัง, ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าลงและเริ่มตั้งจิตปรารถนาต่อพระผู้เป็นเจ้า. เมื่อข้าพเจ้าเพิ่งเริ่มทำเช่นนั้น, ในทันทีทันใด ข้าพเจ้าก็ถูกอำนาจบางอย่างมาตรึงไว้ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าสิ้นเรี่ยวแรง … ความมืดมิดเข้ามารายล้อมข้าพเจ้า, และเพียงอึดใจเดียวสำหรับข้าพเจ้าดูราวกับว่าชะตาข้าพเจ้าจะถึงฆาตโดยพลัน.
แต่, โดยใช้พลังทั้งหมดของข้าพเจ้าเรียกหาพระผู้เป็นเจ้าให้ทรงปลดปล่อยข้าพเจ้าหลุดพ้นจากอำนาจของศัตรูนี้ซึ่งตรึงข้าพเจ้าไว้, และชั่วขณะนั้นเองที่ข้าพเจ้ากำลังจะจมลงสู่ความสิ้นหวังและยอมตนต่อความพินาศ … ข้าพเจ้าเห็นลำแสงอยู่เหนือศีรษะข้าพเจ้าพอดี, เหนือความเจิดจ้าของดวงอาทิตย์, ซึ่งค่อย ๆ เลื่อนลงมาจนตกต้องข้าพเจ้า.
… เมื่อแสงนั้นส่องมายังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นพระอติรูปสองพระองค์, ซึ่งความเจิดจ้าและรัศมีภาพของทั้งสองพระองค์เกินกว่าจะพรรณนาได้, พระองค์ทรงยืนอยู่เหนือข้าพเจ้าในอากาศ. องค์หนึ่งรับสั่งกับข้าพเจ้า, โดยทรงเรียกชื่อข้าพเจ้าและตรัส, พลางชี้พระหัตถ์ไปที่อีกองค์หนึ่ง—นี่คือบุตรที่รักของเรา. จงฟังท่าน! …
… ข้าพเจ้าเห็นแสงสว่างจริงๆ, และท่ามกลางแสงสว่างนั้นข้าพเจ้าเห็นพระอติรูปสองพระองค์, และพระองค์ได้รับสั่งกับข้าพเจ้าจริงๆ; และแม้ว่าข้าพเจ้าถูกเกลียดชังและถูกข่มเหงเพราะการกล่าวว่าข้าพเจ้าเห็นนิมิต, แต่มันเป็นความจริง; …ข้าพเจ้ารู้เรื่องนี้, และข้าพเจ้ารู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงทราบเรื่องนี้, และข้าพเจ้าไม่สามารถปฏิเสธเรื่องนี้ได้, ทั้งข้าพเจ้าไม่กล้าปฏิเสธเรื่องนี้