บทที่ 38
ไข่มุกอันล้ำค่า
หนังสือของโมเสส
ส่วนแรกของไข่มุกอันล้ำค่าคือการเปิดเผยที่ประทานแก่โจเซฟ สมิธ ส่วนนี้มีชื่อว่าหนังสือของโมเสส โมเสสคือศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า ท่านมีชีวิตอยู่เมื่อนานมาแล้ว
หนังสือของโมเสสบอกถึงสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสบนภูเขาสูง โมเสสเห็นพระผู้เป็นเจ้าและสนทนากับพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่าพระองค์ทรงมีงานพิเศษให้โมเสสทำ
พระผู้เป็นเจ้าทรงแสดงให้โมเสสเห็นโลกและทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในโลก ท่านเห็นบุตรธิดาทุกคนของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งจะมีชีวิตอยู่ในโลก
พระผู้เป็นเจ้าทรงละจากโมเสส ซาตานมาหาโมเสสและบอกให้ท่านนมัสการเขา โมเสสไม่ยอมนมัสการซาตานและบอกให้เขาออกไป เมื่อซาตานไม่ยอมไป โมเสสทูลขอความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้า โดยได้รับพละกำลังจากพระผู้เป็นเจ้า โมเสสไล่ซาตานอีกครั้ง ในที่สุดซาตานก็จากไป ซาตานโกรธมากเพราะโมเสสไม่ยอมนมัสการเขา
โมเสสเปี่ยมไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านสวดอ้อนวอนและพระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาสนทนากับโมเสสอีกครั้ง พระผู้เป็นเจ้าทรงบอกโมเสสว่ามีโลกมากมาย เกินกว่าที่เราจะนับได้ พระองค์ตรัสว่าพระเยซูทรงสร้างโลกเหล่านี้และจะสร้างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะงานของพระผู้เป็นเจ้าไม่มีที่้สิ้นสุด
โมเสสเรียนรู้ว่างานของพระผู้เป็นเจ้าคือช่วยให้บุตรธิดาของพระองค์สามารถกลับไปอยู่กับพระองค์ตลอดกาล หนังสือของโมเสสยังบอกเกี่ยวกับการสร้างโลก, อาดัมกับเอวาและครอบครัวของพวกท่าน, ศาสดาพยากรณ์เอโนคและนครแห่งไซอัน, และศาสดาพยากรณ์ท่านอื่นๆ ที่มีชีวิตอยู่เมื่อนานมาแล้ว
หนังสือของอับราฮัม
ส่วนที่สองของไข่มุกอันล้ำค่าคือหนังสืออับราฮัม ในเดือนกรกฎาคมปี 1835 ชายผู้หนึ่งชี่อนายแชนด์เลอร์มาที่เคิร์ทแลนด์ นายแชนด์เลอร์นำเอามัมมี่จากอียิปต์มาให้วิสุทธิชนดู นานมาแล้ว เมื่อผู้คนในอียิปต์สิ้นชีวิต เขาจะใช้ผ้าพันร่างกายของผู้ตาย ร่างนั้นเรียกว่ามัมมี่
มีหนังสือม้วนเก่าแก่มากอยู่กับมัมมี่ด้วย มีอักขระแปลกๆ เขียนอยู่ในหน้ากระดาษ นายแชนด์เลอร์มองหาคนที่สามารถอ่านงานเขียนนั้นได้ เขาได้ยินมาว่าโจเซฟ สมิธแปลงานเขียนได้
โจเซฟมองดูอักขระที่เขียนไว้ พระเจ้าทรงเปิดเผยแก่ท่านว่าตัวหนังสือมีความหมายว่าอย่างไร และท่านบอกกับนายแชนด์เลอร์ วิสุทธิชนบางคนขอซื้อหนังสือม้วนจากนายแชนด์เลอร์
โจเซฟ สมิธเริ่มศึกษางานเขียน พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยการแปลแก่ท่าน ออลิเวอร์ คาวเดอรีและวิลเลียม เฟลพ์สเขียนสิ่งที่โจเซฟแปล งานเขียนดังกล่าวเขียนโดยอับราฮัมศาสดาพยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งเคยอาศัยอยู่ในอียิปต์นานมาแล้ว
พระเยซูทรงบอกอับราฮัมเกี่ยวกับชีวิตเราก่อนที่เราจะมายังแผ่นดินโลก พระเยซูตรัสว่าเราอยู่กับพระบิดาบนสวรรค์ในฐานะบุตรธิดาทางวิญญาณก่อนที่เราจะมาเกิด หนังสือของอับราฮัมบอกเล่าถึงการสร้างโลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว การสร้างพืช สัตว์ และมนุษย์
อับราฮัมต้องการได้รับพรแห่งความสุขและสันติ เพราะท่านเป็นคนซื่อสัตย์ พระเยซูทรงทำพันธสัญญากับท่าน พันธสัญญาเป็นสัญญาศักดิ์สิทธิ์ระหว่างพระผู้เป็นเจ้ากับบุตรธิดาของพระองค์
ในการเปิดเผยนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญากับอับราฮัมว่าท่านจะมีฐานะปุโรหิตและมีครอบครัวที่ดี พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญากับอับราฮัมด้วยว่าสมาชิกครอบครัวของท่านในอนาคตจะได้รับพระกิตติคุณและฐานะปุโรหิตหากพวกเขาซื่อสัตย์ ครอบครัวของอับราฮัมจะนำพระกิตติคุณไปสู่คนทั้งปวงทั่วโลก
โจเซฟ สมิธ—มัทธิวและโจเซฟ สมิธ—ประวัติ
โจเซฟ สมิธ—มัทธิวมีการแก้ไขที่ได้รับการดลใจซึ่งศาสดาพยากรณ์ทำไว้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือมัทธิวในพระคัมภีร์ไบเบิล โจเซฟ สมิธ—ประวัติมีงานเขียนของศาสดาพยากรณ์เกี่ยวกับนิมิตแรก แผ่นจารึกทองคำ พระคัมภีร์มอรมอน และการเปิดเผยของฐานะปุโรหิต
หลักแห่งความเชื่อ
ส่วนสุดท้ายของไข่มุกอันล้ำค่าคือหลักแห่งความเชื่อ วันหนึ่งมีชายคนหนึ่งมาหาโจเซฟ สมิธ เพื่อนของชายคนนั้นกำลังเขียนหนังสือ เขาต้องการให้มีบางสิ่งเกี่ยวกับศาสนจักรอยู่ในหนังสือ เขาจึงขอให้โจเซฟเล่าว่าศาสนจักรเริ่มต้นขึ้นอย่างไร
โจเซฟ สมิธเขียนเรื่องราวการเริ่มต้นของศาสนจักร ด้วยความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้า ท่านเขียนข้อความสำคัญสิบสามข้อเกี่ยวกับสิ่งที่สมาชิกของศาสนจักรเชื่อ ท่านเรียกข้อความเหล่านี้ว่าหลักแห่งความเชื่อ
วันที่ 1 มีนาคม ปี 1842 มีการพิมพ์หลักแห่งความเชื่อลงในหนังสือพิมพ์ของศาสนจักร วิสุทธิชนอ่านหลักแห่งความเชื่อ พวกเขาเชื่อสิ่งที่โจเซฟเขียน
หลักแห่งความเชื่อ
โจเซฟ สมิธ
1
เราเชื่อ
ในพระผู้เป็นเจ้า, พระบิดานิรันดร์, และในพระบุตรของพระองค์, พระเยซูคริสต์, และในพระวิญญาณบริสุทธิ์.
2
เราเชื่อ
ว่ามนุษย์จะได้รับโทษเพราะบาปของตน, และมิใช่เพราะการล่วงละเมิดของอาดัม.
3
เราเชื่อ
ว่าโดยผ่านการชดใช้ของพระคริสต์, มนุษยชาติทั้งมวลจะรอดได้, โดยการเชื่อฟังกฎและศาสนพิธีทั้งหลายของพระกิตติคุณ.
4
เราเชื่อ
ว่าหลักธรรมและศาสนพิธีเบื้องต้นของพระกิตติคุณคือ: หนึ่ง, ศรัทธาในพระเจ้า พระเยซูคริสต์; สอง, การกลับใจ; สาม, บัพติศมาโดยลงไปในน้ำทั้งตัวเพื่อการปลดบาป; สี่, การวางมือเพื่อของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์.
5
เราเชื่อ
ว่ามนุษย์ต้องได้รับการเรียกจากพระผู้เป็นเจ้า, โดยการพยากรณ์, และโดยการวางมือโดยผู้มีสิทธิอำนาจ, เพื่อสั่งสอนพระกิตติคุณและปฏิบัติศาสนพิธีของพระกิตติคุณนั้น.
6
เราเชื่อ
ในการวางระเบียบอย่างเดียวกับที่ดำรงอยู่ในศาสนจักรสมัยต้น, นั่นคือ, อัครสาวก, ศาสดาพยากรณ์, ศิษยาภิบาล, ผู้สอน, ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ, และอื่นๆ.
7
เราเชื่อ
ในของประทานแห่งการพูดภาษา, การพยากรณ์, การเปิดเผย, นิมิต, การบำบัดรักษา, การแปลภาษา, และอื่นๆ.
8
เราเชื่อ
ว่าพระคัมภีร์ไบเบิลเป็นพระคำของพระผู้เป็นเจ้าตราบเท่าที่แปลไว้อย่างถูกต้อง; เราเชื่อด้วยว่าพระคัมภีร์มอรมอนเป็นพระคำของพระผู้เป็นเจ้า.
9
เราเชื่อ
ทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยมาแล้ว, ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเปิดเผยขณะนี้, และเราเชื่อว่าพระองค์จะยังทรงเปิดเผยเรื่องสำคัญและยิ่งใหญ่อีกหลายเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า.
10
เราเชื่อ
ในการรวมกันอย่างเป็นรูปธรรมของอิสราเอลและในการนำกลับคืนมาของเผ่าทั้งสิบ; ว่าไซอัน (เยรูซาเล็มใหม่) จะสร้างขึ้นในทวีปอเมริกา; ว่าพระคริสต์จะทรงปกครองแผ่นดินโลกด้วยพระองค์เอง; และ, ว่าแผ่นดินโลกจะกลับคืนสู่สภาพเดิมและรับรัศมีภาพแห่งเมืองบรมสุขเกษม.
11
เราอ้าง
เอกสิทธิ์แห่งการนมัสการพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพตามการวินิจฉัยจากมโนธรรมของเราเอง, และยอมให้มนุษย์ทั้งปวงมีเอกสิทธิ์เช่นเดียวกัน, ให้พวกเขานมัสการโดยวิธีใด, ณ สถานที่ใด, หรือสิ่งใดก็ได้ที่พวกเขาจะนมัสการ.
12
เราเชื่อ
ในการอยู่ใต้อาณัติของกษัตริย์, ประธานาธิบดี, ผู้ปกครอง, และฝ่ายปกครองของรัฐ, ในการเชื่อฟัง, การยกย่อง, และการสนับสนุนกฎหมาย.
13
เราเชื่อ
ในการเป็นคนซื่อสัตย์, แน่วแน่, บริสุทธิ์, มีเมตตา, มีคุณธรรม, และในการทำดีต่อมนุษย์ทั้งปวง; โดยแท้แล้ว, เราอาจกล่าวได้ว่าเราทำตามคำแนะนำของเปาโล—เราเชื่อทุกสิ่ง, เราหวังทุกสิ่ง, เรายืนหยัดมาแล้วหลายสิ่ง, และหวังว่าจะสามารถยืนหยัดได้ทุกสิ่ง. หากมีสิ่งใดที่เป็นคุณธรรม, งดงาม, หรือกล่าวขวัญกันว่าดี หรือควรค่าแก่การสรรเสริญ, เราแสวงหาสิ่งเหล่านี้.