บทที่ 10
การสวดอ้อนวอนและการเปีดเผยส่วนตัว
“นับเปีนสิทธิพิเศษของลูกๆ ของพระผู้เปีนเจ้าที่ได้มาหาพระผู้เปีนเจ้าและรับการเปีดเผย”
จากชีวิตฃองโจ!ซฟ สมิธ
โาวเดือนมิถุนายนคริสต์คักราช 1829 เหตุการณ์สำคัญมากมายในการฟันฟู พระกิตติคุณอย่างต่อเนื่องได้เกิดขึ้นแล้ว สวรรค์เปีดในเวลาที่ภาพปรากฎครั้ง แรกและพระผู้เปีนเจ้าตรัสกับมนุษย์บนแผ่นดินโลกอีกครั้ง ศาสดาใจเซฟ สมิธ ได้รับแผ่นจารึกพระคัมภีร์มอรมอนและแปลข่าวสารคักดสิทธในนั้น ฐานะปุโรหิต คักดี้สิทธได้รับการฟันฟู และพิธีการบัพติศมานีผลต่อลูกๆ ของพระผู้เปีน เจ้า เหตุการณ์แด่ละอย่างนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบคำสวดอ้อนวอนขณะที่ศาสดาแสวง หาการนำทางจากพระเจ้า
ขณะที่งานแปลใกล้จะเสร็จเรียบร้อย ศาสดาแสวงหาการนำทางจากพระเจ้า อีกครั้ง เพราะโมโรไนบอกโจเซฟแล้วว่าด้องไม,เอาแผ่นจารึกให้ใครดูเว้นแต่จะ ได้รับบัญชาให้ทำเช่นนั้น โจเซฟจึงรู้สึกโดดเดี่ยวมากและแบกความรับผิดชอบ หนักอึ้งขณะแปลแผ่นจารึก อย่างไรก็ดื ท่านทราบจากบันทึกนั้นว่าพระเจ้าจะ ทรงจัดหาพยานพิเศษสามคนผู้จะเปีนพยานต่อโลกว่าพระคัมภีร์มอรมอนเปีน ความจริง (ดู 2 นีไฟ 11:3; อีเธอร์ 5:2–4)
“เกือบจะทันทีหลังจากที่เราทราบเรื่องนี้” โจเซฟ สมิธทวนความหลัง “ออ- สิเวอร์ คาวเดอรึ เดวิด วิตเมอร์ และ … มาร์ติน แฮร์ริส (ผู้มาสอบถามความ อ้าวหห้าของงาน) มาขอให้ทูลถามพระเจ้าเพื่อให้รู้ว่าพวกเขาจะได้รับสิทธิพิเศษ ของการเปีนพยานพิเศษสามคนหรือไม,”1 ศาสดาสวดอ้อนวอนขอการนำทาง และได้รับการเปีดเผยประกาศว่าชายสามคนนี้จะได้รับอนุญาตให้เห็นแผ่นจารึก ดาบของเสบัน ยูรัมและธัมบัม และเลียโฮนา (ดู ค.พ. 17)
สองสามวันต่อมา ศาสดากับชายทั้งสามเข้าไปในป่าใกล้บ้านตระกูลวิตเมอร์ ในเมืองเฟเยทท์ รัฐนิวยอร์ก และเริ่มสวดล้อนวอนขอใบ้พวกท่านได้รับสิทธิ พิเศษอันสำคัญยิ่งนี้ บาร์ดินถอนตัวเพราะรู้สึกไม่มีค่าควร ศาสดาบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นว่า “เรา … สวดล้อนวอนด้วยกันได้ไม,กี่นาทีก็เห็น แสงสว่างอยู่เหนือเราในอากาศ แสงนั้นเจิดจ้าอย่างยิ่ง และเห็นเทพ [โมโรไน] ยืนอยู่ตรงหบ้าเรา ในมือท่านถือแผ่นจารึกที่เราสวดล้อนวอนขอใบ้ได้เห็น ท่าน พลิกใบ้ดูทึละแผ่น นั้งนี้เพื่อเราจะเห็นได้ และมองเห็นอักขระที่อยู่บนนั้นได้ อย่างชัดเจน”2 พวกท่านได้ยินสุรเสียงของพระผู้เป็นเจ้าเป็นพยานถึงความจริง ของงานแปลและบัญชาพวกท่านใบ้กล่าวคำพยานถึงสิ่งที่เห็นและได้ยิน หลังจากนั้นใจเซฟไปหาบาร์ดินซึ่งกำลังสวดล้อนวอนอยู่อีกที่หนึ่งในป่า ทั้งสองสวดล้อนวอนด้วยกันและเห็นภาพเดียวกันและได้ยินสุรเสียงเดียวกัน
มารดาของโจเซฟ สมิธซึ่งครั้งนี้มาเยี่ยมศาสดาในเฟเยทท์กับคุณพ่อสมิธได้ เล่าถึงความปีติยินดีและความโล่งอกของบุตรชายหลังจากปรากฎการณ์ตังกล่าว “เมื่อโจเซฟเข้ามาใน [บ้านตระกูลวิดเบอร์] เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างข้าพเจ้า ‘พ่อ ครับ แบ,ครับ, เขาพูด ‘รู้มั้ยครับว่าผมมีความสุขแค่ไหน นอกจากผมแล้วยังมี ชายอีกสามคนที่พระเจ้าทรงนําแผ่นจารึกมาใบ้ดู พวกเขาเห็นเทพและจะด้อง เป็นพยานถึงความจริงตามที่ผมพูด เพราะพวกเขารู้ด้วยตนเองว่าผม่ไม่ได้หลอก ผู้คน ผมรู้สึกประหนึ่งว่าได้รับการปลดเปลื้องจากภาระอันน่ากลัวซึ่งค่อนข้างหนัก เกินกว่าจะแบกไหว แด่ตอนนี้พวกเขาจะด้องแบกภาระส่วนหนึ่งและนั่นทําใบ้ จิตวิญญาณของผมปลาบปลื้มยินดีเพราะผมจะไม่โดดเดี่ยวอีกแล้วในโลกนี้ี้’ ”3
ตลอดชีวิตของโจเซฟ สมิธ เขาหันไปหาพระเจ้าโดยการสวดล้อนวอนเพื่อ แสวงหาความช่วยเหลือและการนําทางที่เขาด้องการ สมาชิกคนหนึ่งของศาสนาจักรจำได้ว่าเคยได้ยินท่านสวดล้อนวอนในเคิร์ทแลนด์ โฮไฮโอคราวประสบ ความยากลำบากมาก “ล่อนหบ้านั้นข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินมนุษย์พูดกับพระผู้รัง สรรค์ของเขาราวกับพระองค์ทรงฟ้งอยู่ที่นั่นดุจบิดาผู้มีเมตตาฟังความเศร้าโศก ของบุตรผู้ซึ่อตรงต่อหบ้าที่… ไม่มีการท่าเอาหบ้า ไม่มีการเปล่งเสียงแสร้ง กระดือรึอร้น แด่เป็นนํ้าเสียงของการสนทนาอย่างเปีดเผยตรงไปตรงมา เฉกเช่น ลูกผู้ชายจะพูดกับสหายที่อยู่ตรงหบ้า สำหรับข้าพเจ้าแล้วดูราวกับม่านถูกเอา ออกไปและพระเจ้าประทับอยู่ตรงหบ้าผู้รับใข้ที่นอบบ้อมที่สุดของพระองค์เท่า ที่ข้าพเจ้าเคยพบเห็น”4
คำสอนฃองโจเซฟ สมิธ
พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินคำสวดอ้อนวอนของเราและตรัสกับเราในทุกวันนี้ เฉกเช่นพระองค์ตรัสกับสิทธิชนในสมัยโบราณ
“โดยเห็นว่าจนถึงบัดนี้พระเจ้ามิได้ทรงเปีดเผยเรื่องใดให้โลกเข้าใจว่าพระองค์ไม่ตรัสกับมนุษย์อีกแม้จะทูลขอในวิธีที่เหมาะสมก็ตาม เหตุใดจึงคิดว่าเปีน เรื่องเหลือเชื่อที่พระองค์พอพระบัยจะตรัสอีกครั้งในวันเวลาสุดห้ายนี้เพื่อความ รอดของพวกเขา
“บางทีท่านอาจแปลกใจในข้อเสนอที่ว่าข้าพเจ้าควรพูดเพื่อความรอดของ มนุษย์ในวันเวลาสุดห้าย เพราะเรามีพระคำจำนวนมากของพระองค์อยู่ในครอบ ครอง พระคำซึ่งพระองค์ประทานไว้แห้ว แต่ท่านจะยอมรับว่าพระดำรัสที่ตรัส กับโนอาห์ไม่เพียงพอสำหรับอับราฮัม หรืออับราฮัมไม่จำเป็นด้องออกจากแผ่น ดินอันเป็นม้านเกิดเมืองนอนของท่านไปเสาะแสวงหามรดกในต่างแดนตาม พระดำรัสที่ตรัสกับโนอาห์ แต่ตัวท่านได้รับคำสัญญาจากพระหัตถ์ของพระเจ้าและดำเนินชีวิตในความดีพร้อมจนท่านได้ชื่อว่าเป็นสหายของพระผู้เป็นเจ้า อิสอัค พงศ์พันธุที่สัญญาไว้ ไม,ด้องตั้งความหวังบนคำสัญญาที่ทรงทํากับอันราฮัมมิดาของเขา แด่ได้รับสิทธิพิเศษพร้อมด้วยความมั่นใจว่าท่านเปีนที่พอใจ ในความเห็นของสวรรค์โดยสุรเสียงที่พระเจ้าตรัสกับท่านโดยตรง
“ห้าคนหนึ่งสามารถดำเนินชีวิตตามการเปีดเผยที่ประทานให้อีกคนหนึ่ง ข้าพเจ้าคง่ไม่บังอาจถามว่า เหตุใดพระเจ้าจึงด้องตรัสกับอิสอัคตังที่พระองค์ทรงทํา ตังบันทึกไว้ในปฐมกาลบทที่ 26 เพราะพระเจ้าทรงยํ้าจุดนั้น หรือทรงสัญญาอีก ครั้ง ให้ท่าตามคำสาบานที่เคยท่ากับอับราฮัม และเหตุใดจึงตรัสซํ้ากับอิสอัค เหตุใดจึงไม่เป็นสัญญาครั้งแรกสำหรับอิสอัคเช่นเดียวกับอับราฮัม อิสอัคไม่ใช่ บุตรชายของอับราฮัมหรือ เขาจะไม,เชื่อมั่นในคำพูดของบิดาในฐานะคนของพระผู้เปีนเจ้าหรือ บางทีท่านอาจจะพูดได้ว่าเขาเปีนคนพิเศษมากและแตก ต่างจากคนอื่นๆ ในวันเวลาสุดห้ายนี้ ตังนั้นพระเจ้าจึงประทานพรพิเศษและ แตกต่างให้เขาเพราะเขาแตกต่างจากคนอื่นๆ ในยุคนี้ ข้าพเจ้ายอมรับว่าเขา เปีนคนพิเศษและไม่เพียงได้รับพรพิเศษเท,านั้นุ แด,ได้รับพรอย่างมากด้วย แต่ ความพิเศษทั้งหมดที่ข้าพเจ้าห้นพบในชายคนนั้น หรือความแตกต่างระหว่างเขา กับคนในยุคนี้คือ เขาบริสุทธฺและดีพร้อมต่อเบื้องพระพักตร์พระผู้เปีนเจ้าและ มาหาพระองค์ด้วยใจที่บริสุทธี้และด้วยศรัทธาที่มากกว่าคนอื่นๆ ในยุคสมัยนี้
“ทำนองเดียวกันกับประวัติของยาโคบ เหตุใดจึงเปีนว่าพระเจ้าตรัสกับท่าน ด้วยสัญญาเดียวกับที่พระองค์ทรงทำกับอับราฮัมและทรงต่อใหม่กับอิสอัค เหตุใดยาโคบจึงไม่อาจพอใจในพระดำรัสที่ตรัสกับบรรพบุรุษของเขาเล่า
“เมื่อใกล้ถึงเวลาทำตามสัญญาเพื่อการปลดปล่อยลูกหลานอิสราเอลออก จากแผ่นดินอียิปต์ เหตุใดจึงจำเปีนที่พระเจ้าจะเริ่มตรัสกับพวกเขา คำสัญญา หรือพระดำรัสต่ออับราฮัมคือพงศ์พันธุของเขาจะอยู่ในความเปีนทาสและทุกข์ทรมานสี่ร้อยปี และหลังจากนั้นพวกเขาจะออกมาพร้อมทรัพย์สมบัติมากมาย เหตุใดเมื่ออยู่เปีนทาสในอียิปต์ครบสี่ร้อยปี พวกเขาจึงไม,อาศัยสัญญาดังกล่าว และออกมาเลยโดยไม่ด้องรอการเปีดเผยเพิ่มเติม โดยทำตามสัญญาทั้งหมดที่ ให้ไร้กับอับราฮัมว่าพวกเขาจะออกมา…
“…ข้าพเจ้าอาจเชื่อว่าเอโนคเดินกับพระผู้เปีนเจ้า ข้าพเจ้าอาจเชื่อว่าอัมราย,มติดต่อกับพระผู้เปีนเจ้าและสนทนากับเหล่าเทพ ข้าพเจ้าอาจเชื่อว่าอิสอัคได้ รับการต่อพันธสัญญาที่ทำไร้กับอับราฮัมโดยสุรเสียงที่พระเจ้าตรัสกับเขา ข้าพเจ้าอาจเชื่อว่ายาโคมสนทนากับเหล่าเทพศักดสิทธี้และได้ยินพระดำรัสของพระ ผู้รังสรรค์ เขาต่อสู้กับเทพจนชนะและได้รับพร ข้าพเจ้าอาจเชื่อว่าเอสียาห์ถูก พาขึ้นไปบนสวรรค์ในรถเพลิงและห้าเพลิง ข้าพเจ้าอาจเชื่อว่าสิทธิชนเห็นพระเจ้าและสนทนากับพระองค์หห้าต่อหห้าหลังจากพระองค์ทรงพีนคืนพระชนม์ ข้าพเจ้าอาจเชื่อว่าศาสนาจักรของชาวฮีบรูมาถึงภูเขาไซอันและนครของพระผู้เปีนเจ้าผู้ทรงพระชนม์ เยรูซาเล็มศักดิ๙สิทธ และเหล่าเทพเหลือคณานับ ข้าพเจ้าอาจเชื่อว่าพวกเขามองเข้าไปในนิรันดรและเห็นพระผู้พิพากษาของมนุษย์ ทั้งปวง และพระเยซู พระผู้เปีนกลางแห่งพันธสัญญาใหม่
“แต่ทั้งหมดนี้จะให้ความมั่นใจกับข้าพเจ้า หรือจะพาข้าพเจ้าไปลู่อาณาจักร แห่งวันเวลานิรันดรพร้อมอาภรณ์ที่ไร้มลทิน บริสุทธ และขาวสะอาดอย่างนั้น หรือ หรือข้าพเจ้าไม่ด้องแสวงหาความมั่นใจในความรอดของข้าพเจ้าด้วยตนเองโดยศรัทธาของข้าพเจ้าและความพากเพียรในการรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า ข้าพเจ้าไม,มีเอกสิทธเท่าเทียมสิทธิชนในสมัยโบราณอย่างนั้นหรือ พระเจ้า ไม่ทรงได้ยินคำสวดอ้อนวอนและจะไม,ทรงพิงเสียงร้องของข้าพเจ้าเร็วพอๆ กับ ที่พระองค์ทรงพิงพวกเขาอย่างนั้นหรือล้าข้าพเจ้ามาหาพระองค์ในวิธีเดียวกัน กับพวกเขา”5.
เราสามารถสวดอ้อนวอนให้ทุกอย่างที่เราทำ
ซารพ แกรนเจอร์ กินบัลล์รายงานว่า: “ในโรงเรียนศาสดา … เมื่อโจเซฟ สมิธให้คำแนะนำพี่น้องชาย ท่านจะบอกให้พวกเขาสวดอ้อนวอนให้แก่ทุก อย่างที่พวกเขาทำ”6
“จงแสวงหาเพี่อให้รู้จักพระผู้เป็นเจ้าในห้องส่วนตัวของท่าน เรียกหาพระองคํในทุ่ง ทำตามคำแนะน่าในพระคัมภีร์มอรมอน สวดอ้อนวอนตลอดเวลา และสวดอ้อนวอนให้ครอบครัวของท่าน ฝูงปศุสัตว์ ฝูงสัตว์เลี้ยง ฝูงสัตว์ใช้ งาน พืชพันธุธัญญาหารของท่าน และทุกอย่างที่ท่านครอบครอง [ดู แอลมา 34:18–27] ขอพรของพระผู้เปีนเจ้าให้คนงานทุกคนของท่าน และทุกอย่างที่ ท่านมีส่วนเกี่ยวช้อง”7
“อย่าละเลยหน้าที่ของท่านในครอบครัว แด,จงเรียกหาพระผู้เปีนเจ้าขอพระองค์ประทานพรท่านและครอบครัว—ฝูงสัตว์เลี้ยงและฝูงสัตว์ใช้งานของท่าน และทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับท่าน—เพื่อท่านจะมีความสงบสุขและความรุ่งเรือง —และขณะทำสิ่งนี้ ‘จงอธิษฐานขอสันติภาพให้ไซอันว่าขอให้ผู้ที่รักเธอจง จำเริญ, [ดู สดุดี 122:6.]”8
กำสวดอ้อนวอนที่ศาสดาบนทึกไปีนเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1842 แสดงให้ เห็นว่าท่านต้องการป็ญญาจากพระผู้เป็นเจ้า: “โอ้พระองค์ผู้ทรงมองเห็นและทรง ทราบจิตใจของมนุษย์ทั้งปวง… โปรดทอดพระเนตรใจเซฟผู้รับใช้ของพระองค์ในเวลานี้ด้วยเถิด และให้ศรัทธาในพระนามของพระบุตรของพระองค์พระ เยซูคริสต์มีมากกว่าที่ผู้รับใช้ของพระองค์เคยมี จงมอบให้เขาเถิด แห้ศรัทธา ของเอลียาห์ และทรงจุดโคมไฟแห่งชีวิตนิรันดรในใจเขา ขออย่าทรงเอาออก ไปเลย และขอให้พระคำแห่งชีวิตนิรันดรหลั่งมาบนจิตวิญญาณของผู้รับใช้ของ พระองค์ด้วยเถิดเพื่อเขาจะรู้พระประสงค์ ข้อบังคับ และพระบัญญัติและกำตัดสินของพระองค์ เพื่อทำตามนั้น เฉกเช่นนั้าอ้างบนเขาเฮอรัโมน ขอพระองค์ ทรงหลั่งพระคุณ รัศมีภาพ และพระเกียรติอันสูงส่งของพระองค์ลงมาบนศีรษะ ผู้รับใช้ของพระองค์ด้วยพระเมตตา พระเดชานุภาพ และพระกรุณาธิคุณอัน มากด้นของพระองค์เถิด”9
เมื่อเราสวดอ้อนวอนในศรัทธาและความเรียบง่าย เราจะได้รับพรที่พระผู้เปนเจ้าทรงเห็นควรประทานให้เรา
“จงวิงวอน ณ บัลลังก์แห่งพระคุณขอให้พระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่กับ ห่านตลอดเวลา จำไอ้ว่าหากไม,ทูลขอ เราจะไม,ได้รับอะไรเลย ด้วยเหตุนี้ จงทูล ขอในศรัทธา และท่านจะได้รับพรที่พระผู้เปีนเจ้าทรงเห็นควรประทานให้ ห่าน อย่าสวดอ้อนวอนโดยมีใจโลภโมโทสันเพื่อห่านจะได้บริโภคบนความใคร่ของ ห่าน แต่จงสวดอ้อนวอนอย่างตั้งใจจริงทูลขอของประทานที่ดีที่สุด [ดุ ค.พ. 46:8–9]”10
“คุณธรรมคือหลักธรรมโดดเด่นที่สุดประการหนึ่งที่ทำให้เรามีความเชื่อมั่น ในการสวดอ้อนวอนพระบิดาของเราผู้ประทับในสวรรค์เพื่อทูลขอป้ญญาจาก พระองค์ ตังนั้น หากท่านจะปลูกฝังหลักธรรมนี้ไอ้ในใจห่าน ขอให้ห่านทูลขอ ด้วยความเชื่อมั่นต่อพระพักตร์พระองค์และพระองค์จะทรงเทคุณธรรมลงมาบน ศีรษะห่าน [ดู ค.พ. 121:45–46]”11
“ขอให้คำสวดอ้อนวอนของสิทธิชนขึ้นถึงสวรรค์ เพื่อจะเข้าถึงพระกรรณ ของพระเจ้าแห่งแซบะอัธเพราะคำสวดอ้อนวอนของคนชอบธรรมทำให้เกิดผล มาก [ดู ยากอบ 5:16]”12
เฮนรี่ยู ดับเบิลยู. บิกเลอร์จำได้ว่า: “เมื่อพูดถึงการสวดอ้อนวอนพระบิดาใน สวรรค์ของเรา ข้าพเจ้าเคยได้ยินใจเซฟ สบิธกล่าวว่า ‘จงสวดอ้อนวอนให้ชัดเจน เรียบง่าย และทูลขอสิ่งที่ทำนด้องการ เหมือนกับท่านจะไปบอกเพื่อน ห้านว่า ผมอยากจะขอยืมห้าคุณขี่ไปที่โรงสีสักหน่อย’ ”13
เราจะได้รับการเปีดเผยส่วนตัวโดยผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์
“นับเปีนสิทธิพิเศษของลูกๆ ของพระผู้เปีนเจ้าที่ได้มาหาพระผู้เปีนเจ้าและ รับการเปีดเผย… พระผู้เปีนเจ้าไม,ทรงเลือกหห้าผู้ใด เราทูกคนมืสิทธิพิเศษ เหมือนกัน”14
“เราเชื่อว่าเรามีสิทธรับการเปีดเผย ภาพปรากฎ และความฝืนจากพระผู้ เปีนเจ้า พระบิดาบนสวรรค์ของเรา รับความสว่างและสติปัญญา โดยผ่านของ ประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ ในทุกเรื่องที่ เกี่ยวข้องกับความผาสุกทางวิญญาณของเรา หากเปีนไปว่าเรารักษาพระบัญญัติ ของพระองค์ ทั้งนี้เพื่อให้ตัวเรามืค่าควรในสายพระเนตรของพระองค์”15
“บุคคลหนึ่งอาจได้ประโยชนัโดยสังเกตการบอกนัยครั้งแรกของวิญญาณแห่ง การเปีดเผย ตัวอย่างเช่น เมื่อท่านรู้สึกถึงสติปัญญาอันบริสุทธที่หลั่งไหลมาสู่ ท่าน นั่นอาจท่าให้ท่านฉุกคิดขึ้นได้ในทันที ทั้งนี้โดยการสังเกต ท่านอาจพบว่า ความคิดตังกล่าวเปีนจริงในวันนั้นหรือในไม,ข้า (กล่าวคือ) สิ่งที่เข้ามาในความ คิดท่านโดยพระวิญญาณของพระผู้เปีนเจ้าจะเกิดขึ้นจริง และด้วยเหตุนี้โดยการ เรียนรู้และเข้าใจพระวิญญาณของพระผู้เปีนเจ้า ท่านจะค่อยๆ เติบโตไปสู่หลัก ธรรมแห่งการเปีดเผยจนท่านดีพร้อมในพระคริสต์พระเยซู ”16
“ข้าพเจ้ามืพันธสัญญาใหม่ที่เก่าแก่เล่มหนึ่งในภาษาลาดิน ฮีบรู เยอรมัน และกรีก.…ข้าพเจ้าขอบพระนัยพระผู้เปีนเจ้าที่ข้าพเจ้ามีพระคัมภีร์เก่าแก,เล่ม นี้ แต่ข้าพเจ้าขอบพระนัยมากกว่าสำหรับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธ ข้าพเจ้ามีหนังสือเก่าแก,ที่สุดในโลก แด,ข้าพเจ้ามีหนังสือเก่าแก,ที่สุดอยู่ในใจ นั่นคือของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทขึ้… พระวิญญาณบริสุทธ… สถิต อยู่ในข้าพเจ้า และพระองค์ทรงเข้าพระนัยมากกว่าคนทั้งโลก และข้าพเจ้าจะ เชื่อมสัมพันธ์กับพระองค์”17
“ไม,มีใครรับพระวิญญาณบริสุทธึ๋ได้หากไม่ได้รับการเปีดเผย พระวิญญาณบริสุทธี้คือผู้เปีดเผย”18
จอห์น เทย์เลอร์ รายงานขณะรับใช้เปีนประธานโควรัมอัครสาวกสิบสองดังนี้: “ข้าพเจ้าจำที่โจเซฟ สมิธพูดกับข้าพเจ้าเมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้วได้เปีนอย่างดี ท่านพูดว่า ‘เอ็ลเดอร์เทย์เลอร์ คุณรับบัพติศมาแล้ว คุณได้รับการวางมือบน ศีรษะเพื่อรับพระวิญญาณบริสุทธี้แล้ว และคุณได้รับการวางมือแต่งตั้งสู่ฐานะ ปุโรหิตกันศักดสิทธี้แล้ว ล้าคุณจะท่าตามการนำของวิญญาณนั้นต่อไป วิญญาณ ดังกล่าวจะนำคุณไปในทางที่ถูกด้องเสมอ บางทีการนำทางนั้นอาจจะขัดกับ วิจารณญาณของคุณ ไม่ด้องห่วง จงท่าตามที่วิญญาณนั้นบอก และล้าคุณแน่ว แน่ต,อสุรเสียงกระซิบนั้น เมื่อถึงเวลา หลักธรรมแห่งการเปีดเผยจะอยู่ในใจคุณ จนคุณรู้ทุกเรื่อง’ ”19
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะศึกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเติมได้ที่หน้า ⅶ–ⅹⅱ
-
สังเกตความสำคัญของการสวดล้อนวอนในประสบการณ์ของใจเซฟ สมิธ และพยานสามคนของพระคัมภีร์มอรมอน (หนำ 135–136) การสวดล้อหวอนส่งผลต่อประสบการณ์ที่ท่านมืกับพระคัมภีร์มอรมอนอย่างไร การสวด ล้อนวอนล่งผลต่อชีวิตของท่านในด้านใดอีก
-
ท่านมืความคิดอะไรม้างขณะอ่านย่อหม้าสุดท้ายของหน้า 136 ขณะไตร่ตรอง ข้อความนี้ ในํพิจารณาสี่งที่ท่านท่าได้เพื่อปรับปรุงวิธีที่ท่าน “พูดคับพระผู้รัง สรรค์ [ของท่าน]”
-
เหตุใดเราจึงไม,พึ่งการเปีดเผยในอดีตแด,อย่างเดียว (ดูตัวอย่างในหนำ 137–138) เหตุใดเราจึงด้องมืการเปีดเผยส่วนตัวและต่อเนื่อง
-
อ่านทวนหัวข้อที่เริ่มในหนน้า 139 ระบุคำสอนของศาสดาเกี่ยวคับเรื่องที่ว่า เราควรสวดล้อนวอน เมื่อใด และเราควรสวดล้อนวอนเกี่ยวคับอะไร คาสอนเหล่านี้ช่วยท่านอย่างไรนำงในการสวดล้อนวอนส่วนตัวของท่าน จะ ช่วยครอบครัวอย่างไรนำงในการสวดล้อนวอนเปีนครอบครัว
-
ศึกษาคำสอนของศาสดาในหน้า 140–141 เพื่อดูว่าเราควรสวดอ้อนวอน อย่างไร อะไรคือคุณค่าของการใช้ภาษาสวดอ้อนวอนที่ “ชัดเจนและเรียบ ง่าย” การดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรมจะให้ความเชื่อมั่นแก่เราอย่างไรในการ สวดอ้อนวอนพระบิดาบนสวรรค์ อะไรช่วยให้ท่านมีประจักษ์พยานว่าพระผู้เปีนเจ้าทรงได้ยินและทรงตอบคำสวดอ้อนวอน
-
อ่านย่อหน้าที่สามในหน้า 141 เมื่อใดที่ท่านได้ประโยชน์จากการสังเกต “การบอกนัยครั้งแรก” ของพระวิญญาณที่กระตุ้นเตือนท่าน เราจะฝิกอย่างไร เพื่อให้จำสุรเสียงกระซิบของพระวิญญาณได้ทันทีที่มาถึง
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง: 1 พงศ์กษัตริย์ 19:11–12; ยากอบ 1:5–6; ฮีลามัน 5:30; 3 นีไฟ 18:18–21; ค.พ. 6:22–23; 8:2–3; 88:63–65