บทที่ 35
การไถ่คนตาย
“พระเยโฮวาห์ผู้ยิ่งใหญ่… ทรงทราบสถานการณ์ของทั้งคนเป็นและคนตายและทรงเตรียมการเต็มที่เพื่อไถ่พวกเขา”
จากชีวิตฃองโจเซฟ สมิธ
ในการปฏิบัติศาสนกิจช่วงแรกๆ ของศาสดาโจเซฟ สมิธ ท่านมีประสบการณ์หนึ่งซึ่งจะช่วยเตรียมท่านให้พร้อมเมื่อถึงเวลารับการเปีดเผยเกี่ยวกับหลัก คำสอนเรื่องความรอดสำหรับคนตาย ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1823 อัลวิน สมิธบุตรคนโตของลูซี แป็ค สมิธและโจเซฟ สมิธ ซีเมียร์เกิดล้มป่วยกะทัน ทันและนอนรอความตาย อัลวินอายุ 25 ปี เป็นชายหนุ่มที่มีความสามารถและ แข็งแรง การทำงานหนักของเขาเอื้อประโยชน์อย่างยิ่งต่อเสถียรภาพการเงิน ของครอบครัว มารดาพูดว่าเขาเป็น “คนหนุ่มนิสัยดืที่ยากจะหาใครเทียบได้” “ความมีจิตใจงามและความเอื้อเพี้อ” ของเขาเป็นพรแก่คนรอบข้าง “ทุกชั่วโมงที่เขาดำรงอยู่”1
โดยที่รู้ตัวว่ากำลังจะสิ้นลมหายใจ อัลวินจึงเรียกน์องชายน์องสาวให้มาหา และพูดกับพวกเขาทีละคน อัลวินพูดลับโจเซฟซึ่งตอนนั้นอายุย่าง 18 ปีและ ยังไม่ได้รับแผ่นจารึกทองคำว่า “พี่อยากให้เจ้าเม็นคนดืและทําทุกอย่างในอำนาจ ของเจ้าเพี่อให้ได้บันทึกมา จงซื่อสัตย์เมื่อได้รับคำแนะนำและรักษาพระบัญญัติ ทุกข้อที่พระองค์ประทานให้ อ้ลวินพี่ชายของเจ้าด้องจากเจ้าแล้ว แต่จงนึกถึง แบบอย่างที่เขาวางไว้ให้เจ้า และเป็นแบบอย่างที่ดืให้เด็กๆ รุ่นน้อง”2
เมื่ออัลวินเสียชีวิต ครอบครัวขอให้บาทหลวงนิกายเพรสไบทีเรียนในเมือง พอลไมรา รัฐนิวยอร์กมาประกอบพิธีศพ ตอนที่อัลวินยังไม่ได้เป็นสมาชิกใน กลุ่มชุมนุมของบาทหลวงผู้นี้ หมอสอนศาสนายืนยันในคำเทศนาของเขาว่า อัลวินจะไม่ได้รับความรอด วิลเสียม สมิธน์องชายของโจเซฟ สมิธจำได้ว่า “[บาทหลวง]…บอกชัดเจนว่า [อัลวิน] ด้องตกนรก เพราะอัลวินไม่ใช่สมา ชิกของนิกายนั้น แต่เขาเป็นคนดืและคุณพ่อของผมไม่ชอบคำพูดแบบนั้น”3
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1836 หลายปีหลังจากอัลวินเสียชีวิต โจเซฟ สมิธ ได้รับภาพปรากฎเกี่ยวลับอาณาจักรชั้นสูง ในภาพนั้นท่านเห็นว่าวันหนึ่งอัลวิน กับคุณแม่และคุณพ่อของท่านจะได้อาณาจักรนั้นเป็นมรดก ไจเซฟ “แปลกใจ ว่าเป็นไปได้อย่างไรที่เขาได้รับมรดกในอาณาจักรนั้น โดยเห็นว่าเขาจากชีวิตนี้ ไปก่อนพระเจ้าจะทรงลงพระหัตถ์รวมอิสราเอลเป็นครั้งที่สอง และยังมิได้รับ บัพติศมาเพื่อการปลดบาป” (ค.พ. 137:6) สูรเสียงของพระเจ้ามาถึงโจเซฟ หลังจากนั้นโดยทรงประกาศว่า
“คนทั้งปวงผู้ตายโดยปราศจากความรู้ถึงพระกิตติคุณนี้ ผู้ที่จะรับมันหากเขา ได้รับอนุญาตใหัอยู่ต่อไปจะเป็นทายาทของอาณาจักรชั้นสูงของพระผู้เป็นเจ้า คนทั้งปวงที่จะตายจากนี้ไปโดยปราศจากความรู้ถึงหันด้วย ผู้ที่จะรับมันด้วยสูด ใจของเขาจะเป็นทายาทของอาณาจักรนั้น เพราะเราพระเจ้าจะพิพากษาคนทั้ง ปวงตามงานของเขา ตามความปรารถนาของใจเขา” (ค.พ. 137:7–9)
วันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1840 ศาสดาไจเซฟ สมิธสั่งสอนในพิธีศพที่นอวู และสอนหลักคำสอนเรื่องความรอดสำหรับคนตายต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก จากคำบอกเล่าของไซมอน เบเคอร์ซึ่งอยู่ที่นั่น ศาสดาเริ่มโดยเปีนพยานว่า “พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์นำข่าวประเสริฐแห่งความปรืดืยิ่งมาใหั” ท่าน อ่านเนื้อความส่วนใหญ่ของ 1 โครินธ์ 15 และอธิบายว่า “อัครสาวกกำลังพูด กับคนที่เข้าใจเรื่องบัพติศมาแทนคนตาย เพราะปฏิบัติลันในบรรดาพวกเขา” ท่านประกาศต่อจากนั้นว่า “ผู้คนสามารถกระทําแทนเพื่อนๆ ที่จากชีวิตนี้ไป แล้ว และแผนแห่งความรอดจะช่วยให้ทุกคนที่ยอมเชื่อพิงข้อกำหนดตามกฎของ พระผู้เป็นเจ้ารอด”4
หนึ่งเดือนหลังจากปราศรัยในพิธีศพ ศาสดาไปเยี่ยมบิดาของท่านซึ่งป่วยหนัก และใกล้เสียชีวิต ศาสดาสนทนากับบิดาท่านเกี่ยวลับหลักคำสอนเรื่องหัพติศมาแทนคนตาย และคุณพ่อสบิธนึกถึงอัลวินบุตรชายที่รักของเขา คุณพ่อสบิธ ขอให้ทํางานนั้นให้อัลวิน “ทันที” ไม่กี่นาทีก่อนจะสิ้นใจ เขาประกาศว่าเขา เห็นอัลวิน5 ปลายปี ค.ศ. 1840 ครอบครัวสบิธปลาบปลื้มลันทั่วหนํ้าเมื่อไฮรัมรับ พิธีการบ้พติศมาแทนอัลวินพื่ชาย
คำสโอนฃองโจเซฟ ลมิธ
พระผู้เป็นเจ้าทรงรักลูกๆ ทุกคนของพระองค์และ จะทรงพิพากษาทุกคนตามกฎที่เขาได้รับ
‘‘คนรุ่นเราที่อ้างว่าตนฉลาดและรอบรู้ไม่ค่อยเข้าใจแผนอันยิ่งใหญ่ของพระผู้ เปีนเจ้าเกี่ยวกับความรอดของครอบครัวมนุษย์ มนุษย์มีความเห็นต่างกันและ ขัดแย้งกันในเรื่องแผนแห่งความรอด [ข้อเรียกร้อง] ของพระผู้ทรงมหิทธิฤทธี้ การเตรียมที่จำเป็นต่อการขึ้นสวรรค์ สถานะและสภาพของวิญญาณที่จากไป ความสุขหรือความทุกข์ยากอันเปีนผลสืบเนื่องจากการปฏิบัติความชอบธรรม และความชั่วร้ายตามแนวคิดหลากหลายของพวกเขาในเรื่องคุณธรรมและความ ชั่วร้าย…
‘‘…ขณะที่มนุษยชาติส่วนหนึ่งกำลังพิพากษาและประณามผู้อื่นอย่างไร้ เมตตา พระบิดาผู้ยิ่งใหญ่ของจักรวาลกลับทอดพระเนตรครอบครัวมนุษย์ทั้งหมด ด้วยความห่วงใยและความเอาใจใส่ฉันบิดา พระองค์ทรงมอง พวกเขาเสมือน หนึ่งเชื้อสายของพระองค์โดยปราศจากฉันทาคติต่อลูกหลานมนุษย์ เพราะพระองค์ทรงให้ ‘ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นส่องสว่างแกคนดีและคนชั่วเสมอลัน และให้ฝนตกแกคนชอบธรรมและคนอธรรม’[บัทธิว 5:45] พระองค์ทรงถือ สายบังเหียนแห่งการพิพากษาไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นผู้ บัญญัติกฎที่ทรงพระปรีชาสามารถ และจะทรงพิพากษามนุษย์ทุกคน บิใช่ตาม ความคิดอันกับแคบของมนุษย์ แต่ตาม ‘ที่ได้ประพฤติในร่างกายนี้ แล้วแต่จะดี หรือชั่ว’ หรือไม่ว่าการกระทำนั้นจะเกิดขึ้นที่อังกฤษ อเมริกา สเปน ตุรกี หรือ อินเดีย พระองค์จะทรงพิพากษาเขา ‘ตามสิ่งที่เขากระทำ บิใช่ตามสิ่งที่เขาไม่กระทำ’ คนที่ดำเนินชีวิตโดยปราศจากกฎจะถูกพิพากษาโดยปราศจากกฎ และ คนที่มีกฎจะถูกพิพากษาโดยกฎนั้น เราไม่ด้องสงสัยในความรู้แจ้งและพระปรีชาญาณของพระเยโฮวาห์ผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์จะประทานการพิพากษาหรือพระเมตตา แต่ทุกประชาชาติตามที่เขาสมควรได้รับ ตามกำลังความสามารถของสติปัญญา ตามกฎหมายที่ปกครองเขา สิ่งอำนวยความสะดวกที่ช่วยให้ได้รับข้อมูลอันถูก ด้อง และแบบแผนลี้ลับของพระองค์ซึ่งเกี่ยวข้องกับครอบครัวมนุษย์ และเมื่อ แบบแผนของพระผู้เป็นเจ้าประจักษ์แก่สายตา ม่านที่ปีดไว้จะเผยให้เห็น อนาคต ในที่สุด เราทุกคนจะด้องสารภาพว่าการพิพากษาทั่วทั้งแผ่นดินโลกเที่ยงแห้ยุติธรรม [ดู ปฐมกาล 18:25]”6
“พระผู้เป็นเจ้าทรงพิพากษามนุษย์ตามการใช้ความสว่างที่พระองค์ประทาน ให้เขา”7
“มนุษย์จะต้องมีภาระรับผิดชอบในสิ่งที่เขามี ไม่ใช่สิ่งที่เขาไม่มี … ความ สว่างและความรู้แจ้งทั้งมวลถ่ายทอดมาถึงเขาจากผู้สร้างที่ปรานี ไม่ว่ามากหรือ น้อย พวกเขาจะถูกพิพากษาอย่างยุติธรรมตามความสว่างและความรู้แจ้งนั้น และ … ขอให้พวกเขายอมเชื่อฟังและปรับปรุงสิ่งที่ประทานให้เท่านั้น เพราะ มนุษย์จะบำรุงชีวิตต้วยอาหารสิ่งเดียวหามิไต้ แต่บำรุงต้วยพระวจนะทุกคำซึ่ง ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”8
พระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ทรงเปีดโอกาสให้คนเป็นและ คนตายได้รับการยกโทษและการปลดปล่อย
“สถานการณ์หลังความตายของประเทศต่างๆ ที่นับถือศาสนาคริสต์เป็นเรื่อง ที่ต้องใช้ปัญญาและพรสวรรค์ของนักปรัชญาและบาทหลวง ความคิดเห็นซึ่ง ยอมรับลันทั่วไปคือจุดหมายของมนุษย์สิ้นสุดที่ความตายและมนุษย์ถูกทำให้มี ความสุขชั่วนิรันดร์หรือทุกข์ชั่วนิรันดร์ ถ้ามนุษย์ตายโดยปราศจากความรู้เรื่อง พระผู้เม็นเจ้า เขาต้องถูกกล่าวโทษชั่วนิรันดร้โดยไม่มีการลดหย่อนผ่อนโทษ ไม่มีการบรรเทาความเจ็บปวด หรือความหวังริบหรี่ที่สุดของการปลดปล่อยจะ ผ่านไป หลักธรรมนี้อาจถ่ายทอดมาแต่โบราณกาล แต่เราจะพบว่าไม่ตรงก้บ ประจักษ์พยานในงานเขียนศักดสิทธี้ เพราะพระผู้ช่วยให้รอดของเราตรัสว่า มนุษย์จะไต้รับการอภัยบาปและอภัยการสบประมาททุกอย่างไม่ว่าเขาจะสบประ มาทอะไรก็ตาม แต่เขาจะไม่ไต้รับการยกโทษถ้าสบประมาทพระวิญญาณบริสุทธี้ ไม่ว่าจะในโลกนี้หรือในโลกที่จะมาถึง โดยแสดงให้เห็นชัดเจนว่ามีบาปซึ่งอาจ จะไต้รับการยกโทษในโลกที่จะมาถึง แต่บาปของการสบประมาท [พระวิญญาณ บริสุทธี้] จะไม่ไต้รับการยกโทษ [ดู นัทธิว 12:31–32; มาระโก 3:28–29]
“เปโตรพูดเกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอดของเราต้วยโดยกล่าวว่า ‘พระองค์ไต้ เสด็จไปประกาศพระวจนะแก่วิญญาณที่ติดคุกอยู่ ซึ่งในกาลก่อนไม่ไต้เชื่อพิง พระเจ้า คราวเมื่อพระเจ้าทรงโปรดงดโทษไวัในสมัยโนอาษ์’ (1 เปโตร 3:19, 20) เรามีเรื่องราวที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสั่งสอนวิญญาณที่อยู่ในคุกแห่งวิญญาณ ที่ถูกจองจำตั้งแต่สมัยของโนอาห้ และพระองค์ทรงสั่งสอนอะไรพวกเขา ทรง สั่งสอนว่าพวกเขาต้องอยู่ที่นั่นหรือ ไม่แน่นอน! ขอให้คำประกาศของพระองค์ เม็นพยาน ‘พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่กนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเม็นอิสระ’ (ลูกา 4:18) อิสยาห์กล่าวว่า ‘เพื่อนําผู้ถูกจำจองออกมาจากคุก นําผู้ที่นั่งใน ความมืดออกมาจากเรือนจำ’ (อิสยาห์ 42:7) จากข้อนี้เปีนที่ประจักษ์ชัดเจนว่า พระองค์มิเพียงเสด็จไปสั่งสอนพวกเขาเท่านั้น แต่ทรงปลดปล่อยหรือนําพวก เขาออกจากเรือนจำด้วย…
“พระเยโฮวาห้ผู้ยิ่งใหญ่ทรงพิจารณาเหตุการณ์ทั้งหมดเกี่ยวกับแผ่นดินโลก เกี่ยวกับแผนแห่งความรอด ก่อนที่โลกจะดำรงอยู่ หรือล่อน ‘ดาวรุ่งแซ่ช้อง’ด้วยความชื่นบาน [โยม 38:7] กับพระองค์ อดีต ปัจจุบัน และอนาคตเม็น หนึ่งรอบนิรันดร์ พระองค์ทรงทราบเรื่องการตกของแอดับ ความชั่วร้ายของผู้บี ชีวิตอยู่ก่อนนั้าท่วมโลก ความลํ้าลึกของความชั่วร้ายที่จะเกี่ยวข้องกับครอบครัว มนุษย์ ความอ่อนแอและความเข้มแข็งของพวกเขา พลังอำนาจและความรุ่งโรจน์ของพวกเขา การละทิ้งความเชื่อ ความผิด ความชอบธรรมและความชั่ว ร้ายของพวกเขา พระองค์เข้าพระทัยการตกของมนุษย์ และการไก่เขา พระองค์ ทรงรู้จักแผนแห่งความรอดและทรงขึ้ใท้เห็น พระองค์ทรงคุ้นเคยกับสถานการณ์ ของประชาชาติทั้งสิ้นและจุดหมายของพวกเขา พระองค์ทรงจัดการทุกเรื่องตาม คำแนะมําแห่งพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ทรงทราบสถานการณ์ของ ทั้งคนเม็นและคนตาย และทรงเตรียมการเต็มที่เพื่อไก่พวกเขา ตามสภาวการณ์ ต่างๆ ของพวกเขาและกฎแห่งอาณาจักรของพระผู้เม็นเจ้า ไม่ว่าในโลกนี้หรือ ในโลกที่จะมาถึง”9
พระผู้เมีนเจ้าทรงเที่ยงธรรมและมีพระเมตตาต่อทุกคนถ้วนหน้า ทั้งคนเมีนและคนตาย
“ความคิดที่คนบางคนไต้จากความยุติธรรม การพิพากษา และพระเมตตา ของพระผู้เม็นเจ้าโง่เขลาเกินกว่าที่คนฉลาดรอบรู้จะนึกถึง ตัวอย่างเช่น เม็น เรื่องธรรมดาที่ผู้สั่งสอนแต่โบราณกาลของเราจำนวนมากจะคิดว่าถ้ามนษย์ไม่ได้ เม็นอย่างที่พวกเขาเรียกว่าเปลี่ยนใจเลื่อมใส ถ้ามนุษย์ตายในสภาพนั้น เขา ตัองอยู่ในนรกชั่วนิรันดร์โดยปราศจากความหวัง เขาด้องใช้เวลาอันหาที่สุดมิได้ ในความทรมาน และไมมีวัน ไมมีวัน ไมมีวันสิ้นสุด แต่ความทุกข์นิรันดร์นี้มี โอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก การตัดเชือกผูกรองเท้า การฉีกเสื้อคลุมของผู้ประกอบ พิธี หรือสถานที่พิลึกพิสั่นที่คนหนึ่งอาศัยอยู่ อาจเป็นวิธีลงโทษเขาทางถ้อมหรือ เป็นเหตุที่ทำใท้เขาไม่รอด
“ช้าพเจ้าจะสมมติกรณีหนึ่งซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ชายสองคน ทำชั่วเท่ากัน และไม่สนใจศาสนา เกิดถ้มป่วยพร้อมกัน คนหนึ่งโชคดีมีนักเทศน์มาเยี่ยม และเขาเปลี่ยนใจเลื่อมใสก่อนตายเพียงไม่ลี่นาที ส่วนอีกคนมีนักเทศน์สามคน ถูกส่งมาเยี่ยม ไตัแก่ ช่างตัดเสื้อ ช่างทำรองเท้า และช่างบัดกรี ช่างบัดกรีด้อง เชื่อมตัามจับเช้ากับกะทะ ช่างตัดเสื้อตัองเร่งทำรังดุมบนเสื้อคลุม และช่างทำ รองเท้าตัองตอกตะปูเสริมรองเท้าบู๊ทของใครสักคน ไม่มีใครไปทันเวลา ชาย คนนั้นเสียชีวิต และไปอยู่นรก คนหนึ่งขึ้นไปอยู่ในอ้อมอกของอับราฮัม นั่งลง ในที่ประทับของพระผู้เม็นเจ้า มีความสุขต่อเนื่องชั่วนิรันดร์ ส่วนอีกคนหนึ่ง ทำดีเท่ากัน แต่ลงไปรับโทษนิรันดร์ ความทุกข์ที่ไม่อาจชดเชยได้และความสิ้น หวัง เพราะชายคนหนึ่งตัองซ่อมรองเท้าบู๊ท ตัองเจาะรังดุมเสื้อคลุม และต้อง เชื่อมตัามจับกับกะทะ “แผนของพระเยโฮวาห์ไม่อยุติธรรมถึงเพียงนั้น ช้อความในงานเขียนกักดสิทธื้ใม่ [ลวงโลก] ถึงเพียงนั้น และแผนแห่งความรอด สำหรับครอบครัวมนุษย์
คงจะไม่ขัดแย้งกับสามัญสำนึกถึงเพียงนั้น พระผู้เปีนเจ้าคงจะทรงทำหน้านิ่วคิ้ว ขมวดด้วยความแค้นเคืองต่อการกระทำเช่นนั้น เหล่าเทพคงซ่อนหน้าด้วยความอับอาย และคนมีคุณธรรมและฉลาดรอบรู้ทุกคนจะล่าถอย
“ค้ากฎของมนุษย้ให้รางวัลแต่ละคนตามที่เขาสมควรได้รับ และลงโทษผู้ กระทำผิดตามความผิดต่างๆ ของพวกเขา พระเจ้าจะไม่ทรงโหดร้ายกว่ามนุษย์ แน่นอน เพราะพระองค์ทรงเปีนผู้บัญญัติกฎที่ทรงพระปรีชา และกฎของพระ องค์ยุติธรรมกว่า พระราชบัญญัติของพระองค์เที่ยงธรรมกว่า และการตัดสิน พระทัยของพระองค์สมบูรณ์แบบกว่าการตัดสินใจของมนุษย์ มนุษย์พิพากษา เพื่อนมนุษย์ตามกฎและลงโทษตามบทลงโทษของกฎหมายฉันใด พระผู้เปีนเจ้าแห่งสวรรค์จะทรงพิพากษา ‘ตามการกระทำซึ่งทำไว้เมื่ออยู่ในร่างกาย’ ฉัน นั้น [ดู แอลมา 5:15] การกล่าวว่าคนนอกศาสนาจะถูกตัดสินลงโทษเพราะ พวกเขาไม่เชื่อพระกิตติคุณคงเม็นเรื่องไร้สาระอย่างยิ่ง และการกล่าวว่าชาวยิว ทุกคนจะต้องถูกตัดสินลงโทษฐานไม่เชื่อในพระเยซูคงเม็นเรื่องเหลวไหลพอกัน เพราะ ‘ผู้ที่ยังไม่ได้ยินถึงพระองค์จะ เชื่อในพระองค์อย่างไรได้ และเมื่อไม่มีผู้ ใดประกาศให้เขาพิง เขาจะได้ยินถึงพระองค์อย่างไรได้ และถ้าไม่มีใครใช้เขาไป เขาจะไปประกาศอย่างไรได้’ [ดู โรม 10:14–15] ด้วยเหตุนี้ทั้งชาวยิวและคน นอกศาสนาจึงไม่สมควรได้รับโทษเพราะเหตุไม่ยอมรับความคิดเห็นที่ขัดแย้ง กันเองของนิกายต่างๆ หรือเพราะไม่ยอมรับประจักษ์พยานใดๆ ยกเว้นประจักษ์พยานที่ส่งมาจากพระผู้เป็นเจ้า เพราะผู้สั่งสอนจะสอนไม่ได้เว้นแต่จะมีคนใช้ เขาไปฉันใด ผู้พิงจะเชื่อไม่ได้ [เว้นแต่] เขาจะได้ยินผู้สั่งสอน ‘ที่ใช้มา’ฉัน นั้น และจะถูกกล่าวโทษด้วยเรื่องที่เขาไม่ได้ยินไม่ได้ คนที่ไม่มีกฎ จะด้องถูก พิพากษาโดยไม่ใช้กฎ10
หน้าที่และสิทธิพิเศษของเราคือรับบัพติศมาและรับการยืนยันแทนผู้ที่เสียชีวิตโดยปราศจากพระกิตติคุณ
“เมื่อพูดถึงพรที่เกี่ยวช้องกับพระกิตติคุณ และผลอันเกี่ยวเนื่องกับการไม่เชื่อ พิงช้อกำหนด บักมีคนถามเราบ่อยๆ ว่า แล้วสภาพของบรรพบุรุษเราจะเปีน อย่างไร พวกท่านจะถูกตัดสินโทษเพราะไม่เชื่อพิงพระกิตติคุณทั้งที่ไม่เคยได้ยิน มาล่อนอย่างนั้นหรือ แน่นอนว่าไม่ แต่พวกท่านจะได้รับสิทธิพิเศษอย่างเดียว กันกับที่เราได้รับที่นี่ โดยผ่านสื่อกลางของฐานะปุโรหิตอันเป็นนิจซึ่งไม่เพียง ปฏิบัติบนแผ่นดินโลกเท่านั้นแต่ปฏิบัติในสวรรค์ด้วย และการจัดสรรตามพระ ปรีชาญาณของพระเยโฮวาห์ผู้ยิ่งใหญ่ เพราะเหตุนี้บุคคลเหล่านั้นที่อิสยาห์พูด ถึง [ดู อิสยาห์ 24:21–22] จึงได้รับการเยือนจากฐานะปุโรหิตและออกจากคุก ด้วยหลักธรรมเดียวกันกับที่ผู้ไม่เชื่อฟ้งในสมัยของโนอาห์ได้รับการเสด็จเยือน จากพระผู้ช่วยให้รอด [ผู้ทรงครอบครองฐานะปุโรหิตแห่งเม็ลคิเซเด็คอันเป็นนิจ] และทรงสั่งสอนพระกิตติคุณให้พวกเขาในคุก และเพื่อให้เปีนไปตาม [ข้อเรียก ร้อง] ทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อนที่ยังมีชีวิตอยู่จึงด้องรับมัพติศมาแทน เพื่อนที่ล่วงลับไปแล้ว และจึงเปีนไปตามข้อเรียกร้องของพระผู้เปีนเจ้าดังนั้น ซึ่งกล่าวว่า ‘ภ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่จากนั้าและพระวิญญาณ ผู้นั้นจะเข้าใน แผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้’ [ยอห์น 3:5] แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้รับมัพติศมา เพื่อตนเอง แต่เพื่อคนตายของพวกเขา… เมื่อพูดถึงหลักคำสอนข้างด้น เปาโลกล่าวว่า ‘มิฉะนั้นคนเหล่านั้นที่รับมัพติศมาสำหรับคนตายเขาทำอะไรกัน ล้าพระเจ้าไม่ทรงชุบคนตายให้เปีนขึ้นมา เหตุไฉนจึงมีคนรับมัพติศมาสำหรับ คนตายเล่า’ (1 โครินธ์ 15:29)…
“และมัดนี้ขณะที่จุดประสงค์อันยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้ารีบเร่งไปลู่ความ สำเร็จ และเรื่องต่างๆ ที่ศาสดาพูดไว้จะบังเกิดสัมฤทธิผล ขณะที่อาณาจักรของ พระผู้เป็นเจ้าได้รับการสถาปนาบนแผ่นดินโลก และสั่งต่างๆ กลับคืนลู่ระเบียบ ที่มีมาแต่โบราณ พระเจ้าทรงสำแดงหน้าที่และสิทธิพิเศษนี้ให้ประจักษ์ต่อเรา และเราได้รับพระบัญชาให้รับมัพดิศมาแทนคนตายของเรา โดยทำให้คำของ โอบาดีษ์บังเกิดสัมฤทธิผลเมื่อพูดถึงความรุ่งโรจน์ของยุคสุดห้าย ‘พวกกู้ชาติจะ ขึ้นไปที่กูเขาศิโยนเพื่อปกครองภูเขาเอซาว และราชอาณาจักรนั้นจะตกเป็นของ พระเจ้า’ [ดู โอบาดีห์ 1:21] ทัศนะที่มีต่อเรื่องเหล่านี้ทำให้พระคัมภีร์แห่งความ จริงสอดคล้องกัน แสดงให้มนุษย์เห็นว่าวิถีของพระผู้เป็นเจ้าถูกด้อง ทำให้ ครอบครัวมนุษย์เสมอภาคกัน และประสานกลมกลืนกับหลักธรรมทุกประการ ของความชอบธรรม ความยุติธรรม และความจริง เราจะสรุปด้วยคำพูดของ เปโตร ‘จงให้เวลาที่ผ่านไปแล้วนั้นเพียงพอสำหรับการกระทำสั่งที่คนต่างชาติ ชอบกระทำ’ ‘ด้วยเหตุนี้เอง ข่าวประเสริฐจึงได้ประกาศแห้แก่กนที่ตายไปแล้ว เพื่อเขาจะมีชีวิตทางจิตวิญญาณเช่นพระเจ้า แม้ว่าเมื่อเขายังอยู่ในโลกนี้ เขาถูก พิพากษาลงโทษเหมือนอย่างมนุษย์ทั่วๆ ไป’ [1 เปโตร 4:3, 6]”11
ข้อเลนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะศึกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูกวามช่วย เหลือเพิ่มเติมได้ที่หน้า ⅶ–ⅹⅱ
-
อ่านทวนหน้า 433–435 สังเกตว่าคำสอนเรื่องความรอดสำหรับคนตายส่งผล ต่อโจเซฟ สมิธและครอบครัวท่านอย่างไร คำสอนดังกล่าวมีผลอะไรต่อท่าน และครอบครัว
-
อ่านทวนคำสอนของศาสดาโจเซฟในหน้า 436–439 เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า พระบิดาและพระเยซูคริสต์ คำสอนเหล่านี้มีอิทธิพลต่อความคิดและความ รู้สึกของท่านในทางใดน้างเกี่ยวกับพระบิดาในสวรรค์และพระเยซูคริสต์ กำสอนเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความรอดของคนตายในทางใด
-
อ่านคำสอนของศาสดาในหน้า 439–440 พระผู้เป็นเจ้าทรงพิพากษาลูกๆ ของ พระองค์อย่างไร
-
ใจเซฟ สบิธกล่าวว่าบัพติศมาแทนคนตายเป็น “หน้าที่และสิทธิพิเศษ” (หน้า 440–441) งานนี้เป็นหน้าที่ในทางใด ท่านเคยมีประสบการณ์อะไร ป้างที่ท่านรู้สึกว่านี่เป็นสิทธิพิเศษ ทำนจะท่าอะไรได้น้างเพื่อล่งเสริมงานของ พระเจ้าสำหรับผู้ล่วงสับไปแล้ว บิดามารดาจะช่วยใน้ลูกๆ มีส่วนในงานนี้ได้ อย่างไร
-
หลักคำสอนเรื่องความรอดล่าหรับคนตายแสดงใน้เห็นถึงความยุติธรรมของ พระผู้เป็นเจ้าอย่างไร และแสดงใน้เห้นถึงพระเมตตาของพระองค์อย่างไร หลังจากอ่านบทนี้ ท่านจะอธิบายหลักคำสอนเรื่องนี้ใน้คนที่นับถือศาสนาอื่น ว่าอย่างไร
ข้อพระคัมภีร์ที่เคี่ยวข้อง: อิสยาห์ 49:8–9; 61:1–3; ยอห์น 5:25; ค.พ. 138:11–37