บทที่ 4
พระกัมภีร์มอรมอน: ศิลาหลักแห่งศาสนาฃองเรา
“ข้าพเจ้าบอกพี่น้องว่าพระคัมภีร์มอรมอน เป็นหนังสือที่ถูกต้องที่สุดบนแผ่นดินโลก และเป็นศิลาหลักแห่งศาสนาของเรา”
จากชีีวิตฃองโจเซฟ ลโมิธ
สามปีกว่าผ่านไปนับตั้งแต่เช้าวันนั้นในปี ค.ศ. 1820 เมื่อโจเซฟ สมิธสวดอ้อนวอนทูลขอให้รู้ว่าท่านควรเช้าร่วมกับศาสนาจักรใด เวลานี้ศาสดาหนุ่มอายุ 17 ปี และท่านปรารถนาจะรู้ฐานะของท่านต่อเบื้องพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้าและ ได้รับอภัย ในคืนวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1823 โจเซฟปลีกตัวขึ้นไปบนห้อง นอนใด้หลังคาในห้านไห้ซุงของครอบครัวที่เมืองพอลไมรา รัฐนิวยอร์ก หลังจากทุกคนในห้องหลับหมดแอ้วท่านยังไมหลับแต่ำลังสวดอ้อนวอนอย่างจริงใจ เพื่อให้รู้พระประสงค์ของพระผู้เปีนเจ้าที่ทรงมืดอท่านมากขึ้น “ช้าพเจ้าห้อมตน สวดและอ้อนวอนพระผู้เปีนเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ” ท่านกล่าว “เพื่อการยก โทษบาปและความผิดพลาดทั้งหมดของช้าพเจ้า และเพื่อการแสดงให้ประจักษ์ แก่ข้าพเจ้าด้วย เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้ถึงสภาพและฐานะของช้าพเจ้าต่อพระองค์ เพราะช้าพเจ้ามืความเชื่อมั่นเต็มที่ว่าจะได้รับการแสดงให้ประจักษ์จากสวรรค์ตัง ที่ข้าพเจ้าได้รับมาก่อนครั้งหนึ่ง” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:29)
เพื่อตอบกำสวดอ้อนวอนของโจเซฟ ท่านเห็นความสว่างปรากฎในห้องซึ่ง สว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ จนห้อง “สว่างยิ่งกว่าตอนเที่ยงวัน” ทูตสวรรค์องค์หนึ่ง ปรากฎที่ข้างเตียง โดยยืนอยู่ในอากาศ สวมเสื้อคลุม “ขาวผุดผ่อง” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:30–31) ทูตผู้นี้คืกํโมโรใน ศาสดาชาวนีไฟคนสุดห้าย ผู้ฟัง แผ่นจารึกเมื่อหลายร้อยปีก่อนซึ่งพระคัมภีร์มอรมอนจารึกอยู่บนนั้นและท่านถือ กุญแจเกี่ยวเนื่องกับบันทึกศักดี์สิทธิ์นี้ (ดู ค.พ. 27:5) ท่านถูกส่งมาบอกโจเซฟ ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงให้อภัยบาปของท่าน1 และทรงมีงานใหญ่ให้ท่านกํา ส่วน หนึ่งของงานนี้คือโจเซฟต้องไปยังเนินเขาใกล้บ้านที่มีบันทึกศักดี้สิทธี้จารึกบน แผ่นทองคำฝังอยู่ บันทึกเหล่านี้ศาสดาผู้มีชีวิตอยู่ในทวีปอเมริกาแต่โบราณ เขียนไล้ โจเซฟต้องแปลบันทึกนี้และนำออกมาสู่โลกโดยของประทานและอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า
วันรุ่งขึ้น โจเซฟไปยังเนินเขาที่ฝังแผ่นจารึกพระคัมภีร์มอรมอน ที่นั่นท่าน พบโมโรไนและเห็นแผ่นจารึก แต่โมโรไนบอกว่าท่านจะยังไมไต้รับจนกว่าจะ ครบสี่ปี ท่านต้องเริ่มช่วงเวลาสำคัญของการเตรียมตัวเพื่อจะทำให้ท่านคู่ควร แก่งานคักดิ์สิทธิ์ของการแปลพระคัมภีร์มอรมอน โจเซฟกลับไปที่เนินเขาทุกๆ วันที่ 22 กันยายนติดต่อกันสี่ปีเพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติมจากโมโรไน (ดู โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:33–54) ช่วงเวลานี้ ท่านยังไต้รับ “การเยือนหลายครั้ง จากเหล่าเทพของพระผู้เป็นเจ้าผู้เผยความน่าเกรงขามและความรุ่งโรจน์ของ เหตุการณ์ต่างๆ ที่ควรอุบัติขึ้นในวันเวลาสุดบ้าย”2
การเตรียมช่วงนี้นำพรของการแต่งงานมาสู่ชีวิตของศาสดาต้วย ในเดือน มกราคม ค.ศ. 1827 ท่านแต่งงานกับเอ็มมา เฮล ผู้ที่ท่านเคยพบระหว่างทํางาน อยู่ในเมืองฮาร์โมนี รัฐเพนซิลเวเนีย เอ็มมาจะเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของศาสดา ตลอดการปฏิบัติศาสนกิจของท่าน วันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1827 เธอไปที่ เนินเขากับท่านและรออยู่ใกล้ๆ ขณะโมโรไนมอบแผ่นจารึกไว้ในมือศาสดา
โดยที่มืบันทึกศักดิ์สิทธิ์อยู่ในครอบครอง ในไข่ช้าโจเซฟก็ทราบเหตุผลที่ โมโรไนเดือนท่านให้เก็บรักษาบันทึกอย่างดี (ดู โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:59–60) กลุ่มคนร้ายในท้องที่เริ่มก่อกวนศาสดา โดยพยายามขโมยแผ่นจารึกอยู่ หลายครั้ง ในวันอันหนาวเหน็บของเดือนธันวาคม ค.ศ. 1827 โดยหวังว่าจะพบ สถานที่ให้ทํางานไต้อย่างสงบ โจเซฟกับเอ็มมาจึงออกจากบ้านครอบครัวสมิธ ไปหลบภัยอยู่กับบิดามารดาของเอ็มมาในฮาร์โมนี ที่นั่นศาสดาเริ่มงานแปล เดือนกุมภาพันธ์ปีต่อมา มาร์ติน แฮร์รส สหายของครอบครัวสมิธจากพอลไมรา ไต้รับการดลใจให้ไปที่ฮาร์โมนีเพื่อช่วยศาสดา โดยมืมาร์ตินเป็นผู้จดคำแปลโจเซฟจึงทําการแปลบันทึกคักดิ์สิทธิ์ต่อไป
ผลงานของศาสดาต่อมาไต้รับการจัดพิมพัโดยมืชื่อว่าพระคัมภีร์มอรมอน หนังสือพิเศษเล่มนี้ซึ่งประกอบต้วยความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณจะเป็นประจักษ์พยานถึงความจริงของศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย และพันธกิจแห่งการเป็นศาสดาของโจเซฟ สมิธ
คำสอนฃองโจเซฟ สมิธ
พระคัมภีร์มอรมอนแปลโดยของประทานและ อำนาจของพระผู้!ป็นเจ้า
เพื่อตอบคำถามว่า “ท่านได้พระคัมภีร์มอรมอนอย่างไรและที่ไหน” โจเซฟ ตอบว่า “โมโรไนผู้ฝังแผ่นจารึกไว้ที่เนินเขาในแมนเชสเตอร์ ออนแทริโอเคาน์ตี้ รัฐนิวยอร์ก ผู้สิ้นชีวิตและลุกขึ้นจากความตายอีกครั้ง ได้มาปรากฎต่อข้าพเจ้า และบอกข้าพเจ้าว่าแผ่นจารึกอยู่ที่ไหน และให้คำแนะนำแก่ข้าพเจ้าว่าจะได้แผ่น จารึกอย่างไร ข้าพเจ้าได้แผ่นจารึก พร้อมกับยูรัมและธัมมัม ซึ่งข้าพเจ้าแปล แผ่นจารึกโดยใช้เครื่องมือดังกล่าว และด้วยเหตุนี้พระคัมภีรมอรมอนจึงออก มา”3
“[โมโรไน] บอกข้าพเจ้าว่าแผ่นจารึกซึ่งจารึกความย่อของบันทึกของเหล่า ศาสดาสมัยโบราณที่เคยอยู่บนทวีปนี้ถูกฝังไว้ที่ไหน… บันทึกเหล่านี้ถูกจารึกไว้ บนแผ่นโลหะซึ่งสภาพที่เห็นภายนอกคือทองคำ แต่ละแผ่นกว้างหกนิ้วและ ยาวแปดนิ้ว หนาไข่เท่าแผ่นดีบุกธรรมดา เต็มไปด้วยอักขระเป็นตัวอักษรอียิปต์ และรวมเข้าด้วยกันเหมือนเล่มหนังสือ แต่เป็นการเย็บเล่มโดยห่วงสามห่วง แผ่นจารึกชุดนี้มืความหนาประมาณหกนิ้ว ส่วนหนึ่งของบันทึกถูกผนึกไว้ ตัว อักษรบนส่วนที่ถูกผนึกมืขนาดเล็กและจารึกไว้อย่างสวยงาม ทั้งชุดมืร่องรอย มากมายที่แสดงถึงความเก่าแก่และความเชี่ยวชาญอย่างมากในศิลปะการจารึก มีเครื่องมือแปลกตาอย่างหนึ่งพบอยู่กับบันทึก ซึ่งคนโบราณเรียกว่า ‘ยูรัมและ ธัมบัม’ ประกอบด้วยหินโปร่งใสสองก้อนอยู่ในกรอบด้นโด้งที่ผูกติดอยู่กับแผ่น ทับทรวง ข้าพเจ้าแปลบันทึกโดยของประทานและอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าโดย มืยูรัมและธัมบัมเป็นสื่อกลาง”4
“โดยอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าข้าพเจ้าแปลพระคัมภีร์มอรมอนจากอักษรภาพ โบราณซึ่งมืความรู้ซึ่งสูญหายไปจากโลก เด็กหนุ่มไร้การศึกษาอย่างข้าพเจ้ายืน โดดเดี่ยวในเหตุการณ์อันนำอัศจรรย์นั้นโดยใช้การเปีดเผยใหม่ต่อสู้กับปัญญา ของโลกและความไม่รู้ที่สั่งสมมาสิบแปดศตวรรษ”5
“ข้าพเจ้าประสงค์จะบอก ณ ที่นี้ว่าหน้าชื่อเรื่องของพระคัมภีร์มอรมอนแปล จากแผ่นจารึกโดยตรง นำมาจากแผ่นสูดท้ายด้านช้ายมือของแผ่นจารึกทั้งชุด ซึ่ง มืบันทึกที่แปล้แห้วบรรจุอยู่ ภาษาของงานเขียนทั้งหมดเหมือนงานเขียนโดย ทั่วไปในภาษาฮีบรู [นั่นก็คือเขียนจากขวาไปซ้าย] และหน้าชื่อเรื่องดังกล่าว ไม่ใช่ความเรียงสมัยใหม่ ทั้งไม่ใช่ความเรียงของข้าพเจ้าหรือของมนุษย์คนใดที่ เคยมีชีวิตหรือยังมีชีวิตอยู่ในชั่วอายุนี้… ข้าพเจ้าให้หน้าชื่อเรื่องส่วนนั้นของ พระคัมภีร์มอรมอนฉบับภาษาอังกฤษไว้ข้างล่างซึ่งเป็นการแปลจริงตามหน้าชื่อ เรื่องของพระคัมภีร์มอรมอนต้นฉบับที่บันทึกไว้บนแผ่นจารึก
“ ‘พระคัมภีร์มอรมอน
“ ‘เรื่องราวซึ่งเขียนไว้ด้วยมือของมอรมอนบนแผ่นจารึก ที่ได้มาจากแผ่นจารึกของนีไฟ
“‘ดังนั้นพระคัมภีร์นี้จึงเป็นความย่อจากบันทึกของผู้คนของมีไฟ และของ ชาวเลบันต้วย—เขียนถึงชาวเลบันผู้เป็นส่วนหนึ่งที่เหลืออยู่ของเชื้อสายอิสราเอล และถึงชาวยิวและคนต่างชาติด้วย—เขียนโดยทางบัญญัติและโดยวิญญาณของการพยากรณ์และของการเปีดเผยด้วย—เขียนและผนึกและซ่อนไว้กับ พระเจ้าเพื่อจะไต้ไม่ถูกทำลาย—เพื่อจะออกมาโดยของประทานและอำนาจของ พระผู้เป็นเจ้าเพื่อการแปลพระคัมภีร์นั้น—ผนึกไว้โดยมือของโมโรไน และซ่อน ไว้กับพระเจ้า เพื่อจะออกมาในเวลาอ้นเหมาะสมโดยผ่านคนต่างชาติ—การ แปลพระคัมภีร์นั้นได้โดยของประทานของพระผู้เป็นเจ้า
“‘ความย่อที่เอามาจากหนังสืออีเธอร์มีอยู่ด้วย ซึ่งเป็นบันทึกของผู้คนของ เจเร็ดซึ่งกระจัดกระจายไปในเวลาที่พระเจ้าทรงทำให้ภาษาของผู้คนสับสนเมื่อ คนเหล่านั้นกำลังสร้างหอสูงเพื่อไปให้ถึงสวรรค์—อันเป็นไปเพื่อแสดงแก่ผู้ที่ เหลืออยู่ของเชื้อสายอิสราเอลว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่อะไรบ้างเพื่อบรรพ บุรุษของเขา และเพื่อเขาจะได้รู้จักพันธสัญญาของพระเจ้าว่าเขาจะไข่ถูกทอดทิ้ง ตลอดกาล—และเพื่อให้ชาวยิวและคนต่างชาติตระหนักด้วยว่า พระเยซู คือ พระคริสต์ พระผู้เป็นเจ้าผู้สถิตนิรันดร์ ทรงแสดงองค์ให้ประจักษ์แก่ประชาชาติ ทั้งหลาย—และบัดนี้หากจะมีข้อบกพร่องก็เป็นความผิดของมนุษย์ ดังนั้นจง อย่าตำหนิเรื่องของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อจะได้พบว่าท่านไข่มีจุดต่างพร้อยที่บัลลังก์ พิพากษาของพระคริสต์’”6
พระปรีชาญาณของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่า ความฉลาดแกมโกงของมาร
เมื่อถึงอันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1828 งานของโจเซฟ สมิธ เกี่ยวกับการ แปลแผ่นจารึกพระคัมภีร์มอรมอนปีต์นฉบับอยู่ 116 หน้า จากนั้นก็เถิดเหตุการณ์หนึ่งกี่สอนบทเรียนอันถึกซึ้งแก่ศาสดาเกี่ยวกับพระหัตถ์นำทางของพระผู้เป็นเจ้าในการนำบันทึกคักดิ์สิทธิ์นี้ออกนา ศาสดาบันทึกกังนี้ “ไข่นานหลังจาก คุณแฮร์ริสเริ่มเขียนให้ข้าพเจ้า เขาก็เริ่มรบเร้าข้าพเจ้าเพื่อขออนุญาตนำงานเขียน ไปให้คนที่บ้านดู และต้องการให้ข้าพเจ้าทูลถามพระเจ้าผ่านยูรัมและธัมบัมว่า เขาจะทำเช่นนั้นไต้หรือไข่ ข้าพเจ้าทูลถาม และคำตอบคือเขาต้องไข่ทำเช่นนั้น อย่างไรก็ดี เขาไข่พอใจคำตอบที่ไต้รับและต้องการให้ข้าพเจ้าทูลถามอีกครั้ง ข้าพเจ้าทำตาม และคำตอบเป็นเหมือนครั้งก่อน เขายังไข่พอใจและยืนกรานจะ ให้ข้าพเจ้าทูลถามอีกครั้ง
“หลังจากทนรบเร้าไข่ไหวข้าพเจ้าจึงทูลถามพระเจ้าอีกครั้ง และพระองค์ ทรงอนุญาตให้เขาเอางานเขียนไปโดยมีเงื่อนไขว่าจะดูไต้เฉพาะพรืเซิร์ฟเวด แฮร์ริสพื่ชาย ภรรยา พ่อแม่ และนางก็อบบ์พื่สาวของภรรยาเท่านั้น จากคำ ตอบครั้งสูดท้ายนี้ ข้าพเจ้าขอให้เขาทำพันธสัญญาก้บข้าพเจ้าอย่างจริงจังว่าเขา จะไข่ทำนอกเหนือคำสั่งที่ไต้รับ เขาให้สัญญา รับปากตามที่ข้าพเจ้าขอ และนำ งานเขียนไปตามทางของเขา อย่างไรก็๑ ทั้งๆ ที่มีข้อจำกัดีอย่างเคร่งครัดไว้ให้ เขา และความจริงจังของพันธสัญญาที่เขาทำไว้กับข้าพเจ้า เขาก็ยังให้คนอื่นดู และคนเหล่านั้นใข้อุบายเอางานเขียนไปและไข่ได้คืนอีกเลยจนถึงวันนี้”7
ในคำนำของพระคัมภีร์มอรมอนฉบ้บแรก ศาสดาประกาศว่าการหายไปของ 116 หน้าไม่สามารถทำให้จุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าล้มเหลวได้: “เนื่องด้วย มีข่าวลือมากมายแพร่สะพัดไปทั่วเกี่ยวกับ [พระคัมภีร์มอรมอน] และผู้ประสงค์ ร้ายใข้มาตรการมากมายที่ไข่ชอบด้วยกฎหมายทำลายข้าพเจ้าและงานนั้น ข้าพเจ้าจึงจะบอกให้ท่านทราบว่าโดยของประทานและอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าแปลและให้จดไว้หนึ่งร้อยสิบหกหน้าซึ่งข้าพเจ้านำมาจากหนังสือลืไฮ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่มอรมอนย่อมาจากแผ่นจารึกของลืไฮ และมีคนขโมยไปจาก ข้าพเจ้า แม้ข้าพเจ้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาคืนก็ตาม—และโดยได้รับบัญชาจากพระเจ้าว่าข้าพเจ้าไข่ควรแปลเรื่องเดิมอีกเพราะซาตานได้ใส่ไว้ในใจพวก เขาให้ลองดีพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าโดยเปลี่ยนเนื้อความเพื่อให้อ่านต่างไปจากที่ ข้าพเจ้าแปลและให้จดไว้ และหากข้าพเจ้านำเนื้อความเดียวกันนี้ออกมาอีก หรืออีกนัยหนึ่ง หากข้าพเจ้าแปลเรื่องเดิมอีกครั้ง ส่วนที่ถูกขโมยไปจะถูกพิมพ์ ออกมา และซาตานจะยั่วยุใจของคนรุ่นนี้ไม่ให้พวกเขายอมรับงานดังกล่าว แต่ ดูเถิด พระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า เราจะไข่ยอมให้ซาตานทำแผนการชั่วของเขา สำเร็จในเรื่องนี้ ฉะนั้นเจ้าจะแปลจากแผ่นจารึกของมีไฟจนมาถึงเรื่องซึ่งเจ้าแปล ซึ่งเจ้าเก็บไว้ และดูเถิด เจ้าจงพิมพ์นันเป็นบันทึกของมีไฟ และเราจะทำให้คน ที่เปลี่ยนแปลงอำของเราจำนนดังนั้น เราจะไข่ยอมให้เขาทำลายงานของเรา แห้จริงแท้ว เราจะแสดงกับพวกเขาว่าปรีชาญาณของเรายิ่งใหญ่กว่าความฉลาด แกมโกงของมาร [ดู ค.พ. 10:38–43]
“ด้วยเหตุนี้เพื่อเชื่อฟังพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจึงทำตามที่พระองค์ทรงบัญชาข้าพเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ใดยพระคุณและพระเมตตาของพระองค์”8
พระคัมภีร์มอรมอนเป็นพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า
“ข้าพเจ้าบอกพี่น้องทั้งหลายว่าพระคัมภีร์มอรมอนเปีนหนังสือที่ถูกด้องที่สุด บนแผ่นดินโลก และเป็นศิลาหลักแห่งศาสนาของเรา และมนุษย์จะใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นโดยการปฏิบัติตามหลักอำสอนที่อยู่ในนั้นมากกว่าหนังสือเล่ม อื่น”9
หลักแห่งความเชื่อข้อ 8: “เราเชื่อว่าพระคัมภีร์ไมเมิจเป็นคำของพระผู้เป็นเจ้าตราบที่แปลมันถูกต้อง เราเชื่อต้วยว่าพระคัมภีร์มอรมอนเป็นคำของพระผู้เป็นเจ้า”10
“[พระคัมภีร์มอรมอน] บอกเราว่าพระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงปรากฎองค์ บนทวีปนี้หลังจากพระองค์ฟืนคืนพระชนม์ บอกว่าพระองค์ทรงหว่านพระกิตติคุณไว้ที่นี่อย่างครบภ้วนบริบูรณ์ พร้อมต้วยพลังอำนาจ และพรทั้งหมดของ พระกิตติคุณ พวกเขามีอัครสาวก ศาสดา ศิษยากิบาล ผู้สอน และผู้ประสาทพร มีระเบียบ ฐานะปุโรหิต พิธีการ ของประทาน อำนาจ และพรเดียวก้บที่ทวีป ทางตะวันออกไต้รับ บอกว่าผู้คนถูกตัดออกเพราะการล่วงละเมิดของพวกเขา บอกว่าศาสดาคนสุดท้ายที่อยู่ในบรรดาพวกเขาไต้รับบัญชาให้เขียนความย่อ เกี่ยวกับคำพยากรณ์ ประวัติศาสตร์ เป็นต้น และซ่อนไว้ในดิน และบอกว่า ความย่อตังกล่าวจะออกมาและเป็นหนึ่งเดียวกับพระคัมภีร์ไบเบิลเพื่อให้บรรลุ จุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าในวันเวลาสุดห้าย”11
เดวิด ออสบอร์นอยู่เมื่อโจเซฟ สบิธสอนที่ฟาร์วสท์ มิสซูรี ในปี ค.ศ. 1837 เขาเล่าถ้อยคำของศาสดาดังต่อไปนี้ “พระคัมภีร์มอรมอนจริง เพราะ นั่นคือจุดประสงค์ของมัน ข้าพเจ้าคาดหวังให้รับผิดชอบต่อประจักษ์พยานนี้ใน วันพิพากษา12
พระคัมภีร์ให้กำลังใจและปลอบโยนเรา และช่วยให้เราเข้าใจความรอด
“เรื่องที่เกี่ยวข้องคับการเสริมสร้างอาณาจักรคือการพิมพ์และการเผยแพร่ พระคัมภีร์มอรมอน พระคัมภีร์คำสอนและพันธสัญญา… และ [พระคัมภีร์ไมเมิล] ฉบับแปลใหม่ ไข่จำเป็นต้องพูดอะไรเลยเกี่ยวกับงานเหล่านี้ คนที่อ่าน และคนที่ดื่มจากสายธารแห่งความรู้ซึ่งหลั่งไหลมารู้ว่าจะประจักษ์ในคุณค่าไต้ อย่างไร และแห้คนโง่อาจเย้ยหยัน แต่พระคัมภีร์เหล่านี้มีไว้เพื่อให้มนุษย์เข้าใจ ความรอดอย่างถ่องแท้ กวาดล้างตะกอนของความงมงายที่มีมานาน เผยให้ ทราบถึงปวงมหกิจของพระเยโฮวาห์ที่ทรงกระทําสำเร็จแล้ว และสำแดงอนาคต ทั้งในสรรพสิ่งที่น่าหวาดหวั่นและน่าชื่นชมยินดี ไข่ต้องสงสัยเลยว่าคนที่ไต้ ประโยชน์จากการศึกษางานเหล่านี้จะแข่งคันส่งพระคัมภีร์ออกไปทั่วโลกต้วย ความกระดีอรือร้น เพื่อบุตรทุกคนของแอตับจะไต้รับเอกสิทธี้เดียวกันและปลื้ม ปีติในความจริงเดียวกัน”13
“[เราจัดพิมพ์พระคัมภีร์ยุคสุดท้าย] เพื่อใท้กำลังใจและปลอบโยนผู้มีใจซื่อสัตย์และเดินทางต่อไปในความพอใจ ขณะที่จิตวิญญาณของพวกเขาเปิดรับและ ความเข้าใจของพวกเขากระจ่างเพราะความรู้เรื่องงานของพระผู้เป็นเจ้าผ่าน บรรพบุรุษในอดีตเช่นเดียวกับสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำในยุคสุดท้ายเพื่อให้ ภ้อยกำของบรรพบุรุษบังเกิดลัมฤทธิผล”14
“เรารับงานเขียนศักดิ์สิทธิ์ไว้ในมือเรา และยอมรับว่างานเขียนเหล่านี้ได้รับ การดลใจโดยตรงเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ เราเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงถ่อมองค์ ตรัสจากสวรรค์และทรงประกาศพระประสงค์ของพระองค์เกี่ยวกับครอบครัว มนุษย์ ประทานกฎที่เที่ยงธรรมและคักดิ์สิทธิ์ให้พวกเขา ตั้งกฎควบคุมความ ประพฤติของพวกเขา และนำพวกเขาไปในทางตรง เพื่อในเวลาอันเหมาะสม พระองค์จะทรงรับพวกเขาไว้กับพระองค์และทำใท้พวกเขาเป็นทายาทร่วมกับ พระบุตรของพระองค์
“แต่เมื่อยอมรับความจริงที่ว่าความประสงค์โดยตรงของสวรรค์มีีอยุ่ในพระคัมภีร์ ในฐานะมนุษย์ที่มีเหตุผลเราไข่ถูกผูกมัดให้ดำเนินชีวิตตามหลักคำสอน ทั้งหมดในนั้นหรอกหรือ หากเพียงแต่ยอมรับว่านี่คือความประสงค์ของสวรรค์ เท่านั้นจะเอื้อประโยชน์ต่อเราหรือหากเราไม่ปฏิบัติตามคำสอนทั้งหมดในนั้น เรามิได้สบประมาทพระผู้ทรงปรีชาญาณสูงสุดของสวรรค์หรอกหรือเมื่อเรายอม รับความจริงของคำสอนในนั้นแต่ไข่ปฏิบัติตาม วิถีแห่งความประพฤติเช่นนั้น มิได้ทําให้เราลงตํ่ากว่าความรู้ของเราและปัญญาอันประเสริฐที่สวรรค์ประสาท ให้เราหรอกหรือ เพราะเหตุผลเหล่านี้ หากเรามีการเปีดเผยโดยตรงที่เราได้รับ จากสวรรค์ แน่นอนว่าการเปิดเผยเหล่านั้นย่อมมิได้ประทานไว้ให้้ล้อเล่นโดยไม่มำความไม่พอใจและการแก้แด้นที่จะลงมาบนศีรษะผู้ล้อเลียน หากมีความยุติธรรมในสวรรค์ ทุกคนที่ยอมรับความจริงและพลังแห่งคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า จะด้องยอมรับพรและการสาปแช่งของพระองค์ดังที่เขียนไว้ในหนังสือศักดิ์สิทธิ์ ดังกล่าว…
“…คนที่ตระหนักถึงพลังอำนาจของพระผู้ทรงพลานุภาพอันไพศาล ซึ่งถูก จารึกไว้บนสวรรค์ย่อมมองเห็นลายพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าในหนังสือคักดลทธี้นี้ และคนที่อ่านบ่อยที่สูดจะชอบมากที่สูด และคนที่คุ้นเคยกับหนังสือนี้ จะรู้จักพระหัตถ์นั้นไข่ว่าเขาจะเห็นที่ใดก็ตาม และเมื่อพบแล้ว เขาจะไข่เพียง ยอมรับเท่านั้นแต่จะเชื่อฟ้งหลักคำสอนทั้งหมดที่อยุ่ในนั้นด้วย”15
“โอ้อัครสาวกสิบสอง! และสิทธิชนทั้งหลายทั้งปวง! จงใช้ กุญแจ ดอก สำคัญนี้ให้เป็นประโยชน์—ในการทดลองทั้งหมดของท่าน ความเดือดร้อน การล่อลวง ความทุกข์ทรมาน พันธนาการ การคุมขัง และความตาย จงสนใจ กุญแจดอกนั้น เพื่อท่านจะไข่ทรยศต่อสวรรค์ เพื่อท่านจะไข่ทรยศต่อพระเยซูคริสต์ เพื่อท่านจะไข่ทรยศต่อพื่น์อง เพื่อท่านจะไข่ทรยศต่อการเปีดเผยของ พระผู้เป็นเจ้า ไข่ว่าจะในพระคัมภีร์ไบเบิล พระคัมภีร์มอรมอน หรือพระคัมภีร์ คำสอนและพันธสัญญา หรือพระคัมภีร์เล่มอื่นที่เคยประทานไว้และจะประทาน และเปิดเผยต่อมนุษย์ในโลกนี้หรือโลกที่จะมาถึง”16
ข้อเลนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะศึกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเติมได้ที่หน้า ⅶ–ⅹⅱ
-
อ่านทวนประสบการณ์ที่โจเซฟ สมิธได้รับระหว่างวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1823 ถึงวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1827 (หน้า 61–63) ท่านคิดว่าประสบการณ์เหล่านี้เตรียมโจเซฟให้แปลแผ่นจารึกทองคำอย่างไร ท่านเตรียมตัวใน ด้านใดบ้างเพื่อให้พร้อมรับการเรียกจากพระเจ้า
-
อ่านทวนย่อหน้าแรกในหน้า 66 พร้อมทั้งสังเกตจุดประสงค์ของพระคัมภีร์ มอรมอน ท่านเคยเห็นจุดประสงค์เหล่านี้บังเกิดสัมฤทธิผลด้านใดห้างใน ชีวิตท่านและในชีวิตผู้อื่น
-
ขณะไตร่ตรองเรื่องราวของศาสดาเกี่ยวกับการได้รับบัญชาไข่ให้แปล 166 หน้าที่หายไปซํ้า (หน้า 66–67) ท่านเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า ความเข้าใจในเรื่องนี้อาจส่งผลต่อการตัดสินใจของเราอย่างไร
-
อ่านย่อหน้าแรกในหน้า 67 สังเกตว่าในประตูโค้งที่ทําจากหิน ศิลาหลักจะ อยู่บนสุดโดยจะยึดหินก้อนอื่นให้อยู่กับที่ พระคัมภีร์มอรมอนเป็น “ศิลา หลักแห่งศาสนาของเรา” ในทางใด พระคัมภีร์มอรมอนช่วยให้ท่าน “ใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น” อย่างไร
-
โจเซฟ สมิธพูดถึงพรที่เกิดขึ้นเมื่อเรา “ดื่มจากสายธารแห่งความรู้” ในพระคัมภีร์และ “ได้ประโยชน์” จากพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า (หน้า 68–69) คำพูดเหล่านี้บอกอะไรท่านเกี่ยวกับการศึกษาพระคัมภีร์ เราจะทําอะไรได้ บ้างเพื่อให้การศึกษาพระคัมภีร์ของเรามีความหมายมากขึ้น
-
อ่านย่อหน้าที่อยู่ท้ายสุดของหน้า 68 ท่านคิดว่าเหตุใดคนที่ศึกษาพระคัมภีร์ จึงมีความกระดือรีอร้นที่จะแบ่งปันให้ผู้อื่น เราจะทําอะไรได้บ้างเพื่อแบ่งปัน พระคัมภีร์มอรมอน ท่านเคยมีประสบการณ์อะไรบ้างเมื่อท่านแบ่งปันพระคัมภีร์มอรมอนหรือเมื่อมีคนแบ่งปันให้ท่าน
-
อ่านย่อหน้าแรกในหน้า 69 ข้อความตอนใดจากพระคัมภีร์มอรมอนที่ “ให้ กำลังใจและปลอบโยน” ท่าน พระคัมภีร์มอรมอนช่วยให้ความเข้าใจของ ท่านกระจ่างในทางใด
ข้อพระคัมภีร์กี่เกี่ยวข้อง: เอเสเคียล 37:15–17; บทนำของพระคัมภีร์มอรมอน; 1 นีไฟ 13:31–42; 2 นีไฟ 27:6–26; ค.พ. 20:6–15; โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:29–54