คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 13: การ!ชี่อฟ้ง: ‘เมื่อพระเจ้าบัญชา จงทำ’


บทที่ 13

การ!ชี่อฟ้ง: “เมื่อพระเจ้าบัญชา จงทำ”

“จงดำเนินชีวิตในการเชื่อฟืงพระบัฃูฃู้ติของพระผู้เป็นเจ้าอย่างเคร่งครัค และดำเนินด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อพระพักตร์พระองค์”

จากชีวิตฃองโจเซฟ ลมิธ

ปากเดือนธันวาคม 1827 ถึง สิงหาคม 1830 โจเซฟกับเอ็มมา สมิธอาศัยอยู่ ในฮาร์โมนี เพนน์ซิลเวเนีย ศาสดาเดินทางไปนิวยอร์กเป็นครั้งคราวเพื่อทำกิจ ธุระของศาสนาจักร ในเดือนกันยายน 1830 โจเซฟกับเอ็มมาย้ายไปเฟเยทท์ นิวยอร์กเพื่อรวมกับสิทธิชนที่อาศัยอยู่ในนิวยอร์กตะวันตก เดือนธันวาคมกัด มาศาสดาได้รับการเปิดเผยที่เรียกร้องให้สมาชิกศาสนาจักรในนิวยอร์กต้องเสีย สละมากมาย พวกเขาต้องทิ้งห้าน ฟาร์ม และธุรกิจไปรวมกันที่เมืองเคิร์ทแลนด์ รัฐโอไฮโอ (ดู ค.พ. 37) พวกเขาจะไปสมทบกับ ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใส ที่อยู่ในเขตนั้นเพื่อเสริมสร้างศาสนาจักรและ “รับประสาทพรด้วยอำนาจจาก เบื้องบน” (ค.พ. 38:32) ดังที่พระเจ้าทรงสัญญา ใจเซฟกับเอ็มมา สมิธอยู่ใน กลุ่มแรกที่เชื่อฟ้งพระบัญชาของพระเจ้าโดยออกจากนิวยอร์ก ปลายเดือนมกราคม ค.ศ. 1831 พวกเขาเดินทางกว่า 400 กิโลเมตรไปเคิร์ทแลนด์ด้วยเลื่อน หิมะท่า่มกลางสภาพอากาศหนาวจัด และเอ็มมากำลังตั้งครรภ์ลูกแฝดหกเดือน

นีวเวล เค. วิทนีย์ผู้อาศัยอยู่ในเกิร์ทแลนด์เป็นคนแรกที่ต้อนรับศาสดา ดังที่ ออร์สัน เอฟ. วิทนีย์คุณตาของเขาบรรยายดังนี้ “ประมาณวันที่หนึ่งเดือนกุมภาพันธ์ 1831 เลื่อนหิมะคันหนึ่งมืผู้โดยสารสี่คน เคลื่อนผ่านไปตามถนนของ เคิร์ทแลนด์ มาหยุดอยู่ที่ประตูร้านของกิลเบิร์ทและวิทนีย์…คนหนึ่งเป็นชาย หนุ่มร่างสูงใหญ่ ลงจากเลื่อนแล้วก้าวฉับๆ เข้ามาในร้านจนถึงจุดที่หุ้นส่วนรุ่น ห้องยืนอยู่

“‘นิวเวล เค. วิทนีย์! คุณคือผู้ชายคนนั้น!’ เขาร้องทัก พลางยื่นมือทักทาย ราวกับรู้จักคุ้นเคยกันมานาน

“ ‘คุณได้เปรียบผม’ [เจ้าของร้าน] ตอบขณะจับมือที่ยื่นออกมาทักทาย สืหนํ้าของเขากึ่งพิศวงกึ่งฉงน—‘ผมเรียกชื่อคุณไบ่ถูก เหมือนที่คุณเรียกชื่อผม’

‘“ผมคือโจเซฟ ศาสดา’ คนแปลกหน้าบอกพลางยิ้ม ‘คุณสวดอ้อนวอนให้ ผมมาที่นี่ คุณต้องการให้ผมทำอะไรหรือ’

“นายวิทนีย์ประหลาดใจ แต่ดีใจไบ่แพ้กัน แม้จะยังแปลกใจไบ่หายแต่เขาก็ พาคนกลุ่มนี้ … ข้ามถนนไปที่ห้านของเขาตรงหัวมุม และแนะนำให้รู้จักกับภรรยาของเขา [เอลิซาเบ็ธ แอน] เธอแปลกใจและดีใจไบ่น้อยไปกว่าเขา โจเซฟพูดถึงเหตุการณ์ตอนนี้ว่า ‘เราไต้รับการต้อนรับอย่างมีไมตรีจิตในห้านของ บราเดอร์เอ็น. เค. วิทมีย์ ข้าพเจ้ากับภรรยาอาศัยอยู่กับครอบครัวของบราเดอร์ วิทมีย์หลายสัปดาห์ และไต้รับความเอื้อเนี้อและความเอาใจใส่ทุกอย่างที่คาด หวังไต้’ [ดู History of the Church, 1:145–46]”1

ออร์สัน เอฟ. วิทมีย์ประกาศว่า “ด้วยอำนาจอะไรที่ทำให้ไจเซฟ สมิธ ชาย น่าทึ่งคนนี้รู้จักคนที่เขาไบ่เคยเห็นในเนื้อหนังมาก่อน เพราะเหตุใดนิวเวล เค. วิทมีย์จึงไบ่รู้จักเขา นั่นก็เพราะใจเซฟ สมิธเป็นผู้พยากรณ์ ผู้พยากรณ์ที่ประเสริฐ เขาเคยเห็นนิวเวล เค. วิทมีย์จริงๆ ขณะคุกเข่าสวดอ้อนวอนไกลหลาย ร้อยไมล์สำหรับการมาเคิร์ทแลนด์ของเขา น่าอัศจรรย์—แต่จริง!’’2

ราวเดือนพฤษภาคม สิทธิชนอีกเกือบ 200 คนจากรัฐนิวยอร์กเดินทางไปยัง เมืองเคิร์ทแลนด์—บางคนใช้เลื่อนหิมะหรือเกวียน แต่ส่วนใหญ่จะนั่งเรือลำเลียงขนาดใหญ่ผ่านช่องแคบอีรืและต่อด้วยเรือกลไฟหรือเรือใบข้ามทะเลสาบ อีรื ในการย้ายไปเคิร์ทแลนด์ครั้งนี้และในสภาพท้าทายอีกมากมายของชีวิต ใจเซฟ สมิธไต้นำสิทธิชนให้ทำตามพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ไบ่ว่าภารกิจนั้น จะยากเพียงใดก็ตาม

สี่มีต่อมา ท่ามกลางแรงกดดันมากมายของการนำศาสนาจักรที่อำลังเติบโตใน เกิร์ทแลนด์ ศาสดาไค์แสดงความเชื่อนั่นอันเป็นลักษณะเด่นของชีวิตท่านดังนี้ “ไบ่มีเดือนใดที่ข้าพเจ้ายุ่งมากเท่าเดือนพฤศจิกายน แต่เพราะชีวิตข้าพเจ้ามีหลายอย่างค์องทำและค์องพยายามอย่างเต็มที่ไม่ย่อท้อ ข้าพเจ้าจึงตั้งกฎให้ตน เองว่า เมื่อพระเจ้าทรงบัญชา จงทำ’’3

คำสโอนฃองโจเซฟ ลมิธ

เมื่อเราพยายามจะเพระประสงค์ของพระผู้เป้นเจ้าและทำทุกอย่างที่พระองค์ทรงบัญชาให้เราทำ พรจากสวรรค์จะมาฤิ๋งเรา

“เพื่อให้ไต้ความรอดเราต้องไม่ทำบางอย่างเท่านั้น แต่ทำทุกอย่างที่พระผู้ เป็นเจ้าทรงบัญชา มนุษย์อาจจะสั่งสอนและปฏิบัติทุกอย่างยกเว้นสิ่งเหล่านั้น ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้เราทำ และจะถูกลงโทษในที่สุด เราอาจจะจ่าย ส่วนสิบจำนวนมาก และพืชสมุนไพรทุกชนิด และยังคงไบ่เชื่อฟ้งพระบัญญัติ ของพระผู้เป็นเจ้า [ดู ลูกา 11:42] เป้าหมายของข้าพเจ้าคือเชื่อฟ้งและสอนผู้ อื่นให้เชื่อฟ้งพระผู้เป็นเจ้าในสั่งที่พระองค์ทรงบอกให้เราทำ ไบ่ว่าหลักธรรมนั้น จะเป็นที่นิยมหรือไบ่เป็นที่นิยมก็ตาม ข้าพเจ้าจะสอนหลักธรรมที่แห้จริงเสมอ แห้จะห้องสอนอยู่คนเดียวก็ตาม”4

“ในฐานะศาสนาจักรและผู้คน เราจำเป็นห้องฉลาด พยายามรู้พระประสงค์ ของพระผู้เป็นเจ้าให้ได้ และยินดีทำตามนั้น เพราะ ‘คนทั้งหลายที่ไยินพระวจนะของพระเจ้าและไห้ถือรักษาพระวจนะนั้นไว้ก็เป็นสุข, พระคัมภีร์กล่าว “จงเป้าอยู่ทุกเวลา จงอธิษฐาน’ พระผู้ช่วยให้รอดของเราตรัส ‘เพื่อท่านทั้ง หลายจะมีกำลังที่จะพ้นเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งจะบังเกิดมานั้น และจะยืนอยู่ต่อ หนํ้าบุตรมนุษย์ได้’[ดู ลูกา 11:28; 21:36] ถ้าเอโนค อับราฮัม โมเสส ลูก หลานอิสราเอล และผู้คนทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้ารอดเพราะรักษาพระบัญญัติ ของพระผู้เป็นเจ้า ถ้ารอดทั้งหมด เราก็จะรอดค้วยหลักธรรมเดียวอัน พระผู้เป็นเจ้าทรงปกครองอับราฮัม อิสอัค และยาโคบเป็นครอบครัว และทรงปกครอง ลูกหลานอิสราเอลทั้งประเทศฉันใด เราในฐานะศาสนาจักรห้องอยู่ภายให้การนำ ทางของพระองค์ห้วยฉันนั้น ถ้าเราอยากรุ่งเรือง อยู่รอดปลอดภัย และไห้รับการ คํ้าจุน ความเชื่อมั่นของเราจะอยู่ในพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น ปัญญาของเราไห้มาจาก พระองค์เท่านั้น และจะค้องให้พระองค์เท่านั้นเป็นผู้คุ้มครองและผู้คุ้มอันทาง วิญญาณและทางโลก หาไบ่แห้วเราจะตก

“เราไค้รับการดีสอนจากพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้ามาจนถึงบัดนี้เพราะไบ่ เชื่อฟ้งพระบัญชาของพระองค์ แม้เราจะไบ่เคยทำผิดกฎข้อใดของมนุษย์ หรือ ล่วงละเมิดหลักคำสอนข้อใดของมนุษย์ แต่เราดูแคลนพระบัญชาของพระองค์ และละทิ้งพิธีการของพระองค์ และพระเจ้าทรงดีสอนเราจนเจ็บ เรารู้สึกถึงพลัง อำนาจของพระองค์และยอมรับการดีสอน ขอให้เราฉลาดในเวลาที่จะมาถึงและ พึงจำไว้เสมอว่า ‘ที่จะเชื่อฟ้งก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชา และซึ่งจะสดับฟ้งก็ดีกว่า ไขมันของบรรดาแกะผู้, [1 ซาบูเอล 15:22]”5

“เมื่อไค้รับคำแนะนำสั่งสอน เราค้องเชื่อพิงเสียงนั้น รักษากฎในอาณาจักร ของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อพรของสวรรค์จะมาถึงเรา ทุกคนค้องกระทำพร้อมกัน หาไบ่แล้วจะทำอะไรไบ่ได้เลย และควรกระทำตามฐานะปุโรหิตสมัยโบราณ ด้วย เหตุนี้สิทธิชนจึงจะเป็นผู้คนที่ได้รับเลือก แยกจากความชั่วร้ายทั้งหมดของโลก ——ประเสริฐ มีคุณธรรม และพิสุทธี้ พระเจ้าจะทรงทำให้ศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์เป็นอาณาจักรของปุโรหิต ชนพิสุทธี้ ชั่วอายุที่เลือกสรร [ดู อพยพ 19:6; 1 เปโตร 2:9] เช่นในสมัยของเอโนค โดยมีของประทานทั้งหมดดังอธิบายต่อศาสนาจักรในสาส์นและคำสอนที่เปาโลให้ศาสนาจักรในสมัยของเขา”6

“ใครๆ ก็อาจเชื่อได้ว่าพระเยซูคริสต์คือพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า และมี ความสุขในความเชื่อนั้น หากไม่ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ ก็จะถูกลง โทษในที่สุดเพราะไบ่เชื่อฟ้งข้อเรียกร้องอันชอบธรรมของพระเจ้า”7

“จงมีคุณธรรมและปริสุทธี้ เป็นคนมีความซื่อตรงและความจริง รักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า แล้วท่านจะสามารถเข้าใจได้ถ่องแท้มากขึ้นถึงความ แตกต่างระหว่างถูกกับผิด—ระหว่างเรื่องของพระผู้เป็นเจ้ากับเรื่องของมนุษย์ และเล้นทางของท่านจะเหมือนเล้นทางของคนเที่ยงธรรม ซึ่งสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันที่สมบูรณ์ [ดู สุภาษิต 4:18]”8

วิลฟอร้ด วูดรัฟฟ้รายงานขณะรับใช้เป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองดังนี้ “ประธานโจเซฟ.… อ่านคำอุปมาเรื่องเถาองุ่นและแขนง [ดู ยอห์น 15:1–8] และอธิบายเรื่องนี้ และกล่าวว่า ‘ถ้าเรารักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า เรา จะออกผลและเป็นสหายของพระผู้เป็นเจ้า และรู้ว่าพระเจ้าของเราทรงทำอะไร,”9

พระผู้เป็นเจ้าประทานกฎซึ่งจะเตรียมเราให้พร้อมพักผ่อน ในอาณาจักรชั้นสูงหากเราเชื่อฟ้ง

“พระผู้เป็นเจ้าจะไบ่ทรงบัญชาเรื่องใดนอกจากเรื่องที่นำไปใช้ได้กับทุกคน เพื่อปรับปรุง [ทำให้ดีขึ้น] สภาพของมนุษย์ทุกคนภายใด้สถานการณ์ที่พบเขา ไบ่ว่าเขาจะอยู่ในอาณาจักรใดหรือประเทศใดก็ตาม”10

“กฎของสวรรค์ถูกมอบให้มนุษย์ และกฎนั้นรับรองว่าทุกคนที่เชื่อฟ้งจะได้ รับรางวัลมากกว่ารางวัลทางโลก แห้จะไบ่สัญญาว่าผู้เชื่อในทุกยุคสมัยจะพ้น จากความทุกข์ทรมานและความยากลำบากจากแหล่งต่างๆ เนื่องด้วยการกระทำ ของคนชั่วบนแผ่นดินโลก แต่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้มีคำสัญญาบนพื้นฐานของช้อ เท็จจริงที่ว่านื่คือกฎของสวรรค์ ซึ่งอยู่เหนือกฎของมนุษย์ เฉกเช่นชีวิตนิรันดร์ อยู่เหนือชีวิตทางโลก เฉกเช่นพรซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงสามารถประทานให้ได้ยิ่ง ใหญ่กว่าพรที่มนุษย์จะให้ได้ แน่นอนว่าถ้ากฎของมนุษย์ผูกบัดมนุษย์เมื่อยอมรับ กฎของสวรรค์จะผูกบัดมนุษย์ยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด กฎของสวรรค์สมบูรณ์กว่า กฎของมนุษย์ฉันใด รางวัลจะด้องยิ่งใหญ่กว่าฉันนั้นถ้าเชื่อฟ้ง … กฎของพระผู้เป็นเจ้าสัญญาว่าชีวิตซึ่งเป็นนิรันดรั แมัมรดกทางพระหัตถ์ขวาของพระผู้เป็นเจ้า จะปลอดภัยจากพลังอำนาจทั้งหมดของคนชั่วคนนั้น …

“…พระผู้เป็นเจ้าทรงมีเวลาสำรอง หรือช่วงเวลาที่ทรงกำหนดไว้ในอุระของ พระองค์ เมื่อพระองค์จะทรงนำประชากรทั้งหมดของพระองค์ ผู้เชื่อฟ้งสุรเสียง ของพระองค์และรักษาพระบัญญัติของพระองค์เช้าสู่ที่พำนักชั้นสูงของพระองค์ ที่พำนักมีความสมบูรณ์แบบและรัศมีภาพถึงขนาดที่มนุษย์ด้องเตรียมก่อนตาม กฎของอาณาจักรนั้นจึงจะเช้าไปรับพรได้ ช้อเท็จจริงมีอยู่ว่าพระผู้เป็นเจ้าประทานกฎที่แน่ชัดให้ครอบครัวมนุษย์ ซึ่งหากเชื่อพีงย่อมเพียงพอที่จะเตรียมพวก เขาให้พร้อมรับที่พำนักแห่งนั้นเป็นมรดก เราสรุปว่ามื่คือจุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าที่ประทานกฎให้เรา … พระบัญญัติทุกช้อในกฎของพระเจ้าซึ่งมีคำสัญ ญาที่แน่นอนผนวกอยู่กับรางวัลสำหรับทุกคนที่เชื่อฟ้ง อยู่บนพื้นฐานของข้อ เท็จจริงที่ว่านั่นคือคำสัญญาของพระองค์ผู้ไม่ตรัสคำเท็จ พระองค์ผู้ทรงสามารถ ทำให้พระดำรัสทุกจุดของพระองค์บังเกิดสัมฤทธิผลโดยครบถ้วน”11

โจเซฟ สมีธสอนในเดือนเมษายน ค.ศ. 1843 ซึ่งต่อมาบ้นทึกไว้ในคำสอน และพันธสัญญา 130:20–21 ดังนี้ “มีกฎข้อหนึ่งประกาศิตไวัในสวรรค์อย่าง ลบถ้างไบ่ได้ก่อนการวางรากฐานของโลกนี้ ซึ่งในนั้นกำหนดพรไว้ทุกประการและเมื่อเราได้รับพรประการใดจากพระผู้เป็นเจ้าย่อมเป็นไปโดยการเชื่อฟ้ง กฎนั้น ซึ่งในนั้นกำหนดพรไว้”12

“พรทุกประการที่สภาแห่งสวรรค์กำหนดให้มนุษย์ถ้วนอยู่บนเงื่อนไขของ การเชื่อฟ้งกฎนั้น”13

คนที่ชื่อสัตย์จนภึงที่สุดจะได้รับมงกุฎแห่งความชอบธรรม

“จงดำเนินชีวิตในการเชื่อฟ้งพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าอย่างเคร่งครัดและ ดำเนินด้วยความอ่อนม้อมถ่อมตนต่อพระพักตร์พระองค์ และพระองค์จะทรง ยกย่องเชิดชูท่านในเวลากันเหมาะสมของพระองค์”14

“มนุษย์ควรระบัดระวังอย่างยิ่งในสิ่งที่เขาทำในวันเวลาสุดห้าย เกลือกเขาจะ ไบ่บรรลุความคาดหวังของเขา และเขาที่คิดว่าตนยืนแล้วจะล้ม เพราะเขาหา รักษาพระบัญญัติของพระเจ้าไบ่ ส่วนท่าน ผู้ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติของพระองค์จะปลื้มป็ติด้วยความปรืดีจนสุดจะพรรณนาได้ เพราะคนเช่นนั้นจะได้รับยกย่องเชิดชูไว้สูงยิ่ง และจะทรงยกขึ้นสู่ชัยชนะเหนือ อาณาจักรทั้งหลายของโลกนี้”15

“ในเรื่องราว [จากบัทธิว] บทที่ 22 เกี่ยวกับพระมาไซยา เราพบว่าอาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์องค์หนึ่งผู้ทรงจัดงานอภิเษกให้ราชโอรส[ดู บัทธิว 22:2–14] ราชโอรสคือพระมาไซยาจะไบ่ทรงถูกทักห้วง เพราะนั่นคือ อาณาจักรสวรรค์ที่กล่าวไว้ในคำอุปมา และว่าสิทธิชน หรือผู้ถูกพบว่าซื่อสัตย์ ต่อพระเจ้าคือบุคคลผู้จะถูกพบว่ามีค่าควรแก่การได้รับที่นั่งในงานเลี้ยงสมรส เห็นได้ชัดจากคำกล่าวของยอห้นในวิวรณ์ซึ่งเขาบรรยายว่าเสียงที่เขาได้ยินดุจ เสียง ‘ฝูงชนเป็นอันมาก’หรือดุจ ‘เสียงฟ้าร้องสนั่นว่าอาเลลูยา เพราะว่าพระเจ้าของเราผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุดทรงครอบครองอยู่ ขอให้เราทั้งหลายร่าเริงยินดีและเด้นโลดถวายพระเกียรติแต่พระองค์ เพราะถึงเวลามงคลสมรสของพระ เมษโปดกแล้ว และเจ้าสาวของพระองค์ไล้เตรียมพร้อมแล้ว ทรงโปรดให้เจ้า สาวสวมผ้าป่านเนื้อละเอียดใสบริสุทธี้ เพราะผ้าป่านเนื้อดีนั้นไล้แก่การประพฤติ อันชอบธรรมของพวกธรรมิกชน, [วิวรณ์ 19:6–8]

“คนที่รักษาพระบัญญัติของพระเจ้าและดำเนินตามประมวลกฎของพระองค์ จนถึงที่สุดคือบุคคลกลุ่มเดียวเท่านั้นผู้ได้รับอนุญาตให้นั่งในงานเลี้ยงอันน่าชื่นชมยินดีนี้ เห็นได้ชัดจากข้อต่อไปนื้ในจดหมายฉบับสุดห้ายที่เปาโลเขียนถึง ทิโมธีก่อนจะเสียชีวิต—เขากล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าไล้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าไล้ แข่งชันจนถึงที่สุด ข้าพเจ้าไล้รักษาความเชื่อไร้แล้ว ต่อแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความ ชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้พิพากษาอันชอบธรรมจะ ทรงประทานเป็นรางวัลแก่ข้าพเจ้าในวันนั้น และมิใช่แก่ข้าพเจ้าผู้เดียวเท่านั้น แต่จะทรงประทานแก่คนทั้งปวงที่ยินดีในการเสด็จมาของพระองค์’ [2 ทิโมชี 4:7–8] ไบ่มีใครที่เชื่อเรื่องนื้จะสงสัยแห้ชั่วขณะในกำยืนยันของเปาโลซึ่งเขาให้ ไว้ก่อนจะตัองจากโลกนื้ไป เหมือนอย่างที่เขารู้ว่าเขาจะตายในไม่ชา ถึงแห้ตาม กำบอกกล่าวของเขา เขาจะเคยข่มเหงศาสนาจักรของพระผู้เป็นเจ้าและคว้านํ้าเหลว แต่หลังจากม้อมรับความเชื่อ เขาก็ทำงานไบ่หยุดเพื่อเผยแพร่ข่าวอัน น่าชื่นชมยินดี และเฉกเช่นทหารที่ซึ่อสัตย์ เมื่อถูกเรียกให้สละชีวิตในอุดมการณ์ที่เขาสนับสนุน เขาพลีชีพอย่างที่พูดโดยมีความเชื่อนั่นว่าเขาจะไล้มงกุฎ นิรันดร์

“จงเจริญรอยตามกทารำงานของอัครสาวกผู้นื้ตั้งแต่เขาเปลี่ยนใจเลื่อมใส จนถึงเวลาที่เขาสิ้นชีวิต และท่านจะมีแบบอย่างที่ดีของความวิริยะอุตสาหะและ ความอดทนในการประกาศพระกิตติคุณของพระคริสต์ เขาถูกเย้ยหยัน ถูกเฆี่ยน และถูกขร้างปาด้วยก้อนหิน ทันทีที่เขารอดพ้นเงึ้อมมีอของผู้ข่มเหง เขาจะ ประกาศหลักคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอดอย่างกระดีอรีอร้น ทุกคนอาจรู้ว่าเขา มิไน้ด้อมรับความเชื่อเพื่อเกียรติยศในชีวิตนี้หรือเพื่อได้รับสิ่งของทางโลก แล้วอะไรจูงใจเขาให้ยอมลำบากตรากดรำถึงเพียงนี้ เขากล่าวว่าสิ่งนั้นคือเพื่อเขา จะไล้มงกุฎแห่งความชอบธรรมจากพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า เราสันนิษฐานว่า ไบ่มีใครจะสงสัยความซื่อสัตย์ตราบวันตายของเปาโล ไม่มีใครจะพูดว่าเขาไม่ไล้ รักษาศรัทธา เขาไบ่ได้ต่อสู้เต็มกำลัง เขาไบ่ได้สั่งสอนและชักชวนจนวาระสุดห้าย สิ่งที่เขาจะไล้รับคืออะไร คือมงกุฎแห่งความชอบธรรม…

“พี่ห้องทั้งหลายลองคิดใคร่ครวญสักครู่และถามว่า ท่านถือว่าตนมีค่าควรแก่ การนั่งในงานเลี้ยงสมรสกับเปาโณเละคนอื่นๆ ที่เหมือนเขาหรือไบ่หากท่านไบ่ ซื่อสัตย์ หากท่านไม่ต่อสู้เต็มกำลังและรักษาศรัทธา ท่านคาดหวังได้หรือว่าจะ ได้รับพรเช่นนั้น มีสัญญาหรือว่าท่านจะได้มงกุฎแห่งความชอบธรรมจากพระหัดถ์ของพระเจ้าพร้อมศาสนาจักรของพระบุตรหัวปี เราเข้าใจว่าเปาโลฝากความ หวังของเขาไวัในพระคริสต์ เพราะเขารักษาศรัทธา ยินดีในการเสด็จมาของ พระองค์ และเขามีสัญญาว่าจะได้รับมงกุฎแห่งความชอบธรรมจากพระหัตถ์ ของพระองค์…

“…คนสมัยโบราณ แม้จะถูกมนุษย์ข่มเหงและำำำท่าำให้ทุกข์ทรมาน แต่กได้ รับคำสัญญาจากพระผู้เป็นเจ้าถึงความสำคัญและเกียรติยศเช่นนั้น ซึ่งหักหาให้ ใจเราเป็ยมด้วยความกตัญญอยู่ม่อยครั้งว่าเราได้รับอนุญาตให้เรียนรู้จากพวกเขา ขณะที่เราตรึกตรองว่าพระองค์ไบ่ทรงเลือกหห้าผู้ใด และว่าในทุกประเทศ คน ที่เกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้าและท่าความชอบธรรมจะเป็นที่ยอมรับของพระองค์ [ดู กิจการ 10:34–35] …

“เราสามารถสรุปได้ว่าจะด้องมีวันหนึ่งเมื่อทุกคนจะถูกพิพากษาตามงาน ของเขา และได้รับรางวัลตามงานนั้น คนที่รักษาศรัทธาจะได้สวมมงกุฎแห่ง ความชอบธรรม ได้สวมอาภรณ์สีขาว ได้เข้าไปในงานเลี้ยงสมรส เป็นอิสระ จากความทุกข์ทรมานทุกอย่าง และปกครองกับพระคริสต์บนแผ่นดินโลกซึ่ง ตามคำสัญญาแต่โบราณบอกว่าพวกเขาจะรับส่วนผลของเถาองุ่นใหม่ในอาณาจักรกันรุ่งโรจน์กับพระองค์ อย่างน์อยเราก็พบว่าสัญญาเช่นนั้นทำไว้กับสิทธิชน สมัยโบราณ และแม้เราจะเรียกร้องคำสัญญาเหล่านี้ซึ่งทำไว้กับคนสมัยโบราณ ไบ่ได้ เพราะนั่นไม่ใช่กรรมสิทธี้ของเรา เพียงเพราะทำไว้กับสิทธิชนสมัยโบราณ แต่ม้าเราเป็นบุตรของพระผู้สูงสุด และได้รับเรียกด้วยการเรียกอย่างเดียวกันกับ ที่พวกเขาได้รับเรียก และน์อมรับพันธสัญญาอย่างเดียวกันกับที่พวกเขาห้อมรับ และซื่อสัตย์ต่อประจักษ์พยานในพระเจ้าเช่นเดียวกับพวกเขา เราจะสามารถ เข้าเผ่าพระบิดาในพระนามของพระคริสต์ได้เช่นเดียวกับที่พวกเขาเข้าเผ่า พระองค์ และได้รับคำสัญญาอย่างเดียวกันด้วยตัวเราเอง

“คำสัญญาเหล่านี้ เมื่อได้รับ ม้าเราได้รับ จะไม่ใช่เป็นเพราะเปโตร ยอหัน และอัครสาวกคนอื่นๆ… ดำเนินชีวิตในความเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า มีพลัง อำนาจและศรัทธาที่จะเอามาให้ได้ แต่จะเป็นเพราะเรา ตัวเรา มีศรัทธาและเข้า เฟ้าพระผู้เป็นเจ้าในพระนามของพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ เช่นเดียว กับพวกเขา และเมื่อได้รับคำสัญญาเหล่านี้ นั่นจะเป็นคำสัญญาที่มาถึงเรา โดยตรง หาไบ่แล้วย่อมไบ่เกิดประโยชน์อันใดต่อเรา คำสัญญาเหล่านี้จะถูกถ่าย ทอดเพื่อประโยชน์ของเรา เป็นกรรมสิทธี้ของเรา (ผ่านของประทานของพระผู้เป็นเจ้า) ได้มาโดยความพากเพียรของเราในการรักษาพระบัญญัติของพระองค์ และดำเนินชีวิตอย่างซื่อตรงต่อพระพักตร์พระองค์”16

“เราใคร่ขอเตือนท่าน พื่น์องทั้งหลาย ให้นึกถึงความเหน็ดเหมื่อยเมื่อยล้า ความยากลำบาก ความขาดแคลน และการข่มเหงซึ่งสิทธิชนสมัยโบราณสู้ทน เพื่อจุดประสงค์เพียงประการเดียวคือชักชวนมนุษย์ให้เห็นถึงความดีเลิศและ ความถูกด้องเหมาะสมของศรัทธาในพระคริสต์ หากเราเห็นว่าจำเป็น หรือหาก ว่าช่วยกระตุ้นท่านให้ท่างานในสวนองุ่นของพระเจ้าด้วยความพากเพียรมากขึ้น แต่เรามีเหตุผลที่จะเชื่อ (ถ้าท่านศึกษาพระคัมภีร์ศักดิ๙สิทธี้มากพอ) ว่าทุกท่าน รู้ถึงความมานะบากบั่นของพวกเขา รู้ด้วยว่าพวกเขายินดีเสียสละเกียรติยศที่มี และความพึงพอใจของโลกนี้ รู้ว่าพวกเขาจะได้มงกุฎแห่งชีวิตจากพระหัตถ์ของ พระเจ้าของเราแน่นอน และทุกๆ วันท่านกำลังพยายามทำตามแบบอย่างที่ ยอดเยี่ยมของพวกเขาในการทำงานอันแสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของ พวกเขาในอุดมการณ์ซึ่งพวกเขาห้อมรับ เราหวังว่าไบ่เฉพาะแบบอย่างเหล่านี้ ของสิทธิชนเท่านั้นที่วนเวียนอยู่ในใจท่าน สอนท่าน แต่พระบัญญัติของพระ เจ้าของเราด้วย ไบ่เฉพาะพระประสงค์ของพระองค์ในการประกาศพระกิตติคุณ ของพระองค์เท่านั้น แต่ความอ่อนโยนและความประพฤติอันเป็นเลิศของพระองค์ต่อหห้าคนทั้งปวงด้วย แห้ในช่วงเวลาเหล่านั้นของการข่มเหงและการล่วง เกินอย่างรุนแรงซึ่งคนชั่วร้ายและคิดคดทรยศกองสุมไถ้บนพระองค์

“จงจำไถ้ พี่น้องทั้งหลาย ว่าพระองค์ทรงเรียกท่านมาสู่ความศักดคิ้ทธี้ และ จำเป็นด้องพูดหรือไบ่ว่าเราด้องเป็นเหมือนพระองค์ในความบริสุทธี้ ท่านควร ประพฤติตนฉลาดเพียงใด ศักดี้สิทธี้เพียงใด บริสุทธี้ผุดผ่องเพียงใด และดีเลิศ เพียงใดในสายพระเนตรของพระองค์ และพึงจำไว้ด้วยว่าพระเนตรของพระองค์ จ้องมองท่านอยู่ตลอดเวลา เมื่พิจารณาข้อเท็จจริงเหล่านี้ในแง่มุมที่ถูกด้อง ท่านจะไบ่รับรู้ไบ่ได้ว่าหากไบ่ทำตามข้อเรียกร้องทั้งหมดของพระองค์อย่างเคร่งอรัด ในที่สุด ท่านอาจถูกพบว่าท่านกำลังขาดความชอบธรรม และหากเป็น เช่นนั้น ท่านจะด้องยอมรับว่าชะตากรรมของท่านจะคข้ายกับชะตากรรมของผู้ รับใข้ที่ไม่สมค่า เพราะเหตุนี้เราจึงขอร้องท่าน พี่ห้องทั้งหลาย ให้ท่านปรับปรุง ทุกสิ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบของท่านเพี่อท่านจะไบ่สูญเสียรางวัลของท่าน”17

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะศึกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเติมได้ที่หห้า ⅶ–ⅹⅱ

  • อ่านย่อหน้าสุดท้ายของบทน่าในหน้า 172 โดยมุ่งเน้นกฎที่โจเซฟ สมิธนำ มาใช้กับชีวิต ตนเอง นึกถึงพระบัญชาเฉพาะเจาะจงที่ท่านได้รับเมื่อเร็วๆ นี้ ผ่านถ้อยำของศาสดาที่มีชีวิตหรือการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณบริสุทธี้ ท่านได้รับพรอย่างไรเมื่อท่านเชื่อพิงพระบัญชาเหล่านี้โดยไบ่ลังเล

  • อ่านทวนย่อหน้าสุดห้ายในหน้า 172 เหตุใดบางครั้งเราจึงด้อง “สอนหลักธรรมที่แห้จริงอยู่คนเดียว” ในเวลาเช่นนั้นเรา ไม่ โดดเดี่ยวได้ด้วยวิธีใด (ดูตัวอย่างหน้า 172–175) เราจะช่วยให้เด็กและเยาวชนแน่วแน่ต่อหลักธรรม พระกิตติคุณได้อย่างไรแม้จะไม่นิยมทำกันเช่นนั้น

  • ศึกษาหัวข้อที่เริ่มด้นในหน้า 175 พระผู้เป็นเจ้าประทานพระบัญญัติให้เรา เพราะทรงมีเหตุผลอะไรน้าง เหตุใดเราจึงควรเชื่อฟ้งพระบัญญัติของพระองค์

  • อ่านทวนคำสอนของไจเซฟ สมิธเกี่ยวกับมัทธิว 22:2–14 และ 2 ทิโมธี 4: 7–8 (หน้า 176–180) ไตร่ตรองว่าท่านจะรู้สึกอย่างไรเมื่อได้เข้าไปในงาน เลี้ยงสมรส เราจะด้องเป็นคนมีค่าควรเช่นใดจึงจะเข้าไปในงานนั้นได้ ท่าน คิดว่าต่อสู้เต็มกำลังและรักษาศรัทธาหมายถึงอะไร ลองนึกถึงคนที่ท่านรู้ว่า เขาต่อสู้เต็มกำลังและรักษาศรัทธา ท่านเรียนรู้อะไรบ้างจากบุคคลผู้นี้

  • ศาสดาใจเซฟขอให้เราระลึกว่าพระเจ้าทรง “เรียก [เรา] มาสู่ความกักดิ์สิทธี้” (หน้า 180) ท่านถูกเรียกมาสู่ความด้กคิ้สิทธี้หมายความว่าอะไร การ ที่เราระลึกถึง “การเรียก” นี้ส่งผลกระทบอย่างไรในชีวิตเรา ในชีวิตสมาชิก ครอบครัว และเพื่อนๆ ของเรา

อพระคัมภีร์พี่กี่ยวข้อง: อพยพ 20:1–17; ยอห้น 7:17; 1 นึไฟ 3:7; ค.พ.58:26–29; เอมราแฮม 3:25

อ้างอิง

  1. ออร์สัน เอฟ. วิทนีย์ “Newel K. Whitney,” Contributor, Jan. 1885, p. 125; ปรับเปลี่ยนเครื่องหมายวรรค ตอนและไวยากรณ้ให้ทันสมัย

  2. ออร์สัน เอฟ. วิทนีย์ ใน Conference Report, Apr. 1912, p. 50.

  3. History of the Church, 2:170; จาก “History of the Church,” (ต้นฉบับ), book B–l, p. 558 หอ จดหมายเหตุของศาสนาจักร ศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุค สุดท้าย ซอลท้เลคซิตี้ ยูทาห้

  4. History of the Church, 6:223; จากคำปราศรัยของโจเซฟ สมีธเมื่อ 21 ก.พ. 1844 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดย วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้ และวิลลาร์ด ริชาร์ดส์

  5. History of the Church, 5:65; จาก “The Government of God” วารสารจัดพิมฟ้ไน Times and Seasons, July 15, 1842, p. 857; โจเซฟ สมิธ เป็นบรรณาธิการวารสาร

  6. History of the Church, 4:570; จาก คำปราศรัยของโจเซฟ สมีธเมื่อ 30 มี.ค. 1842 ในนอวู อิลลินอยส์ รายงานโดย อีไลซา อาร์. สโนว์; ดูภาคผนวก หน้า 604 ข้อ 3 ด้วย

  7. History of the Church, 5:426; จากคำปราศรัยของโจเซฟ สมิธเมื่อ 11 มิ.ย. 1843 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดย วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ และวิลลาร์ด ริชาร์ดส์; ดู ภาคผนวก หน้า 604 ข้อ 3 ด้วย

  8. History of the Church, 5:31; จาก “Gift of the Holy Ghost” บทดวามจัดพิมฟ้ไน Times and Seasons, June 15, 1842, p. 825; ใจเซฟ สมิธ เป็นบรรณาธิการวารสาร

  9. History of the Church, 4:478; จาก คำปราศรัยของใจเซฟสมิธเมื่อ 19 ธ.ค. 1841 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดยวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้

  10. จดหมายที่โจเซฟ สมิธเขียนถึงไอแซค กัลแลนด์ 22 มี.ค. 1839 คุกลิเบอร์ตี้ ลิเบอร์ตี้ มิสซูรี จัดทิมฟ้ใน Times and Seasons, Feb. 1840, p. 54.

  11. History of the Church, 2:7–8, 12; จาก “The Elders of the Church in Kirtland, to Their Brethren Abroad,” Jan. 22, 1834 จัดพิมพ้ใน Evening and Morning Star, Feb. 1834, pp. 135–36.

  12. ดำสอนและพันธสัญญา 130:20–21; คำแนะนำของไจเซฟ สมิธเมื่อ 2 เม.ย. 1843 ในเรมัส อิลลินอยส์

  13. คำปราศรัยของใจเซฟ สมิธเมื่อ 16 ก.ค. 1843 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดย แฟรงคลิน ดี. ริชาร์ดส์ไน Franklin Dewey Richards, Scriptural Items, ca. 1841–44 หอจดหมายเหตุของ ศาสนาจักร

  14. History of the Church, 1:408; จาก จดหมายที่โจเซฟ สมิธเขียนถึงเวียนนา ชาก 4 ก.ย. 1833 เคิร์ทแลนด์ โอไฮโอ; นามสกุลของซิสเตอร์ชาก (Jacques) บางครั้งก็สะกดว่า “Jaques” เช่นใน History of the Church

  15. History of the Church, 1:299; จาก จดหมายที่ไจเซฟ สมิธเขียนถึงวิลเลียม ดับเบิลยู. เฟลพ์ส 27 พ.ย. 1832 เคิร์ทแลนด์ โอไฮโอ

  16. History of the Church, 2:19–22; ปรับเปลี่ยนเครื่องหมายวรรคตอนให้ทัน สมัย; ปรับเปลี่ยนการแบ่งย่อหน้า; จาก “The Elders of the Church in Kirtland, to Their Brethren Abroad,” Jan. 22, 1834 จัดพิมพัใน Evening and Morning Star, Mar. 1834, p. 144.

  17. History of the Church, 2:13; ปรับ เปลี่ยนการแบ่งย่อหน้า; จาก “The Elders of the Church in Kirtland, to Their Brethren Abroad,” Jan. 22, 1834 จัดพิมพัใน Evening and Morning Star, Mar. 1834, p. 142.

Joseph and Newel K. Whitney

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1831 โจเซฟ สมิธมาถึงเคิร์ทแลนด์ โอไฮโอ เดินเข้าไปในร้านลอง นูเวล เค. วิทนีย์และพูกล่า “ผมดือโจเซฟ ศาสดา… คุณสงได้อ้อนงนให้นนาที่นื คุณต้องการให้พนทําอะไรหรือ”

child paying tithing

“เมื่อ พระเจ้าทรงบัญชา ลงทำ” โจเซฟ สมิธประกาศ เช่นเดียวกับพระบัญญัติทุกข้อที่พระเจ้าประทาน กฎส่วนสิบนำพรยิ่งใทญ่มาสู่ผู้เชื่อฟัง

Paul testifying

เปาโลกล่าวคำพยานต่อพระพักตร์กษัตริย์รากริปปา “ไม่มีใคร” โจเซฟ สมิธกล่าวว่า “จะสงสัยความสัตย์ซื่อขอว้พตายขอล … และ สิ่งที่เขาจะไร ด้ธมงกุฎแห่งความชอบธรรม”