บทที่ 1
ภาพปรากฏครั้งแรก: พระบิดาและพระบุตรทรงปรากฏต่อโจเซฟ สบิธ
“ข้าพเจ้าเห็นสองพระองค์ประทับปีนอยู่เหนือข้าพเจ้าในอากาศซึ่งความสว่างและรัศมีภาพของทั้งสองพระองค์กินกว่าจะพรรถานาได้องค์หนึ่งรับสั่งทับข้าพาจ้า โดยทรงเรียกชื่อข้าพเจ้าและตรัสพลางชี้พระทัตค์ไปที่อีกองค์หนึ่ง—นี่คือบุตรที่รักของเรา จงฟืงท่าน!”
จากชีวิตฃองโจเซฟ สมิธ
ห ลังจากการสิ้นพระชนม์และการผื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ การ จะทิ้งความเชื่อค่อยๆ ขยายวงกว้าง อัครสาวกของพระผู้ช่วยให้รอดถูกปฏิเสธ แจะถูกสังหาร คำสอนของพระองค์ผิดแผกไปจากเดิม และฐานะปุโรหิตของ พระผู้เปีนเจ้าถูกนำไปจากแผ่นดินโจก อาโมสศาสดาสมัยโบราณบอกไว้ล่วงหห้า ถึงเวจาของการละทิ้งความเชื่อแจะความมืดทางวิญญาณ “ดูเถิด วันเวจาก็มา ถึง เมื่อเราจะส่งทุพภิกขภัยมาที่แผ่นดิน ไม่ใช่การอดอาหาร หรือการกระหาย นํ้า แต่จะอดฟ้งพระวจนะของพระเจ้า เขาทิ้งหลายจะท่องเที่ยวจากทะเลนี้ไป ทะเลโห้น และจากทิศเหนือไปทิศตะวันออก เขาทั้งหลายจะวิ่งไปวิ่งมาเพื่อ แสวงหาพระวจนะของพระเจ้า แต่เขาจะหาไม่พบ” (อาโมส 8:11–12).
บุคคลผู้หนึ่งซึ่งกำลังแสวงหาพระคำของพระเจ้าที่สูญหายไปจากแผ่นดินโลก คือโจเซฟ สมิธ ชายหนุ่มที่อยู่ในเขตชนบทของเมืองพอลไมรา รัฐนิวยอร์กใน ปี ค.ศ. 1820 โจเซฟเปีนชายหนุ่มที่แข็งแรงและกระฉับกระเฉง ผิวขาว ผม สีนี้าตาลอ่อน และตาสีฟ้า เปีนบุตรคนที่ห้าในจำนวนสิบเอ็ดคนของครอบครัว โจเซฟ สมิธ ซีเบียร์และลูซี แมืค สมิธ ท่านทำงานหลายชั่วโมงเพื่อช่วยบิดา กับพื่ชายโต่นต์นไห้และเพาะปลูกที่ฟาร์มของครอบครัวซึ่งมืเนื้อที่หนึ่งร้อยเอ เคอร์และมีต้นไม้ขึ้นหนาทึบ จากคำบอกเล่าของมารดา ท่านเปีน “เด็กนิสัยดี และเงียบขรึม”1 ผู้ “คิดใคร่ครวญและศึกษาลึกซึ้ง” กว่าพี่น้องคนอื่นๆ มาก2 เพราะโจเซฟหนุ่มต้องทํางานช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวจึงทำให้ท่านมีการศึกษา อย่างเปีนทางการพอรู้หลักอ่านเขียนและคณิตศาสตร์เบื้องต้นเท่านั้น
ในช่วงเวลานี้ วิญญาณของความตื่นตัวทางศาสนาแพร่สะพัดไปทั่วเขตนิวยอร์กตะวันตกที่ครอบครัวสมิธอาศัยอยู่ ตระกูลสมิธเข้าร่วมการชุมนุมกลางแจ้ง และการเทศนาปลุกเร้าใจของศาสนาคริสต์นิกายต่างๆ ในเขตนั้นเช่นเดียวกับคน อื่นๆ แน้สมาชิกบางคนในครอบครัวของท่านจะเข้าร่วมกับศาสนาจักรนิกายหนึ่ง ก็ตาม แต่โจเซฟไม่เข้าร่วม ต่อมาท่านเขียนถึงช่วงเวลาตังกล่าวว่า
“ความคิดของข้าพเจ้าฝืงแน่นอยู่กับข้อกังวลสำคัญๆ ทั้งหมดเพี่อความผาสุก ของจิตวิญญาณอมตะของข้าพเจ้า ซึ่งนําข้าพเจ้าไปสู่การค้นคว้าพระคัมภีร์โดย เชื่อตามที่ไค้รับการสอนว่าพระคัมภีร์มีพระคำของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ในนั้น ค้วย เหตุบื้จืงทุ่มเทศึกษาพระคัมภีร์และความที่คุ้นเคยดีกับสมาชิกของนิกายต่างๆ ทําให้ข้าพเจ้าประหลาดใจอย่างยิ่งเพราะข้าพเจ้าค้นพบว่าพวกเขาไม่ไค้ดำเนิน ชีวิตในวิถีทางที่คักดิ้สิทธิ้ทิ้งทางปฏิบัติและทางวาจาที่เป็นเหมือนพระผู้เปีนเจ้า ตามที่ข้าพเจ้าพบว่ามีอยู่ในหนังสือคักคิ้สิทธิ้นั้น และนึ่ทำให้จิตวิญญาณของ ข้าพเจ้าเศร้าโศก …
“ข้าพเจ้าไตร่ตรองหลายเรื่องในใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของโลกมนุษย์ ความขัดแย้งและการแบ่งแยก ความชั่วร้ายและความน่าชิงชัง และความมีดซึ่ง แผ่คลุมความคิดของมนุษย์ ใจข้าพเจ้าหดหู่อย่างยิ่ง เพราะข้าพเจ้ารู้ตัวว่า ทำบาป และเมื่อค้นคว้าพระคัมภีร์ข้าพเจ้าพบว่ามนุษย์ไม่ไค้มาหาพระเจ้า แต่พวกเขาไค้ ละทิ้งความเชื่อจากศาสนาที่แทึจริงและดำรงอยู่ ไม่มีสังคมหรือนิกายใดสร้าง บนพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ตามที่บันทึกไว้ในพันธสัญญาใหม่ และข้าพ เจ้ารู้สึกเปีนทุกข์เพราะบาปของตนเองและเพราะบาปของโลก”3
การค้นหาความจริงของเด็กหนุ่มโจเซฟ สมิธทำท่านเข้าไปในป่าเพี่อทูลขอ สติปัญญาที่ท่านค้องการจากพระผู้เป็นเจ้า เพี่อตอบคำสวดค้อนวอนของท่าน พระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ทรงปรากฎต่อท่าน โดยทรงเบิกทางสำหรับ การฟื้นฟูพระกิตติคุณในยุคสุดทึาย เหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์นี้บรรยายไว้ค้วย ค้อยคำที่เรียบง่ายแต่น่าฟ้งของโจเซฟ สมิธ
คำสอนฃองโจเซฟ สมิธ
การค้นหาความจริงของโจเซฟ สมิธสอนว่าการศึกษาพระคัมภีร์และการสวดอ้อนวอนที่จริงใจเชื้อเชิญการเปีดเผย
โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:5, 7–13: “มีเหตุการณ์ไม่สงบที่ผิดปกติเกี่ยวกับ เรื่องศาสนาในถิ่นที่เราอยู่ มันเริ่มกับแม่โธติสต์ แต่ในไม่ช้ากลับกว้างขวางไปใน บรรดานิกายทั้งหมดในภาคนั้นของประเทศ แท้จริงมันดูเหมือนจะกระทบกระ เทือนทั้งท้องถิ่นของประเทศ และฝูงชนเปีนอันมากเข้าลับพรรคศาสนาต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดความยุ่งยากและความแตกแยกไม่ท้อยในบรรดาผู้คน บางคนว่า ‘นี่ แน่ะที่นี่’ คนอื่นๆ ‘นั่นแน่ะที่นั่น’ บางคนโต้เถียงเพื่อความเชื่อของแบโธติสต์ บางคนเพื่อเพรสเบทืเรียน และบางคนเพื่อแบบทิสต์ …
“ในเวลานั้นข้าพเจ้าอายุย่างเข้าปีที่สิบห้า ครอบครัวของบิดาของข้าพเจ้าถูก ชักจูงไปสู่ความเชื่อเพรสเบทืเรียนและสี่คนเข้าลับศาสนาจักรนั้นคือ มารดาของ ข้าพเจ้าลูซึ่ พี่ชายและท้องชายของข้าพเจ้าไฮรัมและแซมิวเอล แฮริซัน และพี่ สาวของข้าพเจ้าโซเฟรเมีย
“ระหว่างเวลาอันเป็นเหตุการณ์ไม่สงบใหญ่หลวงนี้ จิตใจของข้าพเจ้าเต็มไป ด้วยความครุ่นคิดหนักและหงุดหงิดมาก แต่แท้ว่าความรู้สึกของข้าพเจ้าจะลึก ซึ้งและรุนแรงบ่อยๆ ข้าพเจ้าคงทำตัวอยู่ห่างจากพรรคทั้งหมดนี้ แท้ว่าข้าพเจ้า จะเข้าร่วมการประชุมต่างๆ ของพวกเขาบ่อยครั้งเท่าที่โอกาสจะอำนวย ในเวลา ต่อมาจิตใจของข้าพเจ้ากลับเอียงข้างนิกายแบโธติสต์อยู่บ้าง และข้าพเจ้ารู้สึก ปรารถนาจะเข้าร่วมกับเขาห้าง แต่ความยุ่งยากและการแก่งแย่งในบรรดาลัทธิ ต่างๆ นั้นใหญ่หลวงนักจนสุดวิสัยสำหรับผู้อ่อนวัยอย่างข้าพเจ้าและไม่ประสา ต่อมนุษย์และเรื่องที่จะมีการตัดสินใจใดแน่นอนว่าใครถูกและใครผิด
“จิตใจของข้าพเจ้าบางเวลาไม่สงบอย่างมาก เสียงป่าวร้องและความวุ่นวาย ใหญ่หลวงนักและไม่หยุดหย่อน เพรสเบทืเรียนตั้งใจต่อต้านแบบทิสต์และแมโธดิสต์ที่สุด และใข้อำนาจทั้งหมดของทั้งเหตุผลและเล่ห์เหลี่ยมเพื่อพิสูจน์ ความผิดของพวกนั้นหรืออย่างน้อยก็ำำำำำทำให้ผู้คนคิดว่าพวกนั้นอยู่ในความหลง ผิด อีกมัยหนึ่งแบบทิสต์และแบโธติสต์ก็เช่นก้น ต่างบุ่งนั่นพยายามตั้งหลักการ ของตนเองและมักล้างหลักการอื่นทั้งหมด
“ท่ามกลางสงครามคารมและความวุ่นวายของความคิดเห็นนี้ ข้าพเจ้ากล่าว กับตนเองบ่อยๆ จะ ทำอะไรได้เล่า? พรรคทั้งหมดนี้ใครเล่าถูกหรือไม่ถูกด้วยกัน ทั้งหมด? หากพรรคใดถูก คือพรรคไหนเล่าและข้าพเจ้าจะรู้จักมันได้อย่างไร เล่า?
“ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังอยู่กับความยากลำบากอย่างยิ่งกันเกิดจากการแข่งขัน ของพรรคมักศาสนาเหล่านี้ วันหนึ่งข้าพเจ้าอ่านสารของเจมส์บทที่หนึ่งและข้อ ที่ห้าซึ่งอ่านว่า หากผู้ใดในพวกท่านขาดปัญญา ให้เขาทูลขอจากพระผู้เปีนเจ้าที่ ประทานแก่คนทั้งปวงอย่างเผื่อแผ่ และหาทรงดุว่าไม่และจะประทานมันให้ผู้นั้น
“ไม่เคยมีข้อความใดของพระคัมภีร์มาสู่จิตใจของมนุษย์ด้วยอำนาจมากกว่า ข้อความนี้ในขณะนั้นมาสู่จิตใจข้าพเจ้า มันดูเหมือนจะเข้าถึงความรู้สึกทุกอย่าง ของจิตใจข้าพเจ้าด้วยพลังอันแรงกล้า ข้าพเจ้าครุ่นคิดถึงมันครั้งแล้วครั้งเล่า โดย รู้ว่าหากผู้ใดด้องการปัญญาจากพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าก็ด้องการ เพราะข้าพเจ้า ไม่รู้จะกระทำอย่างไร และนอกจากข้าพเจ้าจะได้ปัญญามากกว่าที่ข้าพเจ้ามีอยู่ เวลานั้น ข้าพเจ้าไม่อาจรู้ได้เลยเพราะผู้สอนศาสนาของนิกายต่างๆ เข้าใจข้อ ความเดียวกันของพระคัมภีร์ไปต่างๆ นาๆ จนทำลายความมั่นใจทั้งหมดในการ หาคำตอบโดยด้นดูจากพระคัมภีร์ไบเบิล
“ในที่สุดข้าพเจ้ามีการตัดสินใจว่าข้าพเจ้าด้องคงอยู่ในความมืดมนและความ ยุ่งยาก หรือมิฉะนั้นก็ด้องทำตังที่เจมส์ชี้ทาง มั่นคือทูลขอจากพระผู้เป็นเจ้า ใน ที่สุดข้าพเจ้าเกิดความตั้งใจที่จะ ‘ทูลขอจากพระผู้เป็นเจ้า’ โดยตัดสินใจว่าหาก พระองค์ประทานปัญญาแก่ผู้ที่ขาดปัญญาและจะประทานอย่างเผื่อแผ่และไม่ทรงดุว่าแด้วข้าพเจ้าจะได้ลองดู”4
โจเซฟ สมิธเรียนรู้ถึงอำนาจของศัตรูแ่ห่งความชอบธรรมทั้งมวล
โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:14–16: “เช่นนั้นเพื่อให้เป็นไปตามนี้ ความตั้งใจ ของข้าพเจ้าที่จะทูลขอจากพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจึงเข้าไปในป่าเพื่อพยายามคู มันเป็นเวลาเช้าของวันที่สวยงาม แจ่มใส ด้นฤดูใบไม้ผลิของปีหนึ่งพันแปดร้อย ยี่สิบ มันเปีนครั้งแรกในชีวิตของข้าพเจ้าที่พยายามเช่นนั้น เพราะท่ามกลาง ความกังวลทั้งหมดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังไม่เคยพยายามสวดด้อนวอนโดย ออกเสียงเลย
“หลังจากไปถึงที่ที่ข้าพเจ้าหมายไว้ก่อนแด้วที่จะไป โดยมองไปรอบๆ และ พบว่าตนเองอยู่ตามลำพัง ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าลง และเริ่มตั้งความปรารถนาของ ใจข้าพเจ้าต่อพระผู้เปีนเจ้า ข้าพเจ้าเพิ่งเริ่มทำเช่นนั้น เมื่อโดยทันทีนั้น ข้าพเจ้าถูกอำนาจหนึ่งมาตรึงไว้ซึ่งทำใม้ข้าพเจ้าหมดกำลังสิ้น และมีอิทธิพลอย่าง ประหลาดเช่นนั้นเหนือข้าพเจ้าราวคับจะผูกลิ้นของข้าพเจ้าไว้จนพูดไม่ออก ความมีดอย่างหนักรวมตัวเข้ามารอบข้าพเจ้าและชั่วครู่นั้นกับข้าพเจ้ามันลูราว คับว่าข้าพเจ้าชะตาถึงความพินาศทันที
“แต่โดยใช้พลังทั้งหมดของข้าพเจ้าเรียกหาพระผู้เป็นเจ้าให้ปลดปล่อยข้าพเจ้าหลุดพันจากอำนาจของศัตรูซึ่งตรึงข้าพเจ้าอยู่นี้ และในทันใดนั้นเองเมื่อ ข้าพเจ้าคำลังจะตกอยู่ในความสิ้นหวังและปล่อยตัวใม้ความพินาศ—มิใช่ให้ หายนะที่เป็นมโนภาพ แต่ให้อำนาจของผู้หนึ่งที่มีอยู่จริงจากโลกซึ่งมองไม่เห็น นั้น ผู้ที่มีอำนาจอันน่าอัศจรรย์เช่นนั้นตังที่ข้าพเจ้าไม่เคยพบในผู้ใดมาก่อน—ชั่ว ขณะของความตื่นตกใจใหญ่หลวงนี้ ข้าพเจ้าเห็นล่าแสงเหนือความสว่างของ ดวงอาทิตย์อยู่ตรงเหนือศีรษะของข้าพเจ้า ซึ่งค่อยๆ เลื่อนลงมาจนตกต้อง ข้าพเข้า”5
พระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ทรงปรากฏต่อโจเซฟเพื่อตอบคำสวดอ้อนวอนที่อ่อนน้อมถ่อมตนของท่าน
โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:17–20: “ทันทีที่มันปรากฎ ข้าพเจ้าพบตัวหลุดพ้น จากศัตรูซึ่งยึดข้าพเจ้าไว้แน่น เมื่อแสงนั้นอยู่บนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นสองพระองค์ประทับยืนอยู่เหนือข้าพเจ้าในอากาศ ซึ่งความสว่างและรัศมีภาพของทั้ง สองพระองค์เกินกว่าจะพรรณนาไต้ องค์หนึ่งรับสั่งกับข้าพเจ้าโดยทรงเรียกชื่อ ข้าพเจ้าและตรัสพลางชี้พระหัตถ์ใปที่อีกองค์หนึ่ง—นึ่คือบุตรที่รักของเรา จงฟ้งท่าน!
“จุดประสงค์ของข้าพเจ้าในการไปทูลสอบถามพระเจ้าคือที่จะรู้ว่านิกายใด ของนิกายทั้งหมดถูกต้อง เพื่อข้าพเจ้าจะไต้รู้ว่านิกายใดที่จะเข้าร่วม ฉะนั้นทันที ที่ข้าพเจ้ารู้สึกตัวจนสามารถพูดไต้แล้ว ข้าพเจ้าจึงทูลถามสองพระองค์ที่ประทับ ยืนอยู่เหนือข้าพเจ้าในความสว่างว่า นิกายใดของนิกายทั้งหมดถูกต้อง และที่ ข้าพเจ้าจะเข้าร่วม
“ข้าพเจ้าไต้รับตอบว่า ข้าพเจ้าต้องไม่เข้าร่วมกับนิกายใดเลย เพราะเขาผิด ทั้งหมด และองค์ที่รับสั่งกับข้าพเจ้าตรัสว่า ความเชื่อถือทั้งหมดของพวกเขา เปีนความน่าชิงชังในสายพระเนตรของพระองค์ ว่าอาจารย์เหล่านั้นล้วนทำผิด คือ ‘เขาอยู่ใกล้เราต้วยริมฝีปากของเขาแต่ใจของเขาอยู่ไกลเรา เขาสอนบัญญัติ ของมนุษย์โดยมีแบบของความเป็นพระผู้เป็นเจ้าเป็นคำสอน แต่เขาปฏิเสธ อำนาจในนั้น’
“พระองค์ทรงห้ามข้าพเจ้าอีกไมไห้เข้าร่วมกับนิกายใด และพระองค์ไต้รับสั่ง เรื่องอื่นๆ หลายเรื่องกับข้าพเจ้าซึ่งข้าพเจ้าจะเขียนในเวลานี้ไม่ไต้ เมื่อข้าพเจ้า รู้สึกตัวอีกข้าพเจ้าพบตัวกำลังนอนหงาย มองขึ้นไปยังสวรรค์ เมื่อแสงลับไป แล้วข้าพเจ้าไม่มีแรง แต่ในไม่ชัาก็นืกลับมาบัาง ข้าพเจ้าจึงกลับบัานและขณะที่ ข้าพเจ้ายืนพิงเตาผิงอยู่ มารดาสอบถามว่าเป็นอะไร ข้าพเจ้าตอบ ‘ไม่เป็นไร หรอก ทุกอย่างดี—ผมสบายดีพอสมควร’ แล้วข้าพเจ้ากล่าวกับมารดาของข้าพเจ้า ‘ผมเรียนรู้มาเองว่าลัทธิเพรสเบทีเรียนไม่จริง’ มันดูราวกับว่าปฏิปักษ์รู้ใน เยาว์วัยมากของชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถูกกำหนดให้เป็นผู้ก่อกวนและผู้ทำความ ลำบากให้อาณาจักรของเขา มิฉะนั้นเหตุใดอำนาจมืดจะรุมเล่นงานข้าพเจ้าเล่า? เหตุใดเล่าการตรงกันข้ามและการข่มเหงที่เกิดกับข้าพเจ้าเกือบในวัยเด็กของ ข้าพเจ้า?”6
เมื่อประจักษ์พยานของเราเข้มแข็ง การข่มเหงย่อมไม่สามารถทำให้เราปฏิเสธสิ่งที่เรารู้ว่าเป็นความจริงได้
โจเซฟ สมิธ—ประวติ 1:21–26: “สองสามวันหลังจากข้าพเจ้าเห็นภาพนี้ ข้าพเจ้าบังเอิญพบกับผู้สั่งสอนของแมโธดิสต์ผู้หนึ่ง ผู้มืบทบาทมากในเหตุการณ์อันไม่สงบเกี่ยวกับศาสนาดังที่กล่าวมาก่อนแล้ว และโดยสนทนากับเขา ถึงเรื่องศาสนา ข้าพเจ้าถือโอกาสเล่ากับเขาถึงเรื่องภาพซึ่งข้าพเจ้าเห็นมา ข้าพเจ้าแปลกใจมากในการกระทำของเขา เขาไม่เพียงถือว่าการบอกเล่าของข้าพเจ้า ไร้สาระ แต่ยังดูหมิ่นมาก โดยกล่าวว่า บันเปีนของมารทั้งหมด ว่าไม่มืเรื่องเช่น นั้นเช่นภาพที่มาให้เห็น หรือการเปีดเผยแห้วในปัจจุบัน ว่าเรื่องเช่นนั้นทั้งหมด หมดไปแล้วพร้อมกับอัครสาวก และว่าจะใม่มีมันอีกเลย
“อย่างใรก็ตาม ในไม่ข้าข้าพเจ้าพบว่าการเล่าเรื่องของข้าพเจ้าทำให้เกิดความ รังเกียจข้าพเจ้ามากในบรรดาอาจารย์ทางศาสนา และเป็นเหตุของการข่มเหง ใหญ่หลวงซึ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และแห้ว่าข้าพเจ้าป็นเด็กที่ไม่มืใครรู้จัก อายุระหว่างสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น และความเป็นอยู่ของข้าพเจ้าในชีวิตอย่างที่จะทำให้ เป็นเด็กที่ไม่มืความสำคัญในโลก แต่คนที่ฐานะสูงจะยังสังเกตพอที่จะยั่วความ คิดเห็นของสาธารณชนให้ต่อต้านข้าพเจ้าและก่อให้เกิดการข่มเหงอย่างขมขื่น และนึ่เปีนธรรมดาในบรรดานิกายทั้งหมด—ทั้งหมดรวมกันข่มเหงข้าพเจ้า
“เวลานั้นบันทำให้ข้าพเจ้าครุ่นคิดหนักและคิดบ่อยๆ ตั้งแต่นั้นมา ช่างแปลก อะไรอย่างนี้ที่เด็กที่ไม่มืใครรู้จัก อายุกว่าสิบสี่ปีเล็กน้อย และเป็นคนหนึ่งด้วยที่ อยู่ในฐานะมืความจำเป็นต้องรับรายไต้เล็กห้อยโดยงานประจำวันของเขา จะเป็น ผู้มืความสำคัญเพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจจากผู้ใหญ่ของนิกายที่แพร่หลาย ที่สูดของยุค และในวิธีที่ทำให้เกิดวิญญาณการข่มเหงและสบประมาทที่ขมขื่น ที่สูดในพวกเขา แต่จะแปลกหรือไม่ บันล็เป็นไปเช่นนั้นและเป็นเหตุแห่งความ สลดใจใหญ่หลวงแก่ตัวข้าพเจ้าบ่อยๆ
“อย่างใรล็ตาม กระนั้นบันยังเป็นความจริงว่าข้าพเจ้าเห็นภาพ ข้าพเจ้าคิดตั้ง แต่นั้นมาว่าข้าพเจ้ารู้สึกเหป็อนพอลมากเมื่อท่านเป็นจำเลยต่อหห้ากษัตริย์อะ ฆริปา และเล่าถึงเรื่องภาพที่ท่านเห็นมา เมื่อท่านเห็นแสงและได้ยินเสียง แต่ ยังมีไม่กี่คนที่เชื่อท่าน บ้างว่าท่านกล่าวเท็จ คนอื่นๆ ว่าท่านบ้า และท่านถูก หัวเราะเยาะและสบประมาท แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้ลบบ้างความเป็นจริงของภาพที่ ท่านเห็น ท่านเห็นภาพ ท่านรู้ว่าท่านเห็นและการข่มเหงทั้งหมดภายได้สวรรค์จะ ทำใบ้หันเปีนอย่างอื่นไปไม่ได้ และแบ้ว่าเขาจะข่มเหงท่านจนถึงแก่ความตาย ท่านก็ยังรู้และจะรู้จนสิ้นลมปราณว่าท่านทั้งเห็นแสงและได้ยินเสียงพูดกับท่าน และโลกทั้งหมดจะท่าใบ้ท่านคิดหรือเชื่อเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
“พันเป็นเช่นนั้นกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นแสงจริงๆ และท่ามกลางแสงนั้น ข้าพเจ้าเห็นสองพระองค์ และพระองค์ได้รับสั่งในความเป็นจริงกับข้าพเจ้า และ แบ้ว่าข้าพเจ้าถูกเกลียดชังและข่มเหงเพราะการกล่าวว่าข้าพเจ้าเห็นภาพ แต่หัน ก็จริง และขณะที่พวกเขากำลังข่มเหงข้าพเจ้า สบประมาทข้าพเจ้า และพูด ความชั่วนานาประการใส่ความข้าพเจ้าผิดๆ เพราะการกล่าวเช่นนั้น น้น ทำให้ ข้าพเจ้ากล่าวอยู่ในใจ ทำไมจึงข่มเหงข้าพเจ้าเพราะการบอกความจริงเล่า? ข้าพเจ้าเห็นภาพจริงๆ และข้าพเจ้าเป็นใครเล่าที่จะยับยั้งพระผู้เป็นเจ้าได้ หรือ ทำไมโลกจึงคิดจะำำำำำ ทำใบ้ข้าพเจ้าปฏิเสธสั่งที่ข้าพเจ้าเห็นมาจริงๆ เล่า? เพราะ ข้าพเจ้าเห็นภาพ ข้าพเจ้ารู้หัน้ และข้าพเจ้ารู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรู้หัน และข้าพเจ้าปฏิเสธไม่ได้ ทั้งข้าพเจ้าไม่กล้าปฏิเสธ อย่างบ้อยก็รู้ว่าโดยการ ทำเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะ ทำให้พระผู้เป็นเจ้าขุ่นเคืองและจะถูกกล่าวโทษ
“เวลานี้ข้าพเจ้ามีจิตใจสบายแล้วเท่าที่เกี่ยวกับโลกนิกาย—ว่าม้นมิใช่หน้าที่ ของข้าพเจ้าที่จะเข้าร่วมกับนิกายใด แต่จะดำเนินต่อไปดังที่ข้าพเจ้าเป็นมาจนกว่าจะได้รับกำแนะนำอีก ข้าพเจ้าพบว่าประจักษ์พยานของเจมส์จริง คือคน ที่ขาดปัญญาจะได้ทูลขอจากพระผู้เป็นเจ้าและได้รับและไม่ถูกดุว่า”7
ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน
พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะศึกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเติมได้ที่หน้า ⅶ–ⅹⅱ.
-
อ่านทวนหน้า 27–32 พิจารณาว่าโจเซฟ สมิธเป็นแบบอย่างสำหรับเรา อย่างไรขณะที่เราหากำตอบให้กำถามของเรา ขณะศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับภาพ ปรากฎครั้งแรก ท่านเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับการอ่านพระคัมภีร์ การไตร่ตรอง และการสวดอ้อนวอน
-
อ่านทวนหน้า 32–33 พิจารณาความจริงที่โจเซฟ สมิธเรียนรู้เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระเยซูคริสต์เมื่อท่านเห็นภาพปรากฎครั้งแรก เหตุใด เราแต่ละคนจึงต์องมีประจักษ์พยานเกี่ยวกับภาพปรากฎครั้งแรก
-
เมื่อโจเซฟบอกคนอื่นๆ เรื่องภาพปรากฎครั้งแรก หลายคนมีอคติต่อท่านและ ข่มเหงท่าน (หน้า 33) ท่านคิดว่าเหตุใดผู้คนจึงมีปฎิกิริยาเช่นนั้น ไตร่ตรอง ถึงท่าทีและความรู้สึกที่โจเซฟมีต่อการข่มเหง (หน้า 33–34) เราจะ ทำตาม แบบอย่างของท่านได้อย่างไรเมื่อเราเผชิญการข่มเหงหรือการทดลองอื่นๆ
-
เมื่อท่านเรียนรู้เรื่องภาพปรากฎครั้งแรก เรื่องนี้มีผลกระทบต่อท่านอย่างไร เรื่องนี้มีผลกระทบต่อท่านอย่างไรนับแต่นั้น ท่านเข้มแข็งขึ้นในด้านใดบ้าง เมื่อท่านศึกษาเรื่องราวดังกล่าวอีกครั้งในบทเรียนนี้
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง: อิสยาห์ 29:13–14; โยเอล 2:28–29; อาโมส 3:7; มอรมอน 9:7–9