บทที่ 19
ยืนหยัดฟ้นฝ่ามรสุมชีวิต
“จงยืนหยัด สิทธิชนทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้า อดทนอีกสักหน่อย และมรสุมชีวิตจะผ่านไป และท่านจะได้รับรางวัล จากพระผู้เป็นเจ้าองค์นั้นซึ่งท่านเป็นผู้รับใช้ของพระองค์”
จากชีวิตฃองโจเซฟ สมิธ
คืนวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1832 โจเซฟ สมิธอยู่ดูแลโจเซฟบุตรชายวัย 11 เดือนจนดึก เขาป่วยเป็นโรคหัด เวลานั้นครอบครัวสมิธอาศัยอยู่ที่บ้านของ จอห์น จอห์นสันในเมืองไฮรัม รัฐโอไฮโอ ในที่สุดศาสดาก็นอนหลับไปบนเตียง ล้อเลื่อนขนาดเล็กเมื่อกลุ่มคนร้ายเมาวิสกี้สิบกว่าคนบุกเข้ามาในบ้าน ต่อมา ศาสดาไล้เล่าเหตุการณในคืนอันน่าสยดสยองนั้นดังนี้
“คนร้ายเปีดประตูพรวดเข้ามาล้อมเตียงทันที…สิ่งแรกที่ข้าพเจ้ารู้คือข้าพเจ้ากำลังถูกคนร้ายที่โกรธแล้นมากลากออกไป ข้าพเจ้าสู้สุดฤทธี้เพื่อให้ตนเอง เปีนอิสระขณะถูกพวกนั้นใช้กำลังบังคับให์ออกไปข้างนอก ข้าพเจ้าใช้ขาข้างที่ ว่างอยู่เตะชายคนหนึ่งตกบันไดหป่าประตู แต่บันใดนั้นข้าพเจ้าก็ล้องยอมจำนน อีกครั้งและพวกเขาสาบา… . ว่าจะฆ่าข้าพเจ้าภ้าไม่อยู่นิ่งๆ ซึ่งทำให์ข้าพเจ้า สงบลงได้… .
“ครั้นแล้วพวกเขาก็มีบคอข้าพเจ้าและบีบอยู่อย่างนั้นจนข้าพเจ้าหมดสติ เมื่อพวกเขาเดินหิ้วปีกข้าพเจ้าออกจากบ้านมาไล้ประมาณ 150 เมตรข้าพเจ้าก็ เห็นเอ็สเตอร์ริกดันนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นตรงที่ถูกพวกเขาจับล้นเทำลากมา ข้าพเจ้าคิดว่าเขาตายแล้วจึงเริ่มวิงวอนว่า ‘ผมหวังว่าคุณจะมีเมตตาและไล้ชีวิต ผม่ พวกเขาตอบว่า ‘…ขอพระผู้เป็นเจ้าของแกช่วยสิ พวกเราไม่เมตตาแกแน่’ ”
หลังจากหารือกันพักใหญ่ คนร้าย “ลงความเห็นว่าจะไม่ฆ่าข้าพเจ้า” ศาสดา เล่า “แต่ตีและข่วนเนื้อตัวข้าพเจ้า ดึงเสื้อเชิ้ตกับกางเกงของข้าพเจ้าหิ้ง ปล่อย ให้ข้าพเจ้าเปลือย…พวกเขาวิ่งกลับไปเอาลังยางมะตอยพร้อมกับแช่งด่าไป ด้วย เมื่อคนหนึ่งร้องตะโกนว่า ‘พวกเราเทยางมะตอยใส่ปากมันดีกว่า’ และ พวกเขาพยายามยัดไม้คนยางมะตอยใส่ปากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าหันหม้าหนีเพื่อพวก เขาจะทำไม่ได้ และพวกเขาตะโกนเสียงดังว่า ‘…อยู่เฉยๆ แล้วยอมให้ พวก เรากรอกปากซะดีๆ’ พวกเขาพยายามยัดขวดแม้วใบเล็กใส่ปากข้าพเจ้า และมัน แตกอยู่ในปาก เสื้อผ้าของข้าพเจ้าถูกดึงทิ้งหมดยกเว้นปกเสื้อเชิ้ต ชายคนหนึ่งโถมใส่ข้าพเจ้าและใช้เล็บข่วนไปตามลำตัวข้าพเจ้าเหมือนแมวม้า…
“พวกเขาปล่อยข้าพเจ้าไว้อย่างนั้น ข้าพเจ้าพยายามลุกขึ้น แต่ล้มลงไปอีก ข้าพเจ้าดึงยางมะตอยออกจากริมนีปากเพื่อให้หายใจสะดวกขึ้น ผ่านไปพักหนึ่ง ข้าพเจ้าก็เริ่มมีทำลังวังชาเหมือนเดิม พยุงตัวลุกขึ้น ครั้นแล้วก็เห็นไฟสองดวง ข้าพเจ้าเดินตรงไปที่ไฟดวงหนึ่ง และพบว่ามันคือม้านของคุณฟ่อจอห์นสัน พอ มาถึงประตูม้าน… . ยางมะดอยทำให้ข้าพเจ้าเหมือนคนที่มึเลือดออกท่วมตัว และเมื่อภรรยาข้าพเจ้าเห็นตังนั้นเธอคิดว่าข้าพเจ้าคงถูกดีจนสะบักสะมอม แล้วเธอก็เป็นลน…
“เพื่อนๆ ใช้เวลาทั้งคืนแกะยางมะตอยออก ล้างและทำความสะอาดเนื้อตัว ข้าพเจ้าเผื่อว่าตอนเช้าข้าพเจ้าจะใส่เสื้อผ้าได้เลย”
แม้หลังจากการทดสอบที่แสนสาหัสนี้ ศาสดายังคงยืนหยัดทำความรับผิด ชอบที่ท่านมืต่อพระเจ้าจนถึงที่สุด รุ่งขึ้นคือวันแซมัธ “ผู้คนมาชุมนุมกันเพื่อ ประชุมนมัสการตามปกติ” ศาสดาบันทึก “และคนร้ายแฝงตัวอยู่ในนั้นด้ว… . ข้าพเจ้าสั่งสอนผู้เข้าร่วมประชุมเช่นที่เคยปฏิบัติ แม้เนื้อตัวจะมีแต่รอย ขีดข่วนและรอยแผลจากยางมะตอย และตอนบ่ายวันนั้นข้าพเจ้าให้มัพดิศมา สามคน”1 โจเซฟบุตรชายของโจเซฟและเอ็มมาเสียชีวิตหลังจากกลุ่มคนร้าย โจมดีห้าวันเนื่องจากกระทบอากาศเย็นตอนกลางคืนระหว่างป่วยเป็นโรคมัด
วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้ ประธานศาสนาจักรคนที่สี่กล่าวว่า “พระเจ้าทรงบอกโจเซฟว่าพระองค์จะทรงพิสูจน์ท่านเพื่อตูว่าท่านจะรักษาพันธสัญญาของพระองค์ แม้จนถึงความตายหรือไม่ พระองค์ทรงพิสูจน์ท่าน และแม้คนทั้งโลกจะต่อสู้กับ [โจเซฟ] และท่านด้องทนการทรยศหักหลังของเพื่อนจอมปลอม แม้ชีวิตท่าน ทั้งชีวิตจะเป็นภาพของความเดือดร้อน ความกระวนกระวายใจ และความวิตก กังวล แต่ในความทุกข์ทรมานทั้งหมดของท่าน การถูกคุมขัง การถูกทําร้าย และการเยียวยาความเจ็บไข้ได้ป่วยที่ท่านประสบ ท่านยังคงแน่วแน่ต่อพระผู้เป็นเจ้าของท่านไม่เปลี่ยนแปลง”2
คำลอนฃองโจเซฟ สมิธ
ผู้ติดตามพระเยซูคริสต์จะถูกทดสอบและต้องพิสูจน์ ตนว่าชื่อสัตย์ต่อพระผู้เป็นเจ้า
“ไม่มีความปลอดภัย มีก็แต่ในพระพาหุของพระเยโฮวาห์เท่านั้น ไม่มีใคร ปลดปล่อยได้ และพระองค์จะไม่ทรงปลดปล่อยจนกว่าเราจะพิสูจน์ตนว่าซื่อสัตย์ต่อพระองค่ในความเดือดร้อนแสนสาหัส เพราะคนที่จะซักล้างเสื้อผ้าของ เขาในพระโลหิตของพระเมษโปดกด้องประสบความยากลำบากใหญ่หลวง [ดู วิวรณ์ 7:13–14] แม์ใหญ่หลวงที่สูดในบรรดาความทุกข์ทรมานทั้งหมด”3
“ชะตาชีวิตของคนทั้งปวงอยู่ในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเที่ยงธรรม และพระองค์จะทรงให้ความเป็นธรรมแก่ทุกคน และสิ่งนี้แน่นอนคือเขาผู้จะ ดำเนินชีวิตเหมือนพระผู้เป็นเจ้าในพระคริสต์พระเยซูจะด้องทนรับการข่มเหง [ดู 2 ทิโมชี 3:12] และก่อนที่เสื้อผ้าของพวกเขาจะถูกทำให้ขาวในพระโลหิต ของพระเมษโปดก พวกเขาจะด้องประสบความยากลำบากใหญ่หลวงตามลคำ กล่าวของยอห์นผู้เปีดเผย [ดู วิวรณ์ 7:13–14]”4
“มนุษย์ด้องทนทุกข์เพื่อพวกเขาจะมาบนเขาไซอันและจะถูกยกให้สูงกว่า ท้องฟ้า”5
ขฌะทนทรมานแสนสาหัสระหว่างถูกคุมขังอยู่ในคุกลิเบอร์ตี้ในช่วงฤดูหนาว ของปี ค.ศ.1838–1839 ศาสดาเขียนถึงสมาชิกของศาสนาจักรดังนี้ “พี่น์องที่ รักทั้งหลาย เรากล่าวแก่ท่านว่า เนื่องด้วยพระผู้เป็นเจ้าตรัสว่าพระองค์จะทรง ทดสอบผู้คนเพื่อพระองค์จะทรงทำให้พวกเขาบริสูทธิ์ดั่งทอง [ดู มาลาคี 3:3] พวกเราจึงคิดว่าเวลานี้พระองค์ได้ทรงเลือกเบ้าหลอมของพระองค์แล้ว ซึ่งเรา จะถูกทดสอบในนั้น และเราคิดว่าล้าเราผ่านการทดสอบมาด้วยความปลอดภัย ในระดับใดก็ตาม และรักษาศรัทธาเอาไว้ นั่นจะเป็นเครื่องหมายบอกคนรุ่นนี้ มากพอที่จะไม่ปล่อยให้พวกเขามีข์อแกัตัว และเราคิดด้วยว่านั่นจะเป็นการ ทดลองศรัทธาของเราเท่าๆ กับศรัทธาของอับราฮัม และในวันพิพากษาคนสมัย โบราณจะไม่สามารถโล้อวดได้ว่าพวกเขาประสบความทุกข์ทรมานมากกว่าเรา และเราจะถูกพิพากษาว่ามีค่าควรเท่ากับพวกเขา”6
“ความยากลำบากมีแต่จะให้ความรู้ที่จำเป็นเพื่อเราจะเข์าใจจิตใจของคนสมัย โบราณ โดยส่วนตัวแล้วข์าพเจ้าคิดว่าข์าพเจ้าคงไม่มีวันรู้สึกเช่นที่รู้สึกเวลานี้ หากไม่เคยประสบเรื่องเลวร้ายที่ข้าพเจ้าประสบมา ทุกอย่างจะบังเกิดผลอันดี ต่อคนที่รักพระผู้เป็นเจ้า [ดู โรม 8:28]”7
จอห์น เทย์เลอร์ ประธานศาสนาจักรคนที่ สามกล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ยินศาสดาโจเซฟพูดกับ อัครสาวกสิบสองครั้งหนึ่งว่า ‘ท่านจะด้องประสบ การทดลองทุกรูปแบบ และท่านจำเป็นต้องได้รับ การทดสอบเช่นเดียวอับอับราฮัมและคนของ พระผู้เป็นเจ้า และ (ท่านกล่าวว่า) พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทดสอบท่าน พระองค์จะทรงจับท่านไว้ และจะทรงทดสอบความรู้สึกและความปรารถนา ในส่วนสึกที่สุดของท่าน และหากท่านทนไม่ ไหว ท่านย่อมไม่สมควรรับมรดกในอาณาจักรชั้นสูงของพระผู้เป็นเจ้า’.… โจเซฟ สมิธมีความสงบสุขเพียงไม่กี่เดือนหลังจากได้รับความจริง และในที่สุด ท่านก็ถูกฆาตกรรมในคุกคาร์เทจ”8
พระผู้เป็นเจ้าจะทรงสนับสนุนช่วยเหลือและประทานพรผู้ที่วางใจ พระองค์ในช่วงเวลาแห่งการทดลอง
“พลังอำนาจของพระกิตติคุณจะทำให้เราสามารถยอมรับและทนต่อความ ทุกข์ทรมานใหญ่หลวงที่รูมเร้าเราได้ด้วยความอดทน… ยิ่งการข่มเหงหนักข้อ ขึ้นเท่าใด ของประทานที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบให้ศาสนาจักรของพระองค์จะยิ่ง มากขึ้นเท่านั้น แห้จริงแล้ว ทุกสิ่งจะบังเกิดผลอันดีต่อคนที่ยอมพลีชีวิตเพื่อ เห็นแก่พระคริสต์”9
“ความหวังเดียวและความมั่นใจของข้าพเจ้าอยู่ในพระผู้เป็นเจ้าองค์นั้นผู้ประทานการดำรงอยู่ให้ข้าพเจ้า ในพระองค์มีพระเดชานุภาพทั้งหมด ผู้ประทับ อยู่ตรงหห้าข้าพเจ้าเวลานี้ และใจข้าพเจ้าเผยต่อพระเนตรพระองค์ตลอดเวลา พระองค์ทรงเป็นพระผู้ปลอบโยนของข้าพเจ้า และพระองค์หาทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าไม่”10
“ข้าพเจ้าทราบว่าข้าพเจ้าไว้ใจพระองค์ ข้าพเจ้ายืนอยู่บนศิลา น้ำท่วมไม่สามารถพัดพาให้ข้าพเจ้าล้มลงได้ ไม่ บันจะไม่พัดพาให้ข้าพเจ้าล้ม’ ”11
หลังจากศาสดาได้รับการปล่อยตัวจากการถูกคุมขังในคุกลิเบอร์ตี้ ท่านเล่า ประสบการฌ์ของฟานดังนี้ “ขอบพระทัยพระผู้เป็นเจ้าที่เราได้รับการปล่อยตัว แม้พี่น้องที่รักบางคนของเราจะด้องผนึกประจักษ์พยานด้วยเลือดของพวกเขา และเสียชีวิตเป็นมรณสักขีเพื่ออุดมการณ์แห่งความจริงก็ตาม—
“ความเจ็บปวดของพวกเขาแม้นขมขื่นแต่ชั่วประเดี๋ยว
ความปีติยินดีของพวกเขายั่งยืนเป็นนิจ
“ขอเราอย่าได้โศกเศร้าเหมือน ‘คนสิ้นหวัง’ [ดู 1 เธสะโลนิกา 4:13] เวลา จะมาถึงโดยเร็วเมื่อเราจะเห็นพวกเขาอีกและปลื้มปีติด้วนหน้าโดยไม่หวั่นเกรง คนชั่ว ใช่แล้ว คนที่ล่วงหลับในพระคริสต์ พระองค์จะทรงนําเขามาอยู่กับพระองค์ เมื่อพระองค์จะเสด็จมารับการสรรเสริญในบรรดาสิทธิชนของพระองค์ และให้ทุกคนที่เชื่อชื่นชม แต่เพื่อแก้แด้นศัตรูของพระองค์และคนทั้งหลายทั้ง ปวงเหล่าทั้นที่หาเชื่อฟ้งพระกิตติคุณไม่
“เวลานั้นใจของหญิงม่ายและเด็กกำพร้าจะได้รับการปลอบโยน และจะเช็ด นํ้าตาทุกหยดจากใบหน้าของพวกเขา การทดลองที่พวกเขาด้องประสบจะบังเกิดผลอันดีต่อพวกเขา และเตรียมพวกเขาให้พร้อมรับสังคมของผู้ที่อดทน อย่างซื่อสัตย์ต่อความทุกข์ยากแสนสาหัส ซักด้างเสื้อผ้าและทำให้ขาวในพระ โลหิตของพระเมษโปดก [ดู โรม 8:28; วิวรณ์ 7:13–14, 17]”12
ศาสดาเขียนจดหมายถึงสิทธิชนเมื่อ 1 กันยายน ค.ศ. 1842 ซึ่งต่อมาบันทึก ไว้ในคำสอนและพันธสัญญา 127:2 ด้งนี้ “และเกี่ยวกับอันตรายซึ่งข้าพเจ้าถูก เรียกมาให้ผ่านพ้น บันดูเหมือนเป็นแต่เรื่องเล็กน้อยต่อข้าพเจ้า ตังที่ความอิจฉาและความโมโหของมนุษย์เปีนโชคชะตาของข้าพเจ้าตลอดวันเวลาของชีวิต ข้าพเจ้… . นํ้าลึกยังเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าว่ายจนชิน ทั้งหมดกลับเป็นสันดานที่สอง ต่อข้าพเจ้า และข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนพอล ที่จะรุ่งโรจน์อยู่ในความยากลำบาก เพราะถึงวันนี้ พระผู้เป็นเจ้าของบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทรงปลดปล่อยข้าพเจ้า ออกจากบันทั้งหมด และจะทรงปลดปล่อยข้าพเจ้าตั้งแต่นี้ไป เพราะดูเถิดและ นี่แน่ะ ข้าพเจ้าจะมีซัยชนะศัตรูทั้งหมดของข้าพเจ้า เพราะพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้า รับสั่งบันไว้”13
คนชื่อสัตย์ไม่พรํ่าบ่นในความทุกข์ทรมาน แต่ขอบพระทัย สำหรับพระกรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้า
วันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1833 ศาสดาเขียนถึงผู้นำศาสนาจักรที่คูเเลสิทธิชน ผู้ถูกข่มเหงในมิสฃูรีดังนี้ “จำไว้ว่าอย่าบ่นเรื่องการติดต่อของพระผู้เป็นเจ้ากับ งานสร้างของพระองค์ จนถึงปัจจุบันนี้ท่านก็มิได้ถูกนำมาอยู่ในสภาพการทดลอง ที่ยากเท่ากับศาสดาและอัครสาวกสมัยโบราณเผชิญ ลองนึกถึงดาเนียล ลูก หลานชาวฮีบรูสามคน [ชัดรัค เมชาค และอาเมดเนโก] เยเรมีย์ เปาโล สเทเฟน และอีกหลายคนมากเกินกว่าจะเอ่ยถึง ผู้ถูกขว้างปาด้วยด้อนหิน ถูก เลื่อยเป็นท่อนๆ ถูกล่อลวง ถูกสังหารด้วยดาบ และ [ผู้] ระเหเร่ร่อนในชุด หนังแกะและหนังแพะ ยากจนข้นแค้น ทุกข์ทรมาน ถูกทรมาน โลกไม่คู่ควร กับท่านเหล่านั้น พวกท่านระหกระเหินไปในทะเลทรายและเทือกเขา ซ่อนตัว อยู่ในถํ้าและในโพรงของแผ่นดินโลก แต่พวกท่านล้วนมีชื่อเสียงดีเพราะศรัทธา [ดู ฮีบรู 11:37–39] และท่ามกลางความทุกข์ทรมานทั้งหมดนี้ พวกท่านชื่นชม ยินดีที่ถูกนับว่าคู่ควรรับการข่มเหงเพื่อเห็นแก่พระคริสต์
“เราหารู้ไม่ว่าเราจะถูกเรียกให้เผชิญอะไรก่อนไซอันจะได้รับการปลดปล่อย และสถาปนา ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะดำเนินชีวิตใกล้ชิดพระผู้เป็น เจ้า และเชื่อฟ้งพระบัญญัติทุกข้อของพระองค์อย่างเคร่งครัดเสมอ เพื่อเราจะมี มโนธรรมอันปราศจากความผิดต่อพระผู้เป็นเจ้าและมนุษย์…
“… ความวางใจของเราอยู่ในพระผู้เป็นเจ้า และเราตั้งใจว่าโดยพระคุณที่ คอยช่วยเหลือ เราจะยึดมั่นอุดมการณ์และซื่อสัตย์จนถึงที่สุด เพื่อเราจะได้รับ มงกุฎแห่งรัศมีภาพชั้นสูงและเข้าสู่ที่พำนักที่เตรียมไว้สำหรับลูกๆ ของพระผู้เป็นเจ้า”14
ห้าวันต่อมา ศาสดาเขียนถึงผู้นำศาสนาจักรและสิทธิชนในมิสซูรีดังนี้ “ขอ ให้เราขอบพระทัยที่ทุกอย่างราบรื่นดีอย่างที่เป็นอยู่ เรายังมีชีวิตอยู่และอาจจะมี ชีวิตอยู่ พระผู้เป็นเจ้าทรงสะสมไว้ให้เรามากมายในชั่วอายุนี้ และขอให้เราสรรเสริญพระนามพระองค์ ข้าพเจ้าขอบพระทัยที่ไม่มีใครปฏิเสธศรัทธาอีก ข้าพเจ้าสวดล้อนวอนพระผู้เป็นเจ้าในพระนามของพระเยซูขอให้ทุกท่านรักษา ศรัทธาจนกว่าชีวิตจะหาไม่”15
บันทึกส่วนดัวของศาสดาเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1836 มีดังนี้ “นี่เป็น การเริ่มด้นปีใหม่ ใจข้าพเจ้าเปียมด้วยความกตัญญต่อพระผู้เป็นเจ้าที่พระองค์ ทรงปกปักรักษาชีวิตข้าพเจ้าและชีวิตของครอบครัวข้าพเจ้าขณะที่อีกปีหนึ่งผ่าน ไป เราได้รับการสนับสนุนคํ้าจุนท่ามกลางคนรุ่นที่ชั่วร้ายและวิปริต แม้จะต้อง รับความทุกข์ทรมาน การล่อลวง และความทุกข์ยากทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับชีวิต มนุษย์ เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงรู้สึกเจียมตนในผงคลีและเถ้าธุลีต่อพระพักตร์ พระเจ้า”16
เกี่ยวกับการหายจากความเจ็บไข้ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1837 ศาสดากล่าว ว่า “นี่คือเหตุการณ์หนึ่งในหลายๆ เหตุการณ์ที่ลู่ๆ ข้าพเจ้าก็ถูกนําออกจาก สภาพร่างกายที่แข็งแรงไปลู่สภาพใกถ้ตาย และจุ่ๆ ก็หายดีดังเดิม เพราะเหตุ นี้ใจข้าพเจ้าจึงอิ่มเอิบด้วยความกดัญญูต่อพระบิดาบนสวรรค์ อยากอุทิศตนและ ทุ่มเทพลังทั้งหมดอีกครั้งเพื่อการรับใข้พระองค์”17
ความเชื่อมั่นในพระเดชานุภาพ พระปรีชาญาณ และความรัก ของพระผู้เป็นเจ้าจะช่วยเราหลีกเลี่ยงความท้อแท้ ในช่วงเวลาของการทดลอง
“เราด้องเอาชนะความยุ่งยากทั้งหลายทั้งปวงซึ่งอาจจะและจะขวางทางเรา แม้จิตวิญญาณจะถูกทดสอบ ใจอ่อนระโหยโรยแรง และมืออ่อนถ้า เราต้องใม่ หวนกลับทางเดิม จะด้องมีความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่”18
“โดยที่มีความเชื่อมั่นในพระเดชานุภาพ พระปรีชาญาณ และความรักของ พระผู้เป็นเจ้า สิทธิชนจึงสามารถบุ่งหน้าฟ้นฝ่าสภาวการณ์เลวร้ายที่สุดได้ และ บ่อยครั้งเมื่อไม่มีสิ่งใดปรากฎชัดแจ้งต่อมวลมนุษย์นอกจากความตาย และความ พินาศ [ที่ดูเหมือน] จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่พระเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า เป็นที่ประจักษ์ พระสิริของพระองค์เผยออกมา และการปลดปล่อยบังเกิดผล และสิทธิชนร้องเพลงสรรเสริญพระนามอันศักดิ้สิทธี้ของพระองค์เช่นเดียวกับ ลูกหลานอิสราเอลผู้ออกจากแผ่นดินอียิปต์และผ่านทะเลแดง”19
“ข้าพเจ้าทราบว่าเมฆจะสลายไป และอาณาจักรของซาตานจะเลียหายยับ เยินพร้อมแผนชั่วทั้งหมดของเขา และสิทธิชนจะออกมาเหมือนทองที่ถูกหลอม ในไฟเจ็ดครั้ง โดยถูกทำใน้ดีพร้อมผ่านความทุกข์ยากและการล่อลวง และพร ของสวรรค์และแผ่นดินโลกจะเพิ่มทวีบนศีรษะพวกเขา ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าประทานให้เพื่อเห็นแก่พระคริสต์”20
“จงยืนหยัด สิทธิชนทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้า อดทนอีกสักหน่อย และ มรสุมชีวิตจะผ่านไป และท่านจะได้รับรางวัลจากพระผู้เป็นเจ้าองค์นั้นซึ่ง ท่านเป็นผู้รับใข้ของพระองค์ และพระองค์จะทรงประจักษ์ในคุณค่าของความ ลำบากตรากดรำและความทุกข์ทรมานทั้งหมดของท่านเพื่อเห็นแก่พระคริสต์ และพระกิตติคุณ ชื่อเลียงของท่านจะตกทอดสู่ลูกหลานในฐานะสิทธิชนของ พระผู้เป็นเจ้า”21
จอร์จ เอ. สมิธผู้รับใช้เป็นที่ปรึกษาของประธานบริคัม ยังต์ ได้รับคำแนะนำ จากศาสดาโจเซฟ สมิธเมื่อประสบความยากลำบากใหญ่หลวงดังนี้ “ท่านบอก ข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าด้องไม่ท์อถอยเลย ไม่ว่าความยากลำบากจะรุมล้อมข้าพเจ้า เพียงใด หากข้าพเจ้าจมอยู่ในหลุมลึกที่สุดของโนวาสโกเทียและเทือกเขาร็อคกี้ ทับอยู่บนตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่ควรท์อถอยแต่ยืนหยัดต่อไป ไข้ศรัทธา ปลุก ความกล้า และควรจะขึ้นมาอยู่บนยอดเขาให้ได้”22
เพียงไม่กี่ว้นก่อนศาสดาจะเสียชีวิตเป็นมรณสักชี เมื่อท่านและสิทธิชนรู้ว่า ชีวิตท่านอยู่ในอันตราย ใจเซฟจับมืออับราอัม ซี. ฮอดจ์และพูดว่า “บราเดอร์ฮอดจ์ อะไรจะเกิดก็ให้เกิด อย่าปฏิเสธศรัทธา และทุกอย่างจะดี”23
ข้อเลนอแนะสำหรับศึกษาและลอน
พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะศึกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเดิมได้ที่หน้า ⅶ–ⅹⅱ.
-
อ่านทวนเรื่องราวในหน้า 245–246 ท่านคิดว่าเหตุใดศาสดาโจเซฟ สมิธจึง สามารถอดทนต่อการทดลองที่ประสบได้ ท่านมีความคิดหรือความรู้สึกอย่าง ไรบ้างเมื่อนึกภาพ “เนื้อตัว [ศาสดา] ที่มีแต่รอยขีดข่วนและรอยแผล” ขณะกำลังสอนในที่ประชุม
-
อ่านย่อหน้าที่สามในหน้า 247 ท่านคิดว่าความทุกข์ยากช่วยเตรียมเราใบ้ พร้อมรับความสูงส่งอย่างไร (ดูตัวอย่างหน้า 247–248) ท่านเรียนรู้อะไรบ้าง จากการทดลองของท่าน
-
โจเซฟรับรองกับเราสามครั้งในบทนี้ว่า “การทดลองที่ [เรา] ด้องเผชิญจะ บังเกิดผลอันดี [ต่อเรา]” (หน้า 249; ดู หน้า 248 ด้วย) ท่านเห็นความ จริงของกำกล่าวนี้อย่างไร
-
อ่านย่อหน้าที่สามและสี่ในหน้า 248 ท่านมีประสบการณ์อะไรบ้างซึ่งแสดงว่า พระเจ้าทรงปลอบโยนท่านในช่วงเวลาแห่งการทดลอง สำหรับท่านแล้ว “ยืน อยู่บนศิลา” หมายถึงอะไร
-
โจเซฟ สมิธแนะนำสิทธิชนว่าอย่าบ่นเรื่องการติดต่อของพระผู้เป็นเจ้าอับเรา (หน้า 249–250) การพรํ่าบ่นส่งผลต่อเราในทางใดบ้าง เราควรมีท่าทีและ ความรู้สึกอย่างไรต่อการทดลอง มี “ความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่” เมื่อเผชิญ ความยากกำบากหมายถึงอะไร (ดูตัวอย่างหน้า 249–252)
-
อ่านกำแนะนำของศาสดาถึงจอร์จ เอ. สมิธ (หน้า 252 กำแนะนำตังกล่าว ช่วยท่านอย่างไรเมื่อท่านเผชิญการทดลอง
ข้อพระคัมภีร์พี่กี่ยวข้อง: สดุดี 55:22; ยอห์น 16:33; แอลมา 36:3; ฮีลาบัน 5:12; ค.พ. 58:2–4; 90:24; 122:5–9