คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 45: ความรู้สึกของโจเซฟ สมิธเกี่ยวกับ พันธกิจการเป็นศาสดาของท่าน


บทที่ 45

ความรู้สึกของโจเซฟ สมิธเกี่ยวกับ พันธกิจการเป็นศาสดาของท่าน

“ข้าพเจ้าไม่มีความปรารถนาใดนอกจากทำให้มนุษย์ทุกคนเป็นคนดี”

จากชีวิตของโจเซฟ สมิธ

ตั้งแต่เริ่มต้นการปฏิบัติศาสนกิจของศาสดาโจเซฟ สมิธ ชีวิตท่านมักอยู่ในอันตราย แม้พระเจ้าทรงปลดปล่อยท่านจากศัตรูหลายครั้ง แต่ศาสดาทราบว่า ทันทีที่ท่ทำพันธกิจทางโลกสำเร็จ ท่านจะตาย “บางคนคิดว่าบราเดอร์โจเซฟจะ ไม่ตาย” ท่านกล่าวที่งานศพในนอวูปี ค.ศ. 1842 “แต่นี่เป็นความเข้าใจผิด เป็นความจริงที่ว่ามีหลายครั้งที่ข้าพเจ้าไต้รับคำสัญญาว่าจะมีชีวิตเพื่อทำบางสิ่ง ให้สำเร็จ แต่เมื่อทำสิ่งเหล่านั้นสำเร็จแล้ว ข้าพเจ้าไม่ไต้รับคำสัญญาว่าจะมีชีวิต อยู่ต่อ ข้าพเจ้าต้องตายเช่นเดียวกับคนอื่นๆ”1

ศาสดาทราบดีว่าท่านและสิทธิชนทุกคนที่อยู่ในนอวูอยู่ในสถานการณ์อันตรายมากขึ้นทุกที ขณะที่นอวูใหญ่ขึ้น บางคนที่อยู่ในเขตนั้นเริ่มกลัวอำนาจ ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เจริญอย่างไม่หยุดยั้งของสิทธิชน และกลุ่มคนร้าย เริ่มก่อกวนพวกเขาอีกครั้ง ศาสดาอยู่ในอันตรายยิ่งกว่าใครๆ เพราะผู้มือำนาจ จากมิสซูรีพยายามหลายครั้งเพื่อจับท่าน และผู้ละทิ้งความเชื่อจากศาสนาจักร เป็นปรปักษ์ต่อท่านมากขึ้นโดยพยายามทำลายท่าน วันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1842 ศาสดาประกาศว่าเวลาจะมาถึงเมื่อสมาชิกศาสนาจักรจะถูกบังคับให้ออก จากนอวู

“ข้าพเจ้าพยากรณ์ว่าสิทธิชนจะยังคงไต้รับความทุกข์ทรมานมากและจะถูก ขับไล่ไปจนถึงเทือกเขาร็อคกี้ หลายคนจะละทิ้งความเชื่อ บางคนจะถูกผู้ข่มเหง ฆ่าหรือเสียชีวิตเพราะความหนาวเหน็บหรือโรคภัย บางท่านจะมืชีวิตอยู่จนไต้ ไปช่วยตั้งถิ่นฐานและสร้างเมือง และเห็นสิทธิชนกลายเป็นผู้คนที่เกรียงไกร ท่ามกลางเทือกเขาร็อคกี้”2

ในคำเทศนาและงานเขียนเกี่ยวกับชีวิตช่วงสามสี่ปีสุดท้ายของศาสดา มี สำนึกของความเร่งด่วนอยู่ในคำพูดของท่าน โดยรู้ว่าเวลาของท่านเหลือไม่มาก ท่านจึงตั้งใจทำงานเพื่อสอนสิทธิชนในเรื่องที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเปีดเผยต่อท่าน และกระตุ้นพวกเขาใหัเตรียมรับความจริงเหล่านี้ ท่านยังได้แสดงความรักต่อ สิทธิชนอย่างมากด้วย แม้ถึงกับประกาศว่าท่านยอมพลีชีวิตเพื่อพวกเขา “ข้าพเจ้าพร้อมพลีชีพเป็นเครื่องบูชาในลักษณะที่จะทำใหัเกิดประโยชน์สูงสุดและ ความดี”3

น่าสังเกตว่าแม้ศาสดาจะอดทนต่อการข่มเหงมากมายและถูกกดดันจาก ความด้องการที่มีมาไม่ขาดสายของศาสนาจักรที่คำลังเติบโต แต่ท่านก็ยังหาเวลา แสดงใหัเห็นว่าท่านห่วงใยสมาชิกศาสนาจักรเป็นรายบุคคล สิทธิชนจำนวนมาก ในระยะหลังจำได้ถึงความรักและความกรุณาที่ศาสดาโจเซฟแสดงต่อพวกเขา

อาโรเอท แอล. เฮลจำได้ว่า “ศาสดา… มักจะออกจากแมนชั่น [บ้าน] มา เล่นบอลกับเด็กๆ อย่างพวกเราบ่อยๆ โจเซฟบุตรชายของท่านอายุไล่เสี่ยกับ เรา [ศาสดา] โจเซฟจะทำตามกฎเสมอ ท่านจะรับลูกจนกว่าท่านจะเป็นฝ่าย ดีลูก และโดยที่เป็นคนแข็งแรง ท่านจึงดีลูกได้ไกลมากจนเราเคยร้องบอกเด็ก ที่วิ่งไปรับลูกว่าจะไปเอาอาหารเย็นมาใหั คำพูดนี้มักทำใท้ศาสดาหัวเราะ โจเซฟ ใจดีเสมอเและเป็นคนสนุกสนาน”4

มาร์กาเร็ตต์ แม็คอินไทร์ เบอร์เกสนึกถึงประสบการณ์ครั้งหนึ่งกับศาสดาใน นอวู “ดิฉันกับพื่ชายคำลังไปโรงเรียน ใกล้ตึกซึ่งรู้กันว่าเป็นร้านอิฐของโจเซฟ วันก่อนฝนตกพื้นตินก็เลยเฉอะแฉะ โดยเฉพาะถนนเส้นนั้น น้องวอลเลซกับ ดิฉัน ติดอยู่ในโคลนและออกไปจากตรงนั้นไม่ได้ ความที่เป็นเด็กเราจึงเริ่ม ร้องไหัเพราะต้ดว่าจะต้องอยู่ที่นั่น แต่พอเงยหน์าดิฉันก็เห็นเพื่อนรักของเด็กๆ ศาสดาโจเซฟ กำลังเดินมาหาเรา ไม่นานท่านก็พาเราขึ้นไปอยู่บนพื้นที่สูงกว่า และแห้งกว่า จากนั้นท่านล้มลงเช็ดโคลนออกจากรองเท้าเก่าซอมซ่อคู่เล็กๆ ของเรา หยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋ามาเช็ดคราบนํ้าตาให้เรา ท่านพูดกับ เราด้วยคำพูดที่อ่อนโยนและให้กำลังใจ ท่านไปส่งเราจนเกือบจะถึงโรงเรียนด้วย ความยินดี แปลกหรือที่ดิฉันจะรักบุรุษที่ยิ่งใหญ่ เป็นคนดี และมีจิตใจสูงส่ง คนนึ้ของพระผู้เป็นเจ้า”5

คำสอนของโจเซฟ สมิธ

ศาสดาสอนสี่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยต่อพวกท่าน เราจงต้องพยายามเข้าใจและเอาใจใส่ถ้อยคำของพวกท่าน

“เรื่องที่ข้าพเจ้าใคร่ครวญตลอดวันและยังความพอใจแก่ข้าพเจ้ามากกว่าอาหารและนํ้าดื่มคือการรู้ว่าข้าพเจ้าจะช่วยให้สิทธิชนของพระผู้เป็นเจ้าเข้าใจภาพ ปรากฎที่หลั่งไหลมาราวกระแสคลื่นในความคิดข้าพเจ้าได้อย่างไร โอ้ ข้าพเจ้า คงจะดีใจอ้าได้นำเรื่องที่ท่านไม่เคยคิดมาก่อนมาอยู่ตรงหห้าท่าน แต่ความยากจน และความห่วงกังวลทางโลกขัดขวางข้าพเจ้า …

“โฮชันนา โฮชันนา โฮชันนาแด่พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธี้ที่ลำแสงเริ่ม ส่องด้องเราแม้จนบัดนี้ ข้าพเจ้าไม่สามารถหาลำพูดใดมาบรรยายความรู้สึกของ ตนได้ ข้าพเจ้าไม่มีการศึกษา แต่ข้าพเจ้ามีความรู้สึกดีเท่ากับคนอื่นๆ โอ้ หาก ข้าพเจ้ามีกาษาของหัวหน้าเทพข้าพเจ้าจะเล่าความรู้สึกให้เพื่อนฟ้งทันที! แต่ ข้าพเจ้าไม่เคยคาดหวังว่าจะมีในชีวิตนี้”6

“มีความยุ่งยากมากในการป้อนบางอย่างเข้าไปในศีรษะของคนรุ่นนี้ บัน เหมือนกับการใช้ลิ่มที่ทำจากขนมปังแปีงข้าวโพดผ่าตาไม้ของสนเชียว และใช้ ฟ้กทองทำอ้อน [ค้อนไม้] แม้แต่สิทธิชนก็ยังเข้าใจช้า

“ข้าพเจ้าพยายามมาหลายปีเพื่อเตรียมจิตใจของสิทธิชนให้พร้อมรับเรื่อง ของพระผู้เป็นเจ้า แต่หลังจากทนทุกข์ทั้งหมดเพื่องานของพระผู้เป็นเจ้า เรามัก จะเห็นพวกเขาบางคนแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นห้อยเหมือนแม้วทันทีที่เกิด เรื่องบางอย่างขัดกับประเพณีของเขา เขาทนไฟไม่ได้อีก จะมีสักกี่คนสามารถ ทำตามกฎชิ้นสูงและผ่านไปรับความสูงส่งได้ ข้าพเจ้าไม่สามารถบอกได้ เนื่อง ด้วยหลายคนได้รับเรียก แต่ห้อยคนได้รับเลือก [ดู ค.พ. 121:40]”7

“ข้าพเจ้าไม่เหมือนคนอื่น ความคิดข้าพเจ้าจดจ่ออยู่ตลอดเวลากับภาระหน้าที่และข้าพเจ้าด้องพึ่งพาพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ทุกเรื่องที่ข้าพเจ้าพูดใน โอกาสต่างๆ เช่นโอกาสนี้ [งานศพ] …

“หากข้าพเจ้ามีการดลใจ การเปีดเผย และปอดไอ้ถ่ายทอดสิ่งที่จิตวิญญาณ ข้าพเจ้าเคยใคร่ครวญในอดีต คงไม่มีจิตวิญญาณใดในที่ประชุมแห่งนี้อยากกลับ ห้านและคงปดปากเงียบไม่ยอมพูดเรื่องศาสนาจนกว่าจะได้เรียนรู้เรื่องของพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น

“เหตุใดท่านจึงมั่นใจว่าเข้าใจเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า ในเมื่อทุกอย่างไม่แน่นอนสำหรับท่าน มั่นก็เพราะท่านยอมรับความรู้และสติปัญญาทั้งหมดที่ข้าพเจ้า สามารถแน่งให้ท่านได้”8

“บางคนพูดว่าข้าพเจ้าเป็นศาสดาที่ล้มเหลวเพราะข้าพเจ้าไม่นำพระคำของ พระเจ้าออกมาอีก เหตุใดข้าพเจ้าจึงไม่นำออกมา เราไม่สามารถรับได้อย่างนั้น หรือ เปล่าเลย! ไม่มีสักคนในห้องนี้รับไม่ได้”9

“ข้าพเจ้าจะเปีดเผยต่อท่านเป็นครั้งคราวถึงเรื่องที่พระวิญญาณบริสุทธี้ทรง เปีดเผยต่อข้าพเจ้า คำโปีปดทั้งหลายทั้งปวงที่คิดขึ้นเพื่อต่อด้านข้าพเจ้าล้วนมา จากมาร และมารจะใช้อิทธิพลของเขาและผู้รับใช้ของเขาต่อด้านอาณาจักรของ พระผู้เปีนเจ้า ผู้รับใช้ของพระผู้เปีนเจ้าไม่สอนเรื่องใดนอกจากหลักธรรมแห่ง ชีวิตนิรันดร้ โดยงานของเขาท่านจะรู้จักเขา คนดีจะพูดเรื่องดีและหลักธรรมที่ ศักดี้สิทธิ์ คนชั่วจะพูดเรื่องชั่ว ในพระนามของพระเจ้าข้าพเจ้าตำหนิหลักธรรม ทั้งหมดที่เลวร้าย คนพูดปด ฯลฯ และข้าพเจ้าเตือนทุกท่านให้ระวังคนที่ท่าน จะตามเขาไป ข้าพเจ้าขอแนะนำท่านให้เอาใจใส่คุณธรรมและคำสอนทุกอย่างที่ ข้าพเจ้ามอบให้ …

“ข้าพเจ้าขอให้ท่านพิจารณาคำพูดต่อไปนี้-จงเพิ่มคุณธรรม ความรัก และ อื่นๆให้ศรัทธาของท่าน ข้าพเจ้ากล่าวในพระนามของพระเจ้าว่าหากสิ่งเหล่านี้ อยู่ในตัวท่าน ท่านจะออกผลมาก [ดู 2 เปโตร 1:5–8] ข้าพเจ้าเปีนพยานว่า ไม่มีใครมีอำนาจเปีดเผยเรื่องในสวรรค์ ในแผ่นดินโลก และนรกนอกจากตัว ข้าพเจ้า… ข้าพเจ้าขอมอบทุกท่านให้พระผู้เปีนเจ้า เพื่อท่านจะได้รับทุกสิ่ง เปีนมรดก และขอพระผู้เป็นเจ้าทรงเพิ่มพรของพระองค์”10

แม้ศาสดาจะเป็นมนุษย์ที่มีฃ้อบกพร่องตามประสามนุษย์ แต่พวกท่านได้รับเรียกจากพระผู้เป็นเจ้าให้สอนและนำผู้คนของพระองค์

บันทึกส่วนตัวของศาสดาสำหรับวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1835 “เช้าวันนี้ มีผู้แนะนำให้ข้าพเจ้ารู้จักชายคนหนึ่งจากตะวันออก หลังจากได้ยินชื่อข้าพเจ้า เขาพูดว่าข้าพเจ้าเปีนแค่มนุษย์คนหนึ่ง คำพูดนี้บ่งบอกว่าเขาเคยคิดว่าบุคคลที่ พระเจ้าทรงเห็นควรเปีดเผยพระประสงค์ของพระองค์จะด้องเปีนอะไรบางอย่าง ที่มากกว่ามนุษย์ ดูเหมือนเขาจะลืมคำพูดจากปากของนักบุญยากอบที่ว่า [เอ— ลืยาห์] เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีอารมณ์รักโลภโกรธหลงเช่นพวกเรา แต่ท่านมี พลังอำนาจทับพระผู้เป็นเจ้าจนพระองค์ทรงปีดท่องฟ้าไม่ให้ฝนตกนานสามปี กับหกเดือนตามอำสวดอ้อนวอนของท่าน และอีกครั้ง เพื่อตอบคำสวดอ้อนวอนของท่าน ท่องฟ้าประทานฝน และแผ่นดินโลกใท่ผลผลิต [ดู ยากอบ 5:17–18] โดยแท้แล้ว ความมืดและความเขลาของคนรุ่นนี้ทำให้พวกเขาเห็น เปีนเรื่องเหลือเชื่อที่มนุษย์คนหนึ่งจะมื [การติดต่อ] ใดๆ กับพระผู้รังสรรค์ของเขา”11

“ข้าพเจ้าเคยสอนผิดไปจากจุดยืนนี้เมื่อใด ข้าพเจ้าเคยสับสนเมื่อใด ข้าพเจ้า ต้องการได้รับชัยชนะในอิสราเอลก่อนจะจากที่นึ่ไปและไม่ให้ใครเห็นอีก ข้าพเจ้าไม่เคยบอกท่านว่าข้าพเจ้าดืพร้อม แต่ไม่มืความผิดพลาดในการเปีดเผยที่ ข้าพเจ้าสอน หากเป็นเช่นนั้นข้าพเจ้ามิต้องถูกโยนทิ้งเปีนสิ่งไร้ค่าดอกหรือ”12

“แท่ข้าพเจ้าจะท่าผิด ข้าพเจ้าไม่ได้ทำความผิดอย่างที่ข้าพเจ้าถูกกล่าวหาว่า ทำ แต่เป็นความผิดที่ข้าพเจ้าทำเพราะข้อบกพร่องตามวิสัยมนุษย์เฉกเช่นคน อื่นๆ ไม่มืใครที่ดำเนินชีวิตโดยปราศจากความผิด ท่านคิดหรือว่าแท่แด่พระเยซู ล้าพระองค์ประทับที่นี่ พระองค์จะปราศจากความผิดในสายตาของท่าน ศัตรูของพระองค์กล่าวร้ายพระองค์ทุกอย่าง—พวกเขามองหาความเลวร้ายใน พระองค์”13

บันทึกส่วนตัวของhiฃฟ สมิธสำหรับวันที 29 ตุลาคม ค.ศ. 1842 “ข้าพเจ้า… เดินไปที่ร้าน [ในนอวู อิลลินอยส์] ซึ่งพื่ท่องชายหญิงจำนวนหนึ่ง ชุมนุมทันอยู่ที่นั่น พวกเขามาจากแถบปริมณฑลของนิวยอร์กและมาถึงเมื่อเข้า นี้… ข้าพเจ้าบอกพวกเขาว่าข้าพเจ้าเปีนแค่มนุษย์คนหนึ่ง และพวกเขาท่องไม่คาดหวังว่าข้าพเจ้าจะเปีนคนดืพร้อม ล้าพวกเขาคาดหวังความดืพร้อมจาก ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะคาดหวังจากพวกเขาเช่นทัน แด่ล้าพวกเขาจะอดทนต่อความ บกพร่องของข้าพเจ้าและความบกพร่องของพี่ท่อง ข้าพเจ้าจะอดทนต่อความ บกพร่องของพวกเขาเช่นกัน”14

แม้จะมีการข่มเหง แต่ศาสดายังคงทำพันธกิจที่พระผู้เป็นเจ้า ทรงมอบให้พวกท่านจนสำเร็จ

“ข้าพเจ้ามืความสุขและขอบพระทัยสำหรับสิทธิพิเศษของการอยู่ที่นึ่ใน โอกาสนี้ ศัตรูของเราพยายามสุดอำกังเพื่อพาข้าพเจ้าไปที่มิสซูรืและทำลายชีวิต ข้าพเจ้า แด่พระเจ้าทรงชัดขวางพวกเขา และพวกเขาไม่บรรลุจุดประสงค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยให้ข้าพเจ้าสามารถพันเงื้อมมือของพวกเขา ข้าพเจ้าได้ ต่อสู้มาอย่างดี …

“ข้าพเจ้าจะชนะศัตรูของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเริ่มชนะพวกเขาที่ห้าน และข้าพเจ้าจะชนะในต่างแดน ทุกคนที่ลุกขึ้นต่อด้านข้าพเจ้าจะรู้สึกแน่นอนถึงความ หนักหน่วงของความเลวร้ายบนศีรษะพวกเขา”15

“ข้าพเจ้าพูดด้วยความองอาจ ความสัตย์จริง และด้วยสิทธิอำนาจ … ข้าพเจ้าทราบว่าข้าพเจ้าพูดอะไร ข้าพเจ้าเข้าใจพันธกิจและกิจธุระของข้าพเจ้า พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นโล่ของข้าพเจ้า และมนุษย์จะทำอะไรได้ เล่าถ้าพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นสหายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่ถูกสังเวยจนกว่า เวลาของข้าพเจ้าจะมาถึง เมื่อถึงเวลานั้นข้าพเจ้าจะถวายตนอย่างอิสระ … ข้าพเจ้าขอบพระนัยพระผู้เปีนเจ้าที่ทรงปกป้องข้าพเจ้าจากศัตรู ข้าพเจ้าใม่มื ศัตรูนอกจากเพื่อเห็นแก่ความจริง ข้าพเจ้าไม่มืความปรารถนาใดนอกจากอยาก ให้มนุษย์ทุกคนเป็นคนดี ข้าพเจ้ารู้สึกว่าด้องสวดอ้อนวอนให้มนุษย์ทุกคน”16

“หากข้าพเจ้าไม่ได้เข้ามาในงานนี้และได้รับเรียกจากพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้า คงถอนตัว แด่ข้าพเจ้าจะถอนตัวไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าไม่มืความสงสัยในความ จรง”17

“ข้าพเจ้าเป็นศิลาหยาบ ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินเสียงอ้อนและสิ่วที่ตัวข้าพเจ้า จนกระทั่งพระเจ้าทรงรับข้าพเจ้าไว้ในพระหัตถ์ ข้าพเจ้าปรารถนาเพียงความรู้ และปัญญาจากสวรรค์เท่านั้น”18

“ข้าพเจ้าพยากรณ์และเป็นพยานในเข้านี้ว่าอำนาจทั้งหมดของแผ่นดินโลก และนรกรวมกันจะไม่และไม่สามารถโด่นถ้มหรือเอาชนะเด็กหนุ่มคนนี้ได้ เพราะข้าพเจ้ามืคำสัญญาจากพระผู้เป็นเจ้านิรันดร้ หากข้าพเจ้าทำบาป ข้าพเจ้า ก็ทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่แน่นอนว่าข้าพเจ้าใคร่ครวญเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า”19

“เมื่อมนุษย์ออกมาและสร้างบนรากฐานของคนอื่น พวกเขาทำเช่นนั้นตาม ความรับผิดปอบของเขา ปราศจากสิทธิอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า เมื่อนํ้าท่วมและลมพัดมา จะพบว่ารากฐานของเขาอยู่บนทราย และสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด ของเขาจะทลายลงเป็นผงคลี

“ข้าพเจ้าสร้างบนรากฐานของมนุษย์คนอื่นหรือ ข้าพเจ้าได้ความจริงทั้งมวล ที่โลกคริสต์ศาสนาครอบครอง และการเปิดเผยที่แยกต่างหากไม่ขึ้นกับใคร และ พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำให้ข้าพเจ้าได้รับชัยชนะ”20

ศาสดารักคนที่พวกท่านรับใช้และปรารถนาจะนำคนเหล่านั้นให้สีแห้จะต้องว่ากล่าวตักเตือนพวกเขา

“ไม่มีความรักใดยิ่งใหญ่กว่านี้ที่มนุษย์คนหนึ่งพลีชีวิตเพื่อมิตรสหายของตน [ดู ยอห์น 15:13] ข้าพเจ้าค้นพบว่าพื่น้องหลายร้อยหลายพันคนของข้าพเจ้า พร้อมจะสละชีวิตเพื่อข้าพเจ้า

“ภาระซึ่งอยู่บนข้าพเจ้าหนักมาก ผู้ข่มเหงไม่ยอมให้ข้าพเจ้าพัก และข้าพเจ้าพบว่าท่ามกลางภาระหน้าที่และความห่วงกังวล วิญญาณพร้อม แต่เนื้อหนัง อ่อนแอ แน้ข้าพเจ้าได้รับเรียกจากพระบิดาบนสวรรค้ให้วางรากฐานของงานใหญ่ นี้และอาณาจักรในสมัยการประทานนี้ และเป็นพยานถึงพระประสงค์ของพระองค์ต่ออิสราเอลที่กระจัดกระจาย แต่ข้าพเจ้าก็ยังมีกิเลสเหมือนมนุษย์คนอื่นๆ เหมือนศาสดาในสมัยก่อน …

“ข้าพเจ้าไม่เห็นความผิดพลาดในศาสนาจักร ฉะนั้นขอให้ข้าพเจ้าได้พื่นคืน ชีวิตพร้อมสิทธิชน ไม่ว่าข้าพเจ้าจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก หรือไปที่ใดก็ตาม และหากข้าพเจ้าไปนรก เราจะขับไล่มารออกไปนอกประตูและท่าให้นรกเป็น สวรรค์ คนเหล่านี้อยู่ที่ไหน ที่นั่นย่อมมีสังคมที่ดี”21

“เพราะข้าพเจ้าคลุกคลีกับสิทธิชน ชอบเล่นและเป็นคนสนุกสนาน พวก เขาจึงไม่จำเป็นต้องคิดว่าข้าพเจ้าไม่สนใจใยดีสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เราจะคํ้าจุนความ เลวร้ายในศาสนาจักรไม่ไค้ไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตาม และนั่นใม่เป็นผลดีต่อ ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าขณะที่ข้าพเจ้านำศาสนาจักร ข้าพเจ้าจะนำให้ถูก ต้อง”22

“ถ้าข้าพเจ้าโชคดีไต้เป็นคนที่เข้าใจพระผู้เป็นเจ้า และอธิบายหรือถ่ายทอด หลักธรรมให้ใจท่าน ทั้งนี้เพื่อพระวิญญาณจะทรงผนึกหลักธรรมไว้กับข้าพเจ้า เมื่อนั้นขอให้ชายหญิงทุกคนนั่งเงียบๆ นับจากนี้เป็นด้นไป เอามือป็ดปาก และ อย่ายกมือหรือเปล่งเสียง หรือพูดต่อต้านคนของพระผู้เป็นเจ้าหรือผู้รับใข้ของ พระผู้เป็นเจ้าอีก… หากข้าพเจ้ากำลังนำท่านไปสู่ความรู้เรื่องพระองค์ การข่มเหงทั้งหมดที่เกิดกับข้าพเจ้านำจะยุติ เมื่อนั้นท่านจะรู้ว่าข้าพเจ้าคือผู้รับใข้ของ พระองค์เพราะข้าพเจ้าพูดในฐานะผู้มืสิทธิอำนาจ …

“… ข้าพเจ้าสามารถลิ้มรสหลักธรรมแห่งชีวิตนิรันดร์ได้ และท่านลิ้มรสได้ เช่นกัน ข้าพเจ้าได้รับหลักธรรมเหล่านั้นโดยการเปิดเผยของพระเยซูคริสต์ และ ข้าพเจ้าทราบว่าเมื่อข้าพเจ้าบอกท่านถึงถ้อยกำแห่งชีวิตนิรันดร์เหล่านี้ตามที่ ประทานแก่ข้าพเจ้า ท่านลิ้มรส และข้าพเจ้าทราบว่าท่านเชื่อ ท่านกล่าวานั้า ผึ้งหวาน และข้าพเจ้ากล่าวเช่นนั้นต้วย ข้าพเจ้าสามารถลิ้มรสวิญญาณของ ชีวิตนิรันดร้ได้ ข้าพเจ้าทราบว่าวิญญาณนั้นดี และเมื่อข้าพเจ้าบอกให้ท่านรู้ เรื่องเหล่านี้ที่ประทานแก่ข้าพเจ้าโดยการดลใจของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ท่าน ยอมรับแน่นอนว่าหวาน และปลื้มป็ติมากขึ้นทุกที …

“ข้าพเจ้าตั้งใจจะกล่าวกับทุกท่าน ทั้งคนมั่งมีและคนยากจน ทาสและไท ผู้ใหญ่และผู้น้อย ข้าพเจ้าไม่มืเจตนาเป็นศัตรูกับผู้ใด ข้าพเจ้ารักทุกท่าน แต่ ข้าพเจ้าเกลียดการกระทำบางอย่างของท่าน ข้าพเจ้าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของท่าน และหากบุคคลใดไม่บรรลุเป็าหมาย นั่นเป็นความผิดพลาดของเขา หากข้าพเจ้า ว่ากล่าวตักเตือนคนหนึ่ง และเขาเกลียดชังข้าพเจ้า เขาคือคนโง่ เพราะข้าพเจ้า รักมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะพี่น้องชายหญิงเหล่านี้ของข้าพเจ้า

“… ท่านไม่รู้จักข้าพเจ้า ท่านไม่เคยรู้ใจข้าพเจ้า ไม่มืใครรู้ประวัติความเป็น มาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าบอกไม่ไต้ ข้าพเจ้าจะไม่มืวันท่าเช่นนั้น ข้าพเจ้าไม่ตำหนิคนใดที่ไม่เชื่อประวัติความเป็นมาของข้าพเจ้า หากข้าพเจ้าไม่เคยประสบ อย่างที่ข้าพเจ้าประสบมา ข้าพเจ้าคงไม่เชื่อต้วย ข้าพเจ้าไม่เคยท่าร้ายใครตั้งแต่ ข้าพเจ้าเกิดมาในโลก เสียงของข้าพเจ้าพูดเพื่อสันติสุขเสมอ

“ข้าพเจ้าตายไม่ได้จนกว่างานทั้งหมดของข้าพเจ้าจะสำเร็จ ข้าพเจ้าไม่เคยคิด ชั่ว ทั้งไม่เคยทำสิ่งใดที่เป็นภัยต่อเพื่อนมนุษย์ เมื่อใดที่เสียงแตรของหัวหน้า เทพเรียกข้าพเจ้าและข้าพเจ้าถูกชั่งในตราชู เมื่อนั้นทุกท่านจะรู้จักข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่พูดอะไรอีก ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรทุกทำน”23

ข้อเลนอแนะสำหรับศึกษาและลอน

พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะศึกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเติมได้ที่หน้า ⅶ–ⅹⅱ

  • ในหน้า 557 ให้อ่านเกี่ยวกับการข่มเหงที่โจเซฟ สมิธเผชิญในนอวู แล้ว เปิดไปที่หน้า 558 และอ่านทวนเรื่องราวการรับใช้ของท่านและการเล่นกับ เด็กๆ ในนอวู ท่านคิดว่าเหตุใดศาสดาจึงมีความสนุกสนานร่าเริงและความ ห่วงใยเช่นนั้นได้ พิจารณาว่าท่านจะทำอะไรได้ห้างเพื่อให้มีความสุขและ ความรักในยามยากลำบาก

  • อ่านย่อหน้าที่สามและสี่ในหน้า 559 โดยสังเกตความผิดหวังของศาสดา ใจเซฟเมื่อสิทธิชนไม่พร้อมรับทุกเรื่องที่ท่านด้องการสอนพวกเขา (ดู หน้า 559–560) มีอะไรบ้างที่สามารถสกัดกั้นไม่ให้เราได้รับความจริงมากขึ้น เรา จะทำอะไรได้ห้างเพื่อให้ “พร้อมรับเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า”

  • อ่านทวนย่อหน้าที่เริ่มด้นจากห้ายสุดของหน้า 560 และสองย่อหน้ากัดไป ท่านจะให้คำแนะนำคนที่ไม่ยอมท่าตามผู้น่าศาสนาจักรเพราะผู้นำมีข้อบกพร่องบางอย่างเช่นไร อ่านย่อหน้าที่สามในหน้า 561 และพิจารณาว่าข้อความ ดังกล่าวนำมาประยุกต้ใช้กับความสัมพันธ์ทั้งหมดของเราได้อย่างไร

  • โจเซฟ สมิธแสดงศรัทธาว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงคุ้มครองท่านและทรงช่วยให้ ท่านสามารถทำพันธกิจในชีวิตนี้ได้สำเร็จ (หน้า 561–562) ท่านเคยมีประสบการณ์อะไรห้างที่พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยให้ท่านบรรลุความรับผิดชอบใน ครอบครัวหรือในการเรียกของศาสนาจักร

  • ศึกษาย่อหน้าที่สามและสี่ในหน้า 565 ท่านลิ้มรสความหวานของความจริง เมื่อใด เราจะปลื้มปีติในถ้อยคำของศาสดาหรือผู้นำศาสนาจักรท่านอื่นๆ ได้ อย่างไรแม้เมื่อท่านว่ากล่าวดักเตือนเราเพราะเราทำผิด

  • อ่านทวนทั้งบทอย่างรวดเร็วและมองหาข้อความหนึ่งหรือสองข้อความที่มี ประโยชน์ต่อท่านเป็นพิเศษ ท่านชื่นชมอะไรในข้อความที่ท่านเลือก บทเรียนบทนี้มีอิทธิพลต่อประจักษ์พยานของท่านในศาสดาโจเซฟ สมิธอย่างไร

ข้อพระคัมภีร์พี่กี่ยวข้อง: ดาเนียล 2:44–45; 2 ทิโมธี 4:6–8; เจคอบ 1:17–19; โมไซยา 2:9–11; มอรมอน 9:31

อ้างอิง

  1. History of the Church, 4:587; เปลี่ยนเครื่องหมายวรรคตอนให้ทัน สมัย; จากคำปราศรัยของโจเซฟ สมิธ เมื่อ 9 เม.ย. 1842 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดย วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้

  2. History of the Church, 5:85; จาก “History of the Church” (ต้นฉบับ), book D–1, p. 1362 หอ จดหมายเหตุของศาสนาจักร ศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุค ลุดท้าย ซอลท้เลคซิตี้ ยูทาห้

  3. History of the Church, 5:159; จากจดหมายที่โจเซฟ สมิธเขียนถึง เจมส์ อาร์ลิงตัน เบนเน็ต 8 ก.ย. 1842 นอวู อิลลินอยส์; นามสกุลของ เจมส์ เบนเน็ต (Bennet) ใน in History of the Church สะกดว่า Bennett ซึ่งไม่ลูกต้อง

  4. Aroet L. Hale, “First Book or Journal of the Life and Travels of Aroet L. Hale,” pp. 23–24; Aroet Lucius Hale, Reminiscences, ca. 1882 หอจดหมายเหตุ ของศาสนาจักร

  5. Margarette Mclntire Burgess ใน “Recollections of the Prophet Joseph Smith,” Juvenile Instructor, Jan. 15, 1892, pp. 66–67.

  6. History of the Church, 5:362; เปลี่ยนตัวสะกดและเครื่องหมายวรรค ตอนให้ทันสมัย; ปรับเปลี่ยนการแบ่ง ย่อหน้า; จากคำปราศรัยของใจเซฟ สมิธเมื่อ 16 เม.ย. 1843 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดย วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้และวิลลาร์ด ริชาร์ดส์

  7. History of the Church, 6:184–85; จากคำปราศรัยของใจเซฟ สมิธเมื่อ 21 ม.ค. 1844 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดยวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้

  8. History of the Church, 5:529–30; เปลี่ยนตัวสะกดและเครื่องหมายวรรค ตอนให้ทันสมัย; จากคำปราศรัยของ ใจเซฟ สมิธเมื่อ 13 ส.ค. 1843 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดย วิลลาร์ด ริชาร์ดส์

  9. History of the Church, 4:478; จากคำปราศรัยของโจเซฟ สมิธเมื่อ 19 ธ.ค. 1841 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดย วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ์

  10. History of the Church, 6:366–67; จากคำปราศรัยของใจเซฟ สมิธเมื่อ 12 พ.ค. 1844 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดย โธมัส บัลล็อค

  11. History of the Church, 2:302; จากข้อมูลบันทึกส่วนตัวของใจเซฟ สมิธ 6 พ.ย. 1835 เคิร์ทแลนด์ โอไฮโอ

  12. History of the Church, 6:366; จากคำปราศรัยของโจเซฟ สมิธเมื่อ 12 พ.ค. 1844 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดย โธบัส บัลล็อค

  13. History of the Church, 5:140; จากคำปราศรัยของโจเซฟ สมิธเมื่อ 31 ส.ค. 1842 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดย อีไ.ลซา อาร์. สโนว์

  14. History of the Church, 5:181; ปรับเปลี่ยนการแบ่งย่อหน้า; จากข้อมูลบันทึกส่วนตัวของโจเซฟ สมิธ 29 ต.ค. 1842 นอวู อิลลินอยส์

  15. History of the Church, 5:139–40; จากคำปราศรัยของโจเซฟ สมิธเมื่อ 31 ส.ค. 1842 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดย อีไลซา อาร์. สโนว์; ดู ภาคผนวก หน้า 604 ข้อ 3 ด้วย

  16. History of the Church, 5:257, 259; ปรับเปลี่ยนการแบ่งย่อหน้า; จาก คำปราศรัยของโจเซฟ สมิธเมื่อ 22 ม.ค. 1843 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดย วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ; ดู ภาค ผนวก หน้า 604 ข้อ 3 ด้วย

  17. History of the Church, 5:336; จากคำปราศรัยของโจเซฟ สมิธเมื่อ 6 เม.ย. 1843 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดย วิลลาร์ด ริชาร์ดส์

  18. History of the Church, 5:423; จากคำปราศรัยของโจเซฟ สมิธเมื่อ 11 มิ.ย. 1843 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดย วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้และ วิลลาร์ด ริชาร์ดส์; ดู ภาคผนวก หน้า 604 ข้อ 3 ด้วย

  19. History of the Church, 5:554; ปรับเปลี่ยนการแบ่งย่อหน้า; จากคำ ปราศรัยของโจเซฟ สมิธเมื่อ 27 ส.ค. 1843 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงาน โดย วิลลาร์ด ริชาร์ดส์และวิลเลียม เคลย์ตัน

  20. History of the Church, 6:479; จากคำปราศรัยของโจเซฟ สมิธเมื่อ 16 มิ.ย. 1844 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดย โธบัส บัลล็อค; ดู ภาค ผนวก หน้า 604 ข้อ 3 ด้วย

  21. History of the Church, 5:516–17; จากคำปราศรัยของโจเซฟ สมิธเมื่อ 23 ก.ค. 1843 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดย วิลลาร์ด ริชาร์ดส์; ดู ภาคผนวก หน้า 604 ข้อ 3 ด้วย

  22. History of the Church, จากคำแนะนำของโจเซฟ สมิธเมื่อ 27 พ.ค. 1843 ในนอวู อิลลินอยส์; รายงานโดย วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ์

  23. History of the Church, 312, 317; ปรับเปลี่ยนการแบ่งย่อ หน้า; จากคำปราศรัยของโจเซฟ สมิธ เมื่อ 7 เม.ย. 1844 ในนอวู อิลลินอยส์ รายงานโดยวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ์ วิลลาร์ด ริชาร์ดส์ โธบัส บัลล็อค และ วิลเลียม เคลย์ตัน; ดู ภาคผนวก หน้า 604 ข้อ 3 ด้วย

Prophet Joseph with children

โจเซฟ สปิรพาเวลาแสดงไหเห็นว่าท่านห่วงใยสมาชิกศาสนาจักรเป็นรายบุคคล มาร์กาเรีตด้ แม็คอินไทร์ เบอร์เกส จำได้ว่า ศาสดาซึ่งเธอเรียกว่า “เพี่อนรักของเด็กๆ” ช่วยเธอกับพี่ชายตอนที่ติดอยู่ไนโคลน

Prophet Joseph

“ข้าพเจ้าตั้งใจจะกล่าวกับทุกท่าน ทั้งคนนั่งป็และคนยากจน ทาสและไท ผู้ใหญ่และ ผู้น้อย… ข้าพเจ้ารักมนุบรทุกคน โดยเฉพาะพี่น้องชายหญิงเหล่านี้ของข้าพเจ้า”