บทที่ 27
จงระวังผลขมของ การละทิ้งความเชื่อ
“ในการทดลองทั้งหมดของท่าน ความยากลำบาก และความเจ็บป่วยในความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงของท่าน แม้จนถึงความตายจงระวังอย่าทรยศพระผู้เป็นเจ้า…จงระวังอย่าละทิ้งความเชื่อ”
จากชีวิตฃองโจเซฟ สมิธ
ในช่วงหลายสัปดาห์ก่อนและหลังจากพระวิหารเกิร์ทแลนด์แล้วเสร็จในฤดู ใบไม้ผลิ ค.ศ. 1836 สิทธิชนประสบกับเวลาของความปรองดองและการหลั่ง เทของประทานแห่งพระวิญญาณอย่างมากมาย แต่ศาสดาใจเซฟ สมิธเตือน สิทธิชนว่าถ้าพวกเขาไม่ดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรมต่อไป ความป็ติยินดีและ ความเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกันของพวกเขาจะไม่เหลือ “ทุกคนรู้สึกว่าพวกเขาได้ ลิ้มรสสวรรค์ล่วงหม้า ความจริงแล้วมีหลายสัปดาห์ที่เราไม่ถูกมารล่อลวง และ เราสงสัยว่านิลเสเนียมเริ่มแล้วหรือ [ที่การประชุมของพี่ม้องชายฐานะปุโรหิต] ศาสดาโจเซฟปราศรัยกับเรา นอกจากเรื่องอื่นแล้ว ท่านกล่าวว่า ‘พื่ม้องทั้งหลาย เพราะบางเวลาซาตานไม่มีอำนาจล่อลวงท่าน บางท่านคิดว่าจะไม่มีการล่อลวง อีก แต่ฝ่ายตรงข้ามจะมา และหากท่านไม่ใกล้ชิดพระเจ้า ท่านจะพ่ายแพ้และ ละทิ้งความเชื่อ”1.
ขณะที่ป็ทั้นล่วงไป วิญญาณของการละทิ้งความเชื่อขยายตัวท่ามกลางสิทธิชน บางคนในเคิร์ทแลนด์ สมาชิกบางคนกลายเป็นคนจองหอง ละโมบ และไม่เชื่อ ฟ้งพระบัญญัติ ม้างก็โทษผู้นำศาสนาจักรเพราะปัญหาเศรษฐกิจอันเนื่องจาก ความล้มเหลวของสถาบันการเงินเคิร์ทแลนด์ที่สมาชิกศาสนาจักรจัดตั้งขึ้น ความล้มเหลวตังกล่าวเกิดขึ้นในป็ ค.ศ. 1837 ป็เดียวกันกับที่วิกฤตการธนาคาร ลุกลามทั่วสหรัฐ ผสมผสานอับปัญหาเศรษฐกิจของสิทธิชน สมาชิกสองสาม ร้อยคนตกไปจากศาสนาจักรในเกิร์ทแลนด์ บางครั้งก็ไปสมทบอับคนที่ต่อต้าน ศาสนาจักรเพื่อก่อกวนและแม้ถึงอับท่าร้ายร่างกายสิทธิชน ผู้ละทิ้งความเชื่อ บางคนป่าวประกาศไปทั่วว่าศาสดาล้มแล้วและพยายามให้คนอื่นดำรงตำแหน่ง แทนท่าน ซิสเตอร์อีใสซา อาร์. สโนว์จำไล้ว่า “คนมากมายที่เคยอ่อนน้อมถ่อม ตนและซื่อสัตย์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่าง–––พร้อมจะไปและท่าการเรียกทุก อย่างของฐานะปุโรหิต–––เกิดความโอหังในวิญญาณของเขา และลำพองในความ จองหองของใจเขา ขณะที่สิทธิชนหลงใหลในความรักและวิญญาณของโลก พระวิญญาณของพระเจ้าทรงถอนไปจากใจเขา”2.
เกี่ยวกับสถานการณ์ของศาสนาจักรในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1837 ศาสดา คร์าครวญดังนี้ “ดูราวกับว่าพลังอำนาจทั้งหมดของแผ่นดินโลกและนรกจะ ผนึกกำลังกันเป็นพิเศษเพื่อล้มล้างศาสนาจักรในคราวเดียว…ศัตรูไปทั่วทุก ห้วระแหงและผู้ละทิ้งความเชื่ออยู่ท่ามกลางพวกเรา ร่วมมือกันในแผนการของ พวกเขา… และคนมากมายไม่พอใจข้าพเจ้าราวกับข้าพเจ้าเป็นล้นเหตุของ ความชั่วร้ายเหล่าทั้นที่ข้าพเจ้าพยายามขัดขวางจนถึงที่สุด”3.
แม้จะมีการท้าทายเหล่านี้ แต่ผู้นำและสมาชิกส่วนใหญ่ของศาสนาจักรยังคง ซื่อสัตย์ บริกัม ยังก์สมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองในช่วงเวลาผันผวนเช่นนี้ จำไล้ว่ามืการประชุมหนึ่งซึ่งสมาชิกบางคนของศาสนาจักรกำลังถกเถียงกันเพื่อ หาวิธีปลดศาสดาใจเซฟออกจากตำแหน่ง “ข้าพเจ้าลุกขึ้นยืน และบอกพวกเขา ล้วยลำพูดที่โน้มน้าวใจและตรงไปตรงมาว่าโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาและข้าพเจ้า ทราบเช่นนั้น พวกเขาอาจจะต่อว่าต่อขานและใส่ร้ายป็ายสีท่านไล้เท่าที่พวกเขา พอใจ [แต่] พวกเขาไม่สามารถทําลายการแต่งตั้งศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าไล้ จะทำได้ก็แต่ทำลายสิทธิอำนาจของตนเอง ดัดเยื่อใยที่บัดพวกเขาติดกับศาสดา และกับพระผู้เป็นเจ้า และทำให้ตนเองจมดิ่งลงนรก หลายคนโมโหมากที่ ข้าพเจ้ายืนหยัดต่อล้านการกระทำของพวกเขา…
“การประชุมเลิกกลางกันโดยผู้ละทิ้งความเชื่อไม่สามารถรวมพลังกระทำการ ต่อล้านใดๆ ไล้ นึ่คือวิกฤตเมื่อแผ่นดินโลกและนรกดูเหมือนจะร่วมมือกันล้ม ล้างศาสดาและศาสนาจักรของพระผู้เป็นเจ้า ศรัทธาของคนเข้มแข็งที่สุดมาก มายหลายคนในศาสนาจักรสั่นคลอน ในช่วงที่ความมืดโอบล้อมข้าพเจ้ายืนเคียง ข้างโจเซฟ และทุ่มเทสุดกำลังโดยใช้สติปัญญาและพลังอำนาจทิ้งหมดที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ข้าพเจ้าสนับสมุนผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าและทำให้โควรัม ของศาสนาจักรเป็นน้ำาหนึ่งใจเดียวกัน”4.
คำสอนฃองโจเซฟ สมิธ
การไม่ไว้วางใจผู้นำศาสนาจักร การวิพากษ์ตำหนิผู้นำ และการละเลยหน้าที่ที่พระผู้เปึนเจ้าทรงเรียกร้อง อาจนำไปสู่การละทิ้งความเชื่อ
“ข้าพเจ้าจะให้กุญแจไขความลับลึกของอาณาจักรแก่ท่านหนึ่งดอก เป็น หลักธรรมนิรันดร์ที่ดำรงอยู่ลับพระผู้เป็นเจ้ามาชั่วนิรันดรั นั่นคือ คนที่ลุกขึ้น กล่าวโทษผู้อื่น จับผิดศาสนาจักร และพูดว่าคนเหล่านั้นออกนอกลุ่นอกทาง ส่วนตัวเขาเป็นคนชอบธรรม เมื่อนั้นจะรู้แน่นอนว่าคนๆ นั้นอยู่ในทางหลวงที่ น่าไปสู่การละทิ้งความเชื่อ และหากเขาไข่กลับใจ พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์ อยู่ฉันใด เขาจะละทิ้งความเชื่อแน่นอนฉันนั้น”5
อีเบอร์ ซี. คิมบัลล์รายงานขณะรับใช้เป็นที่ปรึกษาของประธานบริอัม ยังก์ ดังนี้ “ข้าพเจ้าจะให้กุญแจท่านดอกหนึ่งซึ่งบราเดอรัโจเซฟ สมิธเคยให้ในนอวู ท่านกล่าวว่าก้าวหนึ่งของการละทิ้งความเชื่อเริ่มจากความไม่ไว้วางใจผู้น่าของ ศาสนาจักรและอาณาจักรนี้ และเมื่อใดก็ตามที่ท่านสังเกตเห็นวิญญาณนั้นขอให้ ท่านรู้ว่าวิญญาณตังกล่าวจะน่าผู้ครอบครองไปบนถนนสู่การละทิ้งความเชื่อ”6
วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ์กล่าวขณะรับใช้เป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองว่า “บราเดอรัโจเซฟเคยแนะนําเราในหานองนี้ ‘ทันทีที่ท่านยอมให้ตนเองละทิ้ง หน้าที่ใดก็ตามที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกให้ท่านปฏิบัติ และสนองความปรารถนา ของตัวท่าน ทันทีที่ท่านยอมให้ตนเองกลายเป็นคนไม่สนใจใยดี ท่านกำลังวาง รากฐานของการละทิ้งความเชื่อ จงระวัง จงเข้าใจว่าท่านได้รับเรียกมาสู่งาน และ เมื่อพระผู้เป็นเจ้าทรงขอให้ท่านหางานนั้น จงท่า’ อีกเรื่องหนึ่งที่ท่านพูดคือ ‘ใน การทดลองทั้งหมดของท่าน ความยากลำบากและความเจ็บป่วย ในความทุกข์ ทั้งหลายทั้งปวงของท่าน แห้จนถึงความตาย จงระวังอย่าทรยศพระผู้เป็นเจ้า จงระวังอย่าทรยศฐานะปุโรหิต จงระวังอย่าละทิ้งความเชื่อ’”7
วิลฟอร์ด วูดรัฟฟักล่าวด้วยว่า “ข้าพเจ้าจำได้ว่าบราเดอร์โจเซฟ สมิธมา เยี่ยมข้าพเจ้า บราเดอร์ [จอห์น] เทย์เลอร์ บราเดอร์บริคัม ยังก์ ลับผู้สอน ศาสนาอีกหลายคนตอนที่เรากำลังจะไปทํางานเผยแผ่ในประเทศอังกฤษ พวก เราหลายคนป่วยและทรมานมาก ขณะเดียวลันเราก็รู้สึกว่าด้องไป ศาสดาให้พร เรา ให้พรภรรยาและครอบครัวของเราด้วย… ท่านสอนหลักธรรมสำคัญมาก บางข้อแก่เรา บางข้อซึ่งข้าพเจ้าจะยกขึ้นมากล่าวในที่นี้ บราเดอร์เทย์เลอร์ ตัว ข้าพเจ้า จอร์จ เอ. สมิธ จอห์น อี. เพจ และคนอื่นๆ ได้รับเรียกให้ดำรงตำแหน่งแทน [อัครสาวก] ที่ตกไปแล้ว บราเดอร์โจเซฟบอกเราถึงสาเหตุที่ชาย เหล่านั้นหันหลังให้พระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า ท่านหวังว่าเราจะเรียนรู้ปัญญา จากสิ่งที่เราเห็นกับตาและได้ยินมากับหู และว่าเราจะสามารถเล็งเห็นวิญญาณ ของคนอื่นๆ ได้ โดยไม่จำเป็นด้องเรียนรู้จากประสบการณ์อันน่าเศร้าเหล่านั้น
“ท่านกล่าวต่อจากนั้นว่าใครก็ตาม เอ็สเตอร์คนใดก็ตามในศาสนาจักรและ อาณาจักรนี้ ผู้ดำเนินตามวิถึที่ทําให้เขามองข้าม หรืออีกนัยหนึ่งคือ ปฏิเสธที่จะ เชื่อฟ้งกฎหรือพระบัญญัติหรือหน้าที่ใดก็ตามที่เขารู้–––เมื่อใดก็ตามที่ คนๆ หนึ่งทําสิ่งนี้ ละเลยหน้าที่ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกร้องจากมือเขาให้เข้าร่วมการ ประชุม ทํางานเผยแผ่ หรือเชื่อฟ้งคำแนะนํา คนๆ นั้นได้วางรากฐานเพื่อนําเขา ไปสู่การละทิ้งความเชื่อและนึ่คือเหตุผลที่คนเหล่านั้นตก พวกเขาใข้ฐานะปุโรหิตที่ผนึกบนศีรษะพวกเขาอย่างผิดๆ พวกเขาเพิกเฉยไม่ยอมขยายการเรียก ในฐานะอัครสาวก ในฐานะเอ็ลเดอร์ พวกเขาใข้ฐานะปุโรหิตนั้นเพื่อพยายาม เสริมสร้างตนเองและทํางานอื่นนอกเหนือจากการเสริมสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า”8.
คริสต์ศักราช 1840 สมาชิกกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งของศาสนาจักรยังคงอยู่ใน เมืองเคิร์ทแลนด์ รัฐโอไฮโอ แม้สิทธิชนส่วนใหญ่จะไปรวมกันที่เมืองนอวู รัฐ อิลลินอยส์ ในการตอบสนองต่อข่าวที่สมาชิกคนหนึ่งของศาสนาจักรในเคิร์ทแลนต์พยายามทำลายความไว้วางใจที่สิทธิชนมืต่อฝายประธานสูงสุดและเจ้า หน้าที่ท่านอื่นของศาสนาจักร ศาสดาเขียนถึงผู้นำศาสนาจักรท่านหนึ่งในเคิร์ทแลนต์ดังนี้ “เพื่อดำเนินกิจธุระของอาณาจักรในความชอบธรรม นับเป็นเรื่อง สำคัญที่จะมืความปรองดองอันดีเลิศ ความรู้สึกดี ความเข้าใจดี และความไว้ วางใจในใจพื่น้องชายทุกคน ควรแสดงความใจบุญที่แห้จริงและความรักที่มืต่อ กันในการดำเนินงานทิ้งหมดของพวกเขา หากมืความรู้สึกไร้เมตตาปรานีต่อกัน ขาดความไว้วางใจกัน อีกไม่นานความจองหอง ความยโสโอหัง และความอิจฉา จะปรากฎ ความสับสนวุ่นวายด้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเจ้าหน้าที่ ของศาสนาจักรย่อมถูกเหยียดหยาม…
“ล้าสิทธิชนในเกิร์ทแลนด์คิดว่าข้าพเจ้าไม่คู่ควรแก่คำสวดอ้อนวอนของ พวกเขาเมื่อพวกเขามาชุมนุมกัน และไม่คิดจะสนับสนุนข้าพเจ้า ณ บัลลังก์ แห่งพระคุณจากสวรรค์ นั่นย่อมเป็นข้อพิสูจน์ที่หนักแน่นและชัดเจนต่อข้าพเจ้า ว่าพวกเขาไม่มีพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า ถ้าการเป็ดเผยที่เราได้รับเป็นความ จริง ใครจะด้องนำผู้คน ถ้ามอบกุญแจของอาณาจักรใส่มือข้าพเจ้า ใครจะเป็ด เผยความลี้ลับของอาณาจักรนั้น
“ตราบที่พี่น้องของข้าพเจ้ายืนเคียงข้างข้าพเจ้าและให้กำลังใจข้าพเจ้า ข้าพเจ้าย่อมต่อสู้กับอคติของโลกได้ ทนต่อ [การปฏิบัติอันหยาบกระด้าง] และ ความทารุณเหยียดหยามได้ด้วยความยินดี แต่เมื่อใดพี่น์องของข้าพเจ้าดีตน ออกห่าง เมื่อใดที่พวกเขาเริ่มอ่อนกำลัง พยายามขัดขวางความถ้าวหน์าและงาน ของข้าพเจ้า เมื่อนั้นข้าพเจ้าคงรู้สึกเศร้าเสียใจ แต่จะตั้งใจทำงานเหมือนเติม โดยเชื่อนั่นว่าแห้เพื่อนทางโลกจะไม่สนับสนุน แห้ถึงอับหันมาต่อด้านข้าพเจ้า แต่พระบิดาบนสวรรค์จะทรงทำให้ข้าพเจ้าได้รับชัยชนะ
“อย่างไรก็ดี ข้าพเจ้าคิดว่าแห้แต่ในเมืองเคิร์ทแลนด์ก็ยังมืบางคนที่ไม่ใส่ ความคนอื่นด้วยถ้อยกำของเขา [ดู อิสยาห์ 29:21] แต่มีแนวโน้มว่าจะยืนหยัด ปกป็องความชอบธรรมและความจริง ทำหน้าที่ทุกอย่างที่กำหนด พวกเขาจะมื สติปัญญาชี้นําตนเองต่อด้านการเคลื่อนไหวหรืออิทธิพลใดก็ตามอันจะก่อให้ เกิดความสับสนวุ่นวายและความร้าวฉานในค่ายอิสราเอล และแยกแยะระหว่าง วิญญาณของความจริงอับวิญญาณของความผิดได้
“ข้าพเจ้าคงพอใจถ้าได้เห็นสิทธิชนในเมืองเคิร์ทแลนด์รุ่งเรือง แต่คิดว่าเวลา นั้นยังมาไม่ถึง ข้าพเจ้ารับรองอับท่านว่าเวลานั้นจะไม่มาจนกว่าจะจัดระเบียบสิ่ง ต่างๆ เสียใหม่และมืวิญญาณต่างจากเติม เมื่อใดที่ความนั่นใจกลับคืนมา เมื่อ ใดที่ความจองหองหมดไป และความมุ่งมาดปรารถนาทุกอย่างห่อหุ้มด้วยความ อ่อนน้อมถ่อมตนเสมือนหนึ่งสวมอาภรณ์ ความเห็นแก่ตัวให้ที่แก่ความเมตตา กรุณาและความใจบุญ และมองเห็นความตั้งใจแน่วแน่ที่จะดำเนินชีวิตตามกำทุก กำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า เมื่อนั้นสันติสุข ระเบียบ และความรัก ย่อมเกิดขึ้น และจะเกิดขึ้นไม่ได้จนกว่าจะถึงเวลานั้น
“เพราะคนมักใหญ่ใฝ่สูงเมืองเคิร์ทแลนด์จึงถูกทอดทิ้ง บ่อยครั้งเพียงใดที่ผู้ รับใช้ซึ่งอ่อนน้อมถ่อมตนของท่านถูกคนเช่นนั้นอิจฉาในดำแหน่งหน้าที่ของ เขา คนที่พยายามยกตนขึ้นสู่อำนาจโดยทำให้ผู้รับใช้คนนั้นได้รับความเสียหาย และเมื่อเห็นว่าเหลือวิสัยที่จะทำเช่นนั้น จึงหันมาใส่ร้ายปัายสี ทารุณเหยียด หยาม และทำทุกวิถีทางเพื่อถ้มถ้าง คนเช่นนั้นนักเป็นคนแรกที่ส่งเสียงต่อด้าน ฝ่ายประธาน ประจานความผิดและข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ของพวกท่านไป ทั่วสารทิศ”9
ผู้ละทิ้งความเชื่อจะสูญเสียพระวิญญาณของพระผู้เปึนเจ้า ฝ่าฟีนพันธสัญญา และมักข่มเหงสมาชิกของศาสนาจักร
“อาจจะดูแปลก แต่ก็แปลกไม่น้อยกว่าที่เป็นจริงเมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ทั้งที่ ประกาศความตั้งใจแล้วว่าจะดำเนินชีวิตเหมือนอย่างพระผู้เป็นเจ้า แต่หลังจาก หันหลังให้ศรัทธาในพระคริสต์ หากไม่กลับใจโดยเร็ว ไมชาก็เร็วผู้ละทิ้งความ เชื่อจะตกลงไปในกับดักของคนชั่วคนนั้นเพื่อทําให้ความชั่วของพวกเขาประจักษ์แก่ตาฝูงชน และจะไม่มืพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าหลงเหลืออยู่เลย คนซื่อสัตย์ด้องรับการข่มเหงรุนแรงมื่สุดจากผู้ละทิ้งความเชื่อ ยูดาสถูกตำหนิ และขายพระเจ้าของเขาไว้ในมือศัตรูทันที เพราะซาตานเข้ามาในตัวเขา
“มืความรู้แจ้งมื่เหนือกว่ามอบให้คนเช่นนั้นเมื่อเชื่อฟ้งพระกิตติคุณด้วยความ ตั้งใจเต็มที่ ซึ่งหากทําบาปต่อด้าน ผู้ละทิ้งความเชื่อย่อมถูกทิ้งให้เปลือยเปล่า และไม่มืพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า และความจริงคือไม่นานเขาจะถูกสาป แช่ง และจุดจบของเขาคือถูกเผา เมื่อความสว่างซึ่งเคยอยู่ในเขาถูกนําไปจาก เขา เขาจะถูกทําให้มืดมนเท่าลับมื่เคยถูกทําให้สว่างมาแล้ว และเมื่อนั้นคงไม่แปลกล้าเขาใช้พลังทั้งหมดต่อด้านความจริง และเช่นเดียวกับยูดาส เขาแสวง หาความพินาศให้คนมื่มืพระคุณต่อเขามากมื่สุด
“ยูดาสมีเพื่อนบนแผ่นดินโลกหรือในสวรรค์ที่สนิทกว่าพระผู้ช่วยให้รอด หรือไม่ เป้าหมายประการแรกของเขาคือทําลายพระองค์ ในบรรดาสิทธิชนทั้งหมดในวันเวลาสุดห้ายนี้ ใครจะคิดได้ว่าตนดีเท่าพระเจ้าของเรา ใครดีพร้อม เท่าพระองค์ ใครบริสุทธิ์เท่าพระองค์ ใครศักดสิทธิ์เท่าพระองค์ เราพบคนเช่น นั้นหรือไม่ พระองค์มิเคยล่วงละเมิดหรือฝ่าฟีนพระบัญญัติหรือกฎของสวรรค์ —ไม่มืคำหลอกลวงในพระโอษฐ์ของพระองค์ ทั้งไม่พบความผิดในพระหัยของ พระองค์ แต่คนมื่รับประทานลับพระองค์ คนมื่ดื่มจอกเดียวลันลับพระองค์บ่อย ครั้งคือคนแรกมื่ยกลันเห้าให้พระองค์ คนมื่เหมือนพระ คริสต์อยู่ที่ไหน เราไม่พบคนเช่นนั้นบนแผ่นดินโลก แล้วเหตุใดผู้ติดตามพระองค์จึงบ่นว่าด้วยเล่าหาก พวกเขาด้องรับการข่มเหงจากคนมื่พวกเขาเคยเรียกว่าพื่น้อง และถือว่ามืความ ใกล้ชิดสนิทสนมมื่สุดในพันธสัญญาอันเป็นนิจ
“แหล่งใดเป็นบ่อเกิดของหลักการซึ่งผู้ละทิ้งความเชื่อจากศาสนาจักรที่แท้ จริงแสดงใท้เห็นมาตลอดโดยพยายามเป็นสองเท่าเพื่อข่มเหง และบากบั่นเป็น สองเท่าเพื่อพยายามท้าลายผู้ที่พวกเขาเคยบอกว่ารัก เคยติดต่อด้วย และเคย ทําพันธสัญญาว่าจะพยายามอย่างเต็มสติกำลังในความชอบธรรมเพื่อใท้ได้ที่ พำนักของพระผู้เป็นเจ้า บางทีพื่ท้องของเราอาจจะพูดแบบเดียวกับที่ทําใท้ซาตานพยายามล้มล้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า เพราะตัวเขาคือมาร และอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบริสุทธี้”10.
“ในทุกยุคทุกสมัยของศาสนาจักรมีผู้ต่อด้านหลักคุณธรรมเสมอมา ผู้รักผล ประโยชน์ของโลกปัจจุบัน ดำเนินตามหลักการของอธรรม และเป็นอริกับความ จริงมาดลอด…คนที่คบหาสมาคมกับเราและแสดงมิตรภาพออกมาอย่างโจ่ง แจ้งนักเป็นศัตรูที่คอยทําลายล้างเรามากที่สุดและเป็นปรปักษ์ที่เด็ดเดี่ยวที่สุด ของเรา ถ้าพวกเขาไม่เป็นที่นิยมชมชอบ ถ้าพวกเขาเสียผลประโยชน์หรือเสีย ศักดศรี หรือล้าสืบทราบความชั่วของพวกเขา พวกเขานักเป็นคนแรกที่ลงมือ ข่มเหง ใส่ร้าย [พูดให้ร้าย] และป้ายความผิดให้พื่น์องของพวกเขา หาเรื่องสร้าง ความล่มจมและความพินาศให้มิตรสหายของพวกเขา”11.
“คนทรยศ หรือผู้มีความเห็นขัดแย้งกับ ‘มอรมอน’ กำลังวิ่งไปทั่วโลกและ แพร่ข่าวลือที่น่ารังเกียจต่างๆ นาๆ ใส่ร้ายพวกเรา โดยคิดว่าวิธีนี้จะทำให้พวก เขาได้ความเป็นมิตรของโลก เพราะพวกเขารู้ว่าเราไม่ใช่ของโลก และโลก เกลียดขังเรา ด้วยเหตุนี้พวกเขา [โลก] จึงใช้แนวร่วมเหล่านี้ [ผู้มีความเห็นขัด แย้งกับเรา] เป็นเครื่องมือ และพยายามใช้คนเหล่านั้นก่อความเสียหายให้มาก ที่สุด หลังจากนั้นพวกเขาจะเกลียดขังแนวร่วมเหล่านี้ยิ่งกว่าเกลียดขังพวกเรา เพราะพวกเขาพบว่าคนเหล่านั้นเป็นพวกคิดคดทรยศและพวกประจบสอพลอที่ ตำิิช้า”12.
วิลฟอร์ด วูดรัฟฟืรายงานดังนี้ “ขัาพเจ้าเขัาร่วมการประชุม [หนึ่ง] ที่พระวิหาร [เคิร์ทแลนด์] [เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1837] ประธานโจเซฟ สมิธไม่อยู่ ท่านไปทำธุระให้ศาสนาจักร แต่ระยะเวลาที่ไปนานไม่ถึงครึ่งของ โมเสสคราวจากอิสราเอลไปอยู่บนภูเขา [ดู อพยพ 32:1–8] คนจำนวนมากใน เคิร์ทแลนด์มิได้หล่อรูปโคไว้กราบไหว้เหมือนชาวอิสราเอล แต่ได้หันใจไปจาก พระเจ้าและจากใจเซฟผู้รับใช้ของพระองค์ ฉวยโอกาสตอนที่ท่านไม่อยู่เป็ดทาง ให้วิญญาณเท็จ จนพวกเขามืจิตใจมืดดับ หลายคนต่อด้านโจเซฟ สมิธ ห้างก็ คิดจะแต่งตั้งเดวิด วิดเมอร์ให้นําศาสนาจักรแทนโจเซฟ ท่ามกลางความหม่น มัวของวิญญาณมืดดังกล่าว โจเซฟกลับไปเคิร์ทแลนด์ และลุกขึ้นยืนที่แท่นพูด เช้านี้ ดูเหมือนท่านจะกลัดกลุ้มมาก แตไม่นานพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าก็ สถิตลับท่าน และท่านปราศรัยต่อที่ประชุมด้วยความชัดเจนยิ่งประมาณสาม ชั่วโมงจนศัตรูของท่านไม่กล้าโด้แย้งแห้แต่กําเดียว
“เมื่อท่านลุกขึ้นยืน ท่านพูดว่า ‘ช้าพเจ้ายังคงเป็นประธาน ศาสดา ผู้พยากรณ์ ผู้เป็ดเผย และผู้นําของศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์ พระผู้เป็นเจ้าทรง แต่งตั้งและวางป้าพเจ้าไว้ในตำแหน่งนี้ ไม่ใช่มนุษย์ และไม่มืมนุษย์คนใดหรือ คนกลุ่มใดมือำนาจถอดถอนป้าพเจ้าหรือแต่งตั้งคนอื่นแทนช้าพเจ้า และคนที่ ทําเช่นนั้น หากเขาไม่กลับใจโดยเร็ว เท่าลับเขารนหาที่และจะด้องตกนรก’ ท่าน ตำหนิผู้คนอย่างรุนแรงเพราะบาป ความมืดดับ และความไม่เชื่อของพวกเขา พลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ลับท่าน และยืนยันว่าคำพูดของท่านถูกด้อง”13.
วิลฟอร์ด วูดรัฟฟืรายงานดังนี้ “ประธานสมิธพูดตอนบ่าย [วันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1837] และกล่าวในพระนามของพระเจ้าว่าการพิพากษาของพระผู้เป็นเจ้า จะมาถึงคนที่เคยประกาศว่าเป็นสหายของท่าน สหายของมนุษยชาติ และใน ขณะเสริมสร้างเคิร์ทแลนด์ สเตคแห่งไซอัน เขากลับกลายเป็นผู้ทรยศหักหลัง ท่าน และผลประโยชน์ของอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า และใส่อำนาจไว้ในมือ ศัตรูใหัต่อต้านเรา พวกเขากดขี่สิทธิชนที่ยากจน นำความเดือดร้อนมาใหัคน เหล่านั้น และกลายเป็นผู้ฝ่าฟีนพันธสัญญาซึ่งจะทําใหัพวกเขารู้สึกถึงพระพิโรธ ของพระผู้เป็นเจ้า”14
ดาเฟียล ไทเลอร์เล่าว่า “หลังจากศาสดาออกจากคุกมิสซูรีมาถึงคอมเมิร์ซ (อยู่ติดลับนอวู) ไต้ไม่นาน ข้าพเจ้ากับบราเดอร์ใอแซค เบฮูนินก็ไปเยี่ยมท่าน ถึงที่พัก การข่มเหงท่านเป็นหัวข้อการสนทนาของเรา ท่านพูดทบทวนอกําบอก เล่าผิดๆ มากมายที่ไม่สอดคล้องและขัดแย้งกันของผู้ละทิ้งความเชื่อ สมาชิก ที่หวาดผวาของศาสนาจักร และคนนอก ท่านบอกต้วยว่าเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ผู้ ปรารถนาจะปลิดชีวิตท่านตอนท่านถูกจับต่างหันมาเข้าข้างท่านโดยทําความคุ้น เคยกับท่าน ท่านตำหนิพวกพี่น้องจอมปลอมเหล่านี้…
“เมื่อศาสดาเล่าจบแล้วว่าผู้คนปฏิบัติต่อท่านอย่างไร บราเดอร์เบฮูนินกล่าว ว่า ‘ถ้าผมออกจากศาสนาจักรนี้ ผมจะไม่ทําอย่างที่พวกเขาทํา ผมจะไปใหัไกล หูไกลตาเพี่อจะไม่ไต้ยินเรื่องของชาวมอรมอนอีก และจะไม่มืใครรู้ว่าผมรู้เรื่อง ของชาวมอรมอน’
“ผู้พยากรณ์ที่ยี่งใหญ่ตอบทันทีว่า ‘บราเดอร์เบฮูนิน คุณไม่รู้หรอกว่าคุณจะ ทําอะไร เป็นไปไต้มากว่าคนเหล่านี้เคยคิดแบบคุณ ก่อนเข้าร่วมศาสนาจักรนี้ คุณยืนอยู่ตรงกลางระหว่างความดืกับความชั่ว เมื่อมีการสั่งสอนพระกิตติคุณ ความดีและความชั่ววางอยู่ตรงหน้าคุณ คุณจะเลือกหรือไม่ก็ไต้ มีนายสองฝ่าย ชวนคุณมารับใข้เขา ตอนที่คุณเข้าร่วมศาสนาจักรนี้คุณสมัครเข้ามารับใข้พระผู้เป็นเจ้า เมื่อคุณท่าเช่นนั้นคุณไต้ล้าวออกจากพื้นที่ตรงกลาง และคณจะกลับไป อีกไม่ไต้ หากคุณทิ้งนายที่คุณสมัครเข้ามารับใข้ นั่นเป็นเพราะการเสี้ยมสอนของ คนชั่วคนนั้น และคุณจะทําตามอำบอกของเขาและเป็นผู้รับใข้เขา’”15
หากเราทำตามศาสดา อัครสาวกและการเป็ดเผยของศาสนาจักร เราจะไม่หลงทาง
ออร์สัน ไฮด์ สมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสอง รายงานดังนี้ “โจเซฟศาสดา กล่าวว่า ‘พี่น้องทั้งหลาย จำไล้ว่าคนส่วนใหญ่ของคนกลุ่มนี้จะไม่หลงทาง และ ตราบที่คุณเดินตามคนส่วนใหญ่ คุณจะไต้เข้าอาณาจักรชั้นสูงแน่นอน’”16
วิลเลียน จี. เนลสันรายงานดังนี้ “ผมเคยได้ยินศาสดาพูดต่อหน้าสาธารณชนหลายครั้ง ในการประชุมครั้งหนึ่งผมได้ยินท่านพูดว่า ‘ข้าพเจ้าจะให้กุญแจที่ ไม่มีวันขึ้นสนิมแถ่ท่าน—ถ้าท่านจะอยู่กับอัครสาวกสิบสองส่วนใหญ่ และบัน ทึกของศาสนาจักร จะไม่มีใครทําให้ท่านหลงทางได้’ ประวัติศาสตร์ของศาสนา จักรพิสูจน์มาแล้วว่านึ่เป็นความจริง”17
เอซรา ที. คลาร์กจำได้ว่า “ผมได้ยินศาสดาโจเซฟพูดว่าท่านจะให้กุญแจ ดอกหนึ่งแก่สิทธิชนซึ่งจะไม่มีวันนำพวกเขาออกนอกทางและหลอกพวกเขา กุญแจดอกนั้นคือพระเจ้าจะไม่มีวันยอมให้คนส่วนใหญ่ของคนกลุ่มนี้ถูกบักด้ม ตุ๋นหลอกหรือนำออกนอกทาง ทั้งพระองค์จะไม่ทรงยอมให้บันทึกของศาสนา จักรนี้ตกไปอยู่ในมือศัตรู”18.
ข้อเลนอแนะสำหรับศึกษาและลอน
พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะศึกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเติมได้ที่หน้า ⅶ–ⅹⅱ
-
อ่านทวนเรื่องราวในหน้า 341–342 ท่านคิดว่าเหตุใดผู้คนจึงเปลี่ยนจากความ ชอบธรรมไปลู่การละทิ้งความเชื่อได้ในช่วงเวลาอันสั้น ทุกวันนี้มีอิทธิพล อะไรห้างที่ทําให้ผู้คนละทิ้งความเชื่อ เราทําอะไรได้น้างเพื่อป้องกันอิทธิพล ดังกล่าว
-
มีอันตรายอะไรน้างจากการไม่ไว้วางใจผู้นำศาสนาจักรของเราและวิพากษ์ตำหนิพวกท่าน (ดูตัวอย่างในหน้า 343–346) เราทําอะไรได้น้างเพื่อจะยังคง รู้สึกเคารพและชื่นชมผู้นำของเรา บิดามารดาทําอะไรได้น้างเพื่อส่งเสริมบุตร หลานให้เคารพผู้นำศาสนาจักร
-
ศาสดาสอนดังนี้ “ทันทีที่ท่านยอมให้ตนเองละทิ้งหน้าที่ใดก็ตามที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกให้ท่านปฏิบัติ และสนองความปรารถนาของตัวท่าน… ท่านกำลังวางรากฐานของการละทิ้งความเชื่อ” (หน้า 343) ข้อความนี้มีความหมายต่อท่านอย่างไร
-
อ่านเรื่องที่เล่าโดยดาเมียล ไทเลอร์ (หน้า 349) ท่านคิดว่าเหตุใดคนที่ละทิ้ง ความเชื่อจากศาสนาจักรจึงมักต่อด้านศาสนาจักรอย่างรุนแรง (ดูตัวอย่างใน หน้า 346–349) ท่านคิดว่าเราควรตอบสนองอย่างไรต่อคำพูดและการกระทำ ของคนเช่นนั้น
-
อ่านสามย่อหน้าสุดท้ายของบท (หน้า 349–350) เหตุใดจึงสำคัญที่เราจะ เข้าใจและใช้ “กุญแจ” ดอกนี้ที่โจเซฟ สมิธมอบให้
ข้อพระคัมภีร์พี่กี่ยวข้อง: 1 นีไฟ 8:10–33; ฮีลามัน 3:33–35; ค.พ. 82:3, 21; 121:11–22