บทที่ 2
พระผู้เป็นเจ้าพระบิดานิรันดร์
“จุดมุ่งหมายของพระผู้เป็นเจ้าของเรายิ่งใหญ่ความรักของพระองค์สุดจะหยั่งถึง พระปรีชาญาฌของพระองค์หาที่สุดมิได้ และพระเดชานุภาพของพระองค์ ไร้ขีดจำกัด ด้วยเหตุนี้ สิทธิชนจึงปีเหตุให้ปลาบปลื้มและยินดี”
จากชีวิตฃองโจเซฟ ลมิธ
มีบรรพชนหลายคนของโจเซฟ สมิธแสวงหาเพื่อให้รู้จักพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง ในสมัยของพวกเขา บิดามารดาของโจเซฟผูกพันลึกซึ้งกับเรื่องทางวิญญาณ และแท้จะไบ่พบความจริงอันสมบูรณ์เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาจักรต่างๆ รอบตัว แต่พวกเขาก็ถือว่าพระ คัมภีร์ไบเบิลเป็นพระคำของพระผู้เป็นเจ้าและ ทำให้การสวดอ้อนวอนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน วิลเลียมท้องชายของ ศาสดาจำได้ว่า “อุปนิสัยทางศาสนาของคุณพ่อคือเคร่งศาสนาและมีศีลธรรม… ข้าพเจ้าถูกเรียกให้มาฟ้งคำสวดอ้อนวอนทั้งตอนเช้าและตอนกลางคืน…บิดามารดาของข้าพเจ้า คุณพ่อคุณแม่ ระบายความในใจต่อพระผู้เป็นเจ้าผู้ประทานพรทุกอย่าง เพื่อขอให้ทรงดูแลและคุ้มครองลูกๆ ของพวกท่านให้รอดพัน จากบาปและงานชั่วร้ายทั้งปวง นั่นคือความเลื่อมใสศรัทธาของบิดามารดาข้าพเจ้า”1 วิลเลียมกล่าวด้วยว่า “เราสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัวมาดลอดตั้งแต่ ข้าพเจ้าจำความได้ ข้าพเจ้าจำได้ดีว่าคุณพ่อจะพกแว่นตาไว้ในกระเป๋าเสื้อกั๊กของ ท่านเสมอ … และเมื่อพวกเราเห็นท่านเอามือจับแว่นตา เรารู้เลยว่านั่นคือสัญญาณบ่งบอกว่าได้เวลาสวดอ้อนวอนแล้ว และล้าเราไม่ทันสังเกต คุณแม่จะ บอกว่า ‘วิลเลียม’ หรือใครก็ตามที่ไบ่เอาใจใส่ว่า ‘สวดอ้อนวอนได้แล้ว’ หลัง จากสวดอ้อนวอนเราจะร้องเพลงๆ หนึ่ง ข้าพเจ้ายังจำเนื้อร้องช่วงหนึ่งของ เพลงนั้นได้ ‘อีกวันผ่านไปไบ่หวนคืน เราผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ประจำกาย’”2
การอบรมทางวิญญาณแต่เยาว์วัยฝังลึกในจิตวิญญาณของเด็กหนุ่มโจเซฟ สบิธ เมื่อท่านเป็นห่วงความผาสุกนิรันดร์ของตนเองและพยายามจะรู้ให้ได้ว่าจะ เข้าร่วมศาสนาจักรใด ท่านรู้ว่าท่านทันไปทูลขอคำตอบจากพระผู้เป็นเจ้าได้
“ข้าพเจ้าเรียนรู้ในพระคัมภีร์ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นเหมือนเดิม เมื่อวานนี้ วันนี้ และตลอดกาล พระองค้ใม่ทรงเป็นผู้นับถือตัวบุคคลเพราะพระองค์ทรง เป็นพระผู้เป็นเจ้า เพราะข้าพเจ้ามองเห็นดวงอาทิตย์ ดวงความสว่างอันโชติช่วง ของแผ่นดินโลก เห็นดวงจันทร์ลอยเลื่อนไปด้วยความสง่างาม [ของมัน] บน ท้องฟ้าและดวงดาวดารดาษสาดแสงอยู่ในวงโคจรของมัน เห็นแผ่นดินโลกซึ่ง ข้าพเจ้ายืนอยู่นี้ด้วย สัตว์ในท้องทุ่ง นกในอากาศ และปลาในผืนน้ำ เห็นมนุษย์ เดินไปมาบนพื้นพิภพที่กว้างใหญ่และในพลังแห่งความงาม [ด้วย] อำนาจและ ภูมิปัญญาในการปกครองสิ่งต่างๆ ซึ่งยิ่งใหญ่และน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง แท้ในความ เป็นเหมือนพระองค์ผู้ทรงสร้างพวกเขา
“และเมื่อข้าพเจ้าพิจารณาสิ่งเหล่านี้ใจข้าพเจ้าร้องว่า คนฉลาดกล่าวว่าคนโง่ จะรำพึงในใจตนว่าไบ่มืพระผู้เป็นเจ้า [ดู สดุดี 53:1] ใจข้าพเจ้าร้องว่า ทั้งหมด นี้เป็นประจักษ์พยานและแสดงใท้เห็นถึงพระพลานุภาพอันไพศาลและมือยู่ทุก ที่ในเวลาเดียวกัน พระองค์ผู้ทรงรังสรรค์กฎ ทรงประกาศิต และทรงผูกทุกสิ่ง ไว้ในขอบเขตของมัน ผู้ทรงเดิมเต็มนิรันดร ผู้ทรงดำรงมาแล้ว ดำรงอยู่ขณะนี้ และจะดำรงอยู่จากนิรันดรถึงนิรันดร เมื่อข้าพเจ้าพิจารณาสิ่งทั้งหมดนี้และพระองค์ผู้ทรงพยายามใท้คนเหล่านั้นนมัสการพระองค์ในวิญญาณและในความจริง [ดุ ยอห์น 4:23] ข้าพเจ้าจึงร้องขอพระเมตตาจากพระเจ้า เพราะไม่มืใครลื่นอีก แล้วที่ข้าพเจ้าจะไปขอความเมตตาจากเขาได้”3
การสวดอ้อนวอนที่เมื่ยมด้วยศรัทธาของโจเซฟเพื่อทูลขอพระเมตตาและ ปัญญาได้รับอำตอบด้วยภาพปรากฎครั้งแรก ภาพปรากฎนั้นใท้ความรู้เกี่ยวอับ พระผู้เป็นเจ้าแก่ศาสดาหนุ่มมากกว่าศาสนาจักรใดๆ ในสมัยของท่าน ความรู้ ที่สูญหายไปจากโลกนานหลายศตวรรษ ในภาพปรากฎครั้งแรกนั้น โจเซฟเรียน รู้ด้วยตนเองว่าพระบิดาและพระบุตรทรงเป็นคนละองค์ พระเดชานุภาพของ พระองค์ยิ่งใหญ่กว่าพลังอำนาจของความชั่วร้าย และแท้จริงแล้วมนุษย์ได้รับ การวางรูปแบบตามรูปลักษณ์ของพระผู้เป็นเจ้า นี่คือความจริงที่จำเป็นยิ่งต่อการ เข้าใจความสัมพันธ์ที่แท้จริงของเราอับพระบิดาในสวรรค์
การเปีดเผยอื่นๆ เกี่ยวอับพระลักษณะของพระผู้เป็นเจ้ามีมาหลังจากนั้น รวม ทั้งการเมิดเผยมากมายที่เวลานี้อยู่ในพระคัมภีร์ยุคสูดท้ายของเรา ในฐานะเครื่อง มือที่ได้รับเลือกจากพระผู้เป็นเจ้าใท้พื้นฟูความจริงของพระกิตติคุณสู่แผ่นดิน โลก ศาสดาจึงเป็นพยานถึงพระผู้เป็นเจ้าตลอดการปฎิมัดิศาสนกิจของท่าน “ข้าพเจ้าจะถามถึงพระผู้เป็นเจ้า” ท่านประกาศ “เพราะข้าพเจ้าต้องการให้ทุก ท่านรู้จักพระองค์และคุ้นเคยกับพระองค์…แล้วท่านจะรู้ว่าข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ ของพระองค์ เพราะข้าพเจ้าพูดประหนึ่งผู้มีสิทธิอำนาจ”4
คำลอนฃองโจเซฟ ลมิธ
พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดาผู้ทรงรักมวลมนุษย์และ ทรงเป็นแหล่งกำเนิดสรรพสิ่งที่ดีงาม
“ขณะที่มนุษยชาติส่วนหนึ่งกำลังตัดสินและประณามผู้อื่นอย่างไร้เมตตา พระบิดาผู้ยิ่งใหญ่ของจักรวาลกลับทอดพระเนตรครอบครัวมนุษย์ทั้งปวงต้วย ความห่วงใยและความเอาใจใส่ดุจบิดา พระองค์ทรงมองว่าพวกเขาคือกุลบุตร กุลธิดาของพระองค์โดยปราศจากอคติต่อลูกหลานมนุษย์ ทรงให้ ‘ดวงอาทิตย์ ของพระองค์ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอลัน และให้ฝนตกแกคนชอบ ธรรมและคนอธรรม’ [มัทธิว 5:45]”5
“เรายอมรับว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดและต้นกำเนิดใหญ่ยิ่งซึ่ง ความดีทั้งมวลมาจากพระองค์ พระองค์ทรงเป็นดวงความรู้แจ้งที่สมบูรณ์ พระ ปรีชาญาณของพระองค์แต่องค์เดียวก็มากพอจะปกครองและควบกุมงานสร้าง อันยิ่งใหญ่และโลกมากมายซึ่งส่องแสงเจิดจ้าต้วยความงามวิจิตรและความแจ่ม จรัสเหนือศีรษะเราประหนึ่งรับสัมผัสต้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระองค์และเคลื่อน ไหวตามพระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์…ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของ พระผู้เป็นเจ้าและภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์ [ดู สดุดี 19:1] และการใคร่ครวญเพียงครู่เดียวก็นานพอจะสอนมนุษย์ทุกผู้ทุกนามผู้นืปัญญา ตามปรกติธรรมดาว่าทั้งหมดนิ้บิใช่ผลพวงของ ความบังเอิญ ทั้งไบ่อาจคํ้าจุนไว้ ไต้ต้วยอำนาจที่ไบ่เทียบเทียมพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์”6
“พระผู้เป็นเจ้าทอดพระเนตรเห็นเจตนาในเบื้องลึกแห่งการกระทำของมนุษย์ และทรงทราบจิตใจของสรรพชีวิต”7
“จุดบุ่งหมายของพระผู้เป็นเจ้าของเรายิ่งใหญ่ ความรักของพระองค์สุดจะ หยั่งถึง พระปรีชาญาณของพระองค์หาที่สุดบิไต้ และพระเดชานุภาพของ พระองค์ไร้ขีดจำกัด ต้วยเหตุนี้ สิทธิชนจึงนืเหตุให้ปลาบปลื้มและยินดี โดยรู้ว่า ‘นี่คือพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของเราเป็นนิจกาล และพระองค์จะทรงเป็นผู้นำ ของเราเป็นนิจ’ [สดุดี 48:14]”8
เมื่อเราเข้าใจพระอุปนิสัยของพระผู้เป็นเจ้า เราเข้าใจตนเองและรู้วิธีใกล้ชิดพระองค์
“มีเพียงไบ่กี่คนในโลกที่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระผู้เป็นเจ้าอย่างถูกต้อง มนุษยชาติส่วนใหญ่ไบ่เข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขากับ พระผู้เปีนเจ้า ทั้งสิ่งซึ่งเป็นมาแล้ว หรือสิ่งซึ่งจะมาถึง พวกเขาไม่ทราบ ทั้งไบ่เข้าใจลักษณะของความสัมพันธ์นั้น และต้วยเหตุนี้พวกเขาจึงรู้มากกว่าสัตว์ป่า เพียงเล็กน้อย หรือมากกว่าการกิน ดื่ม และนอนหลับ นี่คือทั้งหมดที่มนุษย์รู้ เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าหรือการดำรงอยู่ของพระองค์ เว้นแต่จะประทานให้เขาด้วย การดลใจของพระผู้ทรงมหิทธิฤทธี้
“หากมนุษย์ไบ่เรียนรู้มากไปกว่าการกิน ดื่ม และนอนหลับ และไบ่เข้าใจ แผนงานใดๆ ของพระผู้เป็นเจ้า สัตว์ก็เข้าใจอย่างเดียวกัน มันกิน ดื่ม นอน หลับ และไบ่รู้อะไรเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้ามากกว่านั้น แต่มันรู้เท่ากับเรา เว้น แต่เราจะสามารถเข้าใจไต้ด้วยการดลใจของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธี้ หาก มนุษย์ไบ่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระผู้เปีนเจ้า พวกเขาย่อมไบ่เข้าใจตนเอง ข้าพเจ้าต้องการกลับไปที่จุดเริ่มต้น และยกความคิดท่านให้สูงขึ้นและให้มีความ เข้าใจสูงส่งกว่าสิ่งที่ความคิดมนุษย์โดยทั่วไปแสวงหา
“… พระคัมภีร์บอกเราว่า ‘นี่แหละคือชีวิตนิรันดร์คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแทัองค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใข้มา’ [ยอห์น 17:3]
“หากมนุษย์ไบ่รู้จักพระผู้เป็นเจ้าและไบ่ค์นหาว่าพระลักษณะของพระองค์ เป็นเช่นไร—หากเขาจะสำรวจใจตนเองให้ล้วนกี่—หากคำประกาศของพระเยซู และอัครสาวกเป็นจริง เขาย่อมตระหนักว่าเขาไบ่มีชีวิตนิรันดร์ เพราะจะมีชีวิต นิรันดร์บนหลักธรรมอื่นไบ่ไต้
“วัตถุประสงค์ประการแรกของข้าพเจ้าคือสอบถามก้นคว้าจนรู้พระอุปนิสัย ของพระผู้เป็นเจ้าที่แห้จริงและทรงพระปรีชาญาณเพียงพระองค์เดียว และรู้ว่า พระองค์ทรงมีพระลักษณะอย่างไร…
“พระผู้เป็นเจ้าทรงเคยเป็นอย่างที่เราเป็นอยู่เวลานี้ ทรงเป็นมนุษย์ผู้สูงส่ง ประทับทั่งบัลลังก์ในสวรรค์กันไกลโพ้น นั่นคือความลับสูดยอด หากเผยม่าน วันนี้ และพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงถูทธิ้ผู้ทรงจัดโลกให้อยู่ในวงโคจรของมัน ผู้ทรง คํ้าจุนโลกทั้งหลายและสรรพสิ่งด้วยพระเดชานุภาพของพระองค์ ด้องทรงทำให้ มองเห็นพระองค์ได้—ข้าพเจ้ากล่าว หากท่านด้องมองเห็นพระองค์วันนี้ ท่านจะมองเห็นพระองค์ในร่างของมนุษย์คนหนึ่ง—เหมือนตัวท่านทั้งร่างกาย รูป ลักษณ์ และร่างที่เป็นมนุษย์ เพราะแอดัมถูกสร้างตามแบบพระฉายาและความ เป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า ได้รับคำแนะนำสั่งสอนจากพระองค์ เดิน พูด และ สนทนากับพระองค์ เฉกเช่นมนุษย์คนหนึ่งพูดและสื่อสารกับอีกคนหนึ่ง…
“…เมื่อเรามืความรู้เรื่องพระผู้เป็นเจ้า เราเริ่มรู้วิธีใกล้ชิดพระองค์ และวิธี ทูลขอเพื่อให้ได้รับคำตอบ เมื่อเราเข้าใจพระอุปนิสัยของพระผู้เป็นเจ้า และรู้ วิธีมาหาพระองค์ พระองค์จะทรงเริ่มกางท้องฟ้าให้เรา และบอกให้เรารู้ทั้งหมด เกี่ยวกับเรื่องนั้น เมื่อเราพร้อมจะมาหาพระองค์ พระองค์ย่อมทรงพร้อมจะมา หาเรา”9
พระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ทรงมีพระลักษณะที่แยกลัน อย่างชัดเจน—ทั้งสามพระองค์
หลักแห่งความเชื่อข้อ 1: เราเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาผู้สถิตนิรันดร์และในพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ และในพระวิญญาณบริสุทธี้”10
โจเซฟ สมิธสอนไว้เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1843 ซึ่งต่อมาบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์คำสอนและพันธสัญญา 130:22 ต้งนี้ “พระบิดาทรงมีพระวรกายเป็นเนื้อ หนังและกระดูก สัมผัสได้ดังของมนุษย์ พระบุตรด้วย แต่พรวิญญาณบริสุทธี้ ไม่ทรงมีพระวรกายเป็นเนื้อหนังและกระดูก แต่เป็นบุคคลที่เป็นวิญญาณ หาก ไบ่เป็นเช่นนั้นพระวิญญาณบริสุทธี์จะสถิตในพวกเราไม่ได้”11
“ข้าพเจ้าประกาศเสมอว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นองค์หนึ่งต่างหาก พระเยซู ทรงเป็นอีกองค์หนึ่งแยกต่างหากจากพระผู้เป็นเจ้าพระบิดา และพระวิญญาณ บริสุทธี์ทรงเป็นอีกองค์หนึ่งและเป็นพระวิญญาณ ทั้งสามพระองค์ประกอบเป็น สามพระบุคคลแยกจากกันและเป็นพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์”12
“สิ่งซึ่งปราศจากร่างกายหรืออวัยวะต่างๆ ย่อมไบ่เป็นอะไรเลย ไบ่มีพระผู้เป็นเจ้าอื่นใดในสวรรค์นอกจากพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงมีเนื้อหนังและกระดูก”13
พระผู้เป็นเนเจ้าสามพระองค์ทรงเป็นหนึ่งเสียวกันอย่างสมบูรณ์ และพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาทรงเป็นประธาน
“มีกล่าวไว้มากมายเกี่ยวคับพระผู้เป็นเจ้าและพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์…ผู้สอนในยุคนั้นกล่าวว่าพระบิดาคือพระผู้เป็นเจ้า พระบุตรคือพระผู้เป็นเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธี์คือพระผู้เป็นเจ้า ทุกพระองค์อยู่ในพระวรกายเดียวคันและเป็นพระผู้เป็นเจ้าเดียว พระเยซูทรงสวดอ้อนวอนเพื่อคนทั้งหลาย ที่พระบิดาประทานให้พระองค์ ทรงขอให้คนเหล่านั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวคันกับ พระองค์และพระบิดา ดังที่พระบิดาและพระองค์ทรงเป็นอันหนึ่งอันเดียวคัน [ดู ยอห์น 17:11–23]…
“เปโตรคับสเทเฟนเป็นพยานว่าพวกท่านเห็นบุตรมนุษย์ประทับยืนเบื้องขวา พระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า บุคคลใดก็ตามที่เคยเห็นท้องฟ้าเปีดจะรู้ว่ามีสามพระองค์ในสวรรค์ผู้ทรงถือกุญแจแห่งอำนาจ และองค์หนึ่งทรงควบกุมทั้งหมด”14
“มีการทำพันธสัญญาอันเป็นนิจระหว่างสามพระองค์ก่อนการวางระเบียบ โลกนี้และเกี่ยวข้องคับการจัดสรรสิ่งต่างๆ ให้มนุษย์บนแผ่นดินโลก ทั้งสามพระองค์…ทรงมีพระนามว่าพระผู้เป็นเจ้าองค์แรก พระผู้สร้าง พระผู้เป็นเจ้า องค์ที่สอง พระผู้ไก่ และพระผู้เป็นเจ้าองค์ที่สาม พระผู้ทรงเป็นพยานหรือพระผู้ตรัสคำพยาน”15
“[นั่นคือ] สิทธิโดยชอบของพระบิดาที่จะทรงควบคุมในฐานะหัวหน้าหรือ ประธาน พระเยซูทรงเป็นพระผู้ไกล่เกลี่ย และพระวิญญาณบริสุทธี้ทรงเป็น พยานหรือตรัสคำพยาน พระบุตรทรง [มี] พระวรกายและพระบิดาทรง [มี] เช่นกัน แต่พระวิญญาณบริสุทธี์ทรงเปีนบุคคลที่เปีนวิญญาณไบ่มีร่างกาย”16
“พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน’ [ยอห์น 10:30] อีกประการหนึ่ง พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธี์ทรงเป็นอัน หนึ่งอันเดียวกัน และทั้งสามพระองค์ทรงเห็นพ้องในเรื่องเดียวกัน [ดู 1 ยอห์น 5:7–8] พระผู้ช่วยให้รอดจึงทรงสวดอ้อนวอนพระบิดาดังนี้ ‘ข้าพระองค์บิได้ อธิษฐานเพื่อโลก แต่เพื่อคนเหล่าทั้นที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ เพื่อ เขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน’ หรืออีกนัยหนึ่งคือ มีความคิดเดียวในความ เปีนอันหนึ่งอันเดียวกันของศรัทธา [ดู ยอห์น 17:9, 11] แต่ทุกคนแตกต่างกัน หรือเปีนคนละคนกัน เฉกเช่นพระผู้เป็นเจ้า พระเยซูคริสต์ และพระวิญญาณ บริสุทธี์ทรงเปีนคนละองค์กัน แต่ทั้งสามพระองค์ทรงเห็นพ้องในเรื่องเดียวกัน หรืออย่าเดียวกัน”17
ข้อเลนอแนะสำหรับศึกษาและลอน
พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะศึกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูกวามช่วย เหลือเพิ่มเติมได้ที่หน้า ⅶ–ⅹⅱ
-
อ่านทวนหน้า 37–40 สังเกตว่าเด็กหนุ่มโจเซฟ สบิธเห็นหลักฐานของ “พระพลานุภาพอันไพศาลและมีอยู่ทุกที่ในเวลาเดียวกัน” ในโลกรอบตัวเขา อย่างไร ขณะสังเกตโลกรอบตัวท่าน ท่านเห็นอะไรที่เป็นประจักษ์พยานถึง พระผู้เป็นเจ้า
-
อ่านทวนส่วนแรกของบทนี้ หน้า 40 มองหาคำสอนที่เปีดเผยถึงพระอุปนิสัยของพระผู้เป็นเจ้า คำสอนเหล่านี้ช่วยใหัเรามีความ “รื่นเริงยินดี” ได้อย่างไร
-
โจเซฟ สบิธสอนว่า “พระบิดาผู้ยิ่งใหญ่ของจักรวาลกลับทอดพระเนตร ครอบครัวมนุษย์ทั้งปวงด้วยความห่วงใยและความเอาใจใส่ดุจบิดา” (หน้า 40) ท่านมีความกิดและความรู้สึกอย่างไรน้างขณะไตร่ตรองข้อความนี้
-
อ่านย่อหน้าที่หนึ่งและสองของหน้า 41 เหตุใดเราจะไบ่สามารถเข้าใจตนเองได้เลย อ้าเราไม่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระผู้เป็นเจ้า
-
ศาสดาโจเซฟ สมิธเป็นพยานว่าพระผู้เป็นเจ้าพระบิดา พระเยซูคริสต์ และพระวิญญาณบริสุทธี์ทรงเป็น “สามพระบุคคลแยกจากกัน” ท่านสอนต์วยว่าทั้งสามพระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกัน (หน้า 43–44) สมาชิกในพระผู้เป็นเจ้า สามพระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกันในด้านใดบ้าง (ดูตัวอย่างหน้า 43–44)
-
บิดามารดาจะปลูกฝังลูกๆ ใบ้มีความรักต่อพระบิดาบนสวรรค์ของพวกเขาได้ อย่างไร (ดูตัวอย่างหน้า 37)
ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง: ยอห์น 8:17–19: ฮีบรู 1:1–3; 12:9: โมเสส 1:3–6, 39